เดินทางสู้แคว้นซานโจว

1554 Words
เช้าของการเดินทาง เถาม่านหลิวเดินออกมาสมทบกับทุกคนที่ด้านหน้าของจวน โดยมีจูถิงติดตามไปรับใช้เช่นเคย “เราจะเดินทางไปแคว้นซานโจวไม่ใช่หรือเจ้าคะ ทำไมเอารถม้าไปแค่คันเดียว แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ” ม่านหลิวทักท้วงทันทีที่เห็นรถม้าแค่หนึ่งคันจอดรออยู่ด้านนอก ข้าง ๆ รถม้าก็มีม้าของโจวซีหยางกับม้าของเผิงจิ้งยืนอวดหุ่นกำยำโดดเด่นอยู่คู่กัน ไร้เงาม้าตัวอื่นกับผู้คุ้มกันที่เคยเดินทางร่วมกันมา “เราจะไปกันแค่ห้าคน เจ้ากับจูถิงนั่งในรถม้า มีอาแฟยเป็นคนขับให้ ส่วนคนคุ้มกันมีแค่ข้ากับเผิงจิ้งก็เหลือเฟือแล้ว” คำตอบของสามียิ่งทำให้นางกังวลไปอีก จากที่เคยสัมผัสกับการเดินทางไกลจากเมืองสู่เมืองมาเป็นเดือน ๆ เถาม่านหลิวรู้ว่ามันลำบากและอันตรายแค่ไหน แล้วนี่จะไปต่างแคว้นแท้ ๆ กับคนแค่นี้ แถมมีนางกับจูถิงที่เป็นตัวภาระอีก ถ้าเกิดมีภัยพวกนางจะไปช่วยอะไรได้ล่ะนอกจากเป็นตัวถ่วง แล้วแบบนี้จะไม่ให้นางกังวลได้อย่างไร “มาเถอะ ขึ้นรถม้าได้แล้ว ที่ซานโจวไม่มีสิ่งใดน่ากลัวหรอก” เขาพูดปลอบ แต่ภรรยาตัวน้อยก็ยังนิ่งและไม่คิดจะก้าวขาขึ้นรถม้า เหมือนนางไม่ได้ยินที่เขาพูด เขาจึงเดินไปหาและอุ้มนางขึ้นรถม้าซะเลย แต่ก่อนจะถอยออกมาเขาก็ยังได้กลิ่นของตัวเองติดตัวนางชัดเจน “กอดห่อผ้าอะไรเอาไว้น่ะ ทำไมไม่เก็บเอาไว้ในหีบ” เขาแกล้งถาม ทั้งที่รู้อยู่ว่าในห่อผ้ามีเสื้อที่เขาใส่แล้วเมื่อคืนอยู่ในนั้น “ห่อผ้าเอามาใช้แทนหมอนน่ะ ท่านไม่ต้องสนใจหรอก รีบออกเดินทางเถอะเดี๋ยวแดดจะร้อน” นางเฉไฉแล้วรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อปิดพิรุธ โจวซีหยางอมยิ้มที่เห็นภรรยาเขินอายจนแก้มแดงปลั่งทำไมนางช่างน่ารักน่าแกล้งเสียเหลือเกิน ว่าแล้วก็อยากไล่จูถิงให้ลงจากรถม้า แล้วให้เขาขึ้นไปอยู่บนนั้นแทน แต่ดูเหมือนภรรยาของเขาคงไม่ยินยอมหรอกนะ เพียงสองเค่อที่พวกเขาออกมาจากจวนสกุลเถา ตอนนี้พวกเขากำลังข้ามชายแดนไปเหยียบแผ่นดินของแคว้นซานโจวแล้ว “ฮูหยินเจ้าขา ตอนนี้เราข้ามมาฝั่งชายแดนของแคว้นซานโจวแล้วนะเจ้าคะ” จูถิงมีหน้าที่รายงานทุกอย่างให้นายสาวของตนฟัง เพราะเจ้านายคนงามไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลยนอกจากการนอนกอดห่อผ้าเท่านั้น “หื้ม...ไวขนาดนั้นเชียว เช่นนั้นจวนสกุลเถาก็อยู่ไม่ไกลจากชายแดนเลยสินะ” “ไม่ไกลเลยเจ้าค่ะฮูหยิน จวนสกุลเถาห่างจากชายแดนแค่สี่ลี้เองเจ้าค่ะ” จูถิงบอกเจ้านายตามที่เผิงจิ้งบอกมาอีกที “ผ่านด่านชายแดนมาอย่างปลอดภัยแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะได้นอนเสียที เจ้าไม่ต้องปลุกข้าล่ะ จนกว่าจะถึงมื้อเที่ยงค่อยปลุกข้าก็แล้วกัน” สั่งความสาวใช้แล้วนางก็เอนตัวลงนอนบนกองผ้านวมที่ถูกปูเอาไว้อย่างหนา ในอ้อมแขนก็ยังกอดห่อผ้าเอาไว้แน่นอย่างหวงแหน เหมือนกลัวว่าใครจะแย่งเอาไปอย่างนั้นแหละ “ถ้าจะเป็นขนาดนี้ ทำไมไม่บอกความจริงกับนายท่านไปเลยล่ะเจ้าคะ บ่าวว่ากลิ่นที่อยู่บนตัวของนายท่านโจว น่าจะดีกว่ากลิ่นที่ติดอยู่กับเสื้อเป็นไหน ๆ ฮูหยินเห็นด้วยไหมเจ้าคะ ฮิฮิ” จูถิงแซวนายสาว จนตอนทำให้นางมุดหน้าเข้ากองผ้าห่มไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สองชั่วยามต่อมาจูถิงก็ปลุกเจ้านายตามคำสั่ง เมื่อรถม้ามาหยุดอยู่ที่ที่หนึ่งเพื่อพวกเขาจะได้ทานมื้อกลางวัน “เอ๊ะ! ที่นี่คือ?” หญิงสาวถามด้วยความฉงน เมื่อออกมาจากรถม้าก็เห็นอาคารไม้หรูหราหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า “ที่นี่คือหนึ่งในโรงเตี๊ยมขึ้นชื่อของเมืองหน้าด่านจ้วงโจว ข้างในมีเหลาอาหารด้วย ไปกันเถอะเจ้ากับลูกคงหิวแย่แล้ว” โจวซีหยางตอบ ขณะเดียวกันเขาก็จูงมือนางเดินเข้าไปในส่วนที่เป็นเหลาอาหาร โดยไม่รอให้นางทักท้วง เมื่อพวกเขาทั้งหมดเดินเข้ามาในบริเวณส่วนกลาง กลุ่มของพวกเขาก็เป็นจุดสนใจของผู้คนทันที ทำให้เถาม่านหลิวรู้สึกประหม่า นางคิดว่าตัวนางและกลุ่มคนของนางคงไม่เหมาะกับที่นี่กระมัง ผู้คนถึงได้มองแปลก ๆ เหมือนไม่เคยพบเคยเห็น “เราหยุดพักกินข้าวใต้ร่มไม้ตามชายป่าก็ได้ ทำไมต้องสิ้นเปลืองตำลึงเพราะข้าวเพียงมื้อเดียวด้วยล่ะ” นางว่า พลางกระตุกมือของสามีให้หยุดเดิน แล้วทำท่าเหมือนจะหันหลังกลับ “ม่านหลิว สามีรู้ว่าเจ้าเสียดายเงิน แต่สามีเคยบอกว่าเราจนและอดอยากยากแค้นสักครั้งหรือไม่” เขายิ้มอบอุ่นให้กับนางพร้อมกับจูงมือเรียวเล็กไปยังห้องกินข้าวที่เป็นส่วนตัว ถัดจากมื้อกลางวันเขายังเอ้อละเหยพานางเดินเล่นในสวนหย่อม และยังพาเดินชมน้ำตกจำลองที่ทางโรงเตี๊ยมจัดเอาไว้อย่างสวยงาม เพื่อเป็นที่นั่งพักผ่อนสำหรับลูกค้า “เจ้าชอบที่นี่หรือไม่” เขาถามคำประโยคเดิมเหมือนที่เคยถามนางตอนอยู่จวนสกุลเถา “ชอบเจ้าค่ะ แต่เรารีบออกเดินทางเถิดนะ” นางเร่งเร้า โดยไม่บอกเหตุผลว่าทำไม แต่ก็เหมือนว่าเขาจะรู้ทัน “เจ้ายังไม่เชื่อสินะว่าสามีของเจ้ามีเงิน” “ต่อให้ท่านมีเงินมากมายมันก็หมดได้ง่าย ๆ หากไม่พึงระวังเรื่องใช้จ่าย ตั้งแต่ออกเดินทางมาเราก็ใช้เงินหมดไปหลายตำลึงแล้ว แต่เราไม่มีรายได้เข้ามาเลยนะเจ้าคะ สมบัติของข้าก็ไม่มี แล้วจะให้ข้าสบายใจที่เห็นท่านจับจ่ายอย่างฟุ่มเฟือยได้อย่างไร” ได้ฟังเหตุผลของภรรยาวัยกระเตาะ เขาก็ยิ้มแก้มปริ ไม่น่าเชื่อว่าอายุของนางยังไม่ถึงสิบห้า นางโตเกินวัยทั้งร่างกายและความคิดทีเดียว เขาควรภูมิใจใช่หรือไม่ที่มีภรรยาขี้ตระหนี่และรู้จักคิดเช่นนี้ “ขอบคุณที่มีใจอยากช่วยสามีประหยัดเงิน แต่ที่ถามว่าชอบไหม ไม่ใช่จะชวนให้พักที่นี่ แต่จะนำแบบไปจัดสวนให้เจ้าต่างหากล่ะ” “อ้อ...ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้าก็ขอบคุณท่านเช่นกันเจ้าค่ะ แต่การจัดสวนใหม่ให้สวยแบบนี้มันก็ต้องใช้เงินเยอะมิใช่หรือ” ต่อให้นางชอบ แต่สุดท้ายมันก็ไม่พ้นเรื่องเงินอยู่ดี “ข้าจะจัดสวนใหม่ให้เจ้าโดยไม่ให้เงินบิ่นแม้แต่ตำลึงเดียว แบบนี้ดีหรือไม่เล่า” เขาบอกกล่าวให้นางสบายใจ แต่ไม่ได้อธิบายว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เสียตำลึง “อือ...” นางพยักหน้าตกลง เป็นอันว่าจบเรื่อง หลังจากเดินชมสวนไปหนึ่งรอบโจวซีหยางก็พาภรรยาไปขึ้นรถม้าเพื่อออกเดินทางต่อ พอขึ้นรถม้าปุ๊บ เถาม่านหลิวก็รีบคว้าห่อผ้าเอามากอด ไม่นานนางก็หลับไปอีก ส่วนสาวใช้จูถิงได้แต่นั่งมองนายสาวด้วยความเอ็นดู สามชั่วยามต่อมา เหมือนการเดินทางของพวกเขาจะจบลงแล้ว เมื่อรถม้าได้มาจอดสนิทในอานาเขตของจวนแห่งหนึ่ง “จูถิงเจ้าตามเผิงจิ้งไป เขาจะพาเจ้าไปยังที่พัก ส่วนฮูหยินข้าจะดูแลนางเอง” “จูถิงที่กำลังปลุกนายสาวของตนจำต้องชงักค้าง นางถดมือเอาไว้ทันเมื่อได้ยินคำสั่งของนายท่านโจว แล้วนางก็รีบลนลานลงจากรถม้า แต่ก็ต้องตาลีตาเหลือกกับสิ่งที่เห็นภายนอก ก็คนมากมายหลายสิบคนที่มายืนเรียงรายรอต้อนรับพวกนางอย่างนอบน้อมนั่นยังไงล่ะ พวกเขาเหล่านั้นคือข้ารับใช้ไม่ผิดแน่ ถ้าเปรียบกับสกุลชางที่นางเคยอยู่ด้วย นายท่านชางจางเว่ยก็ถือว่าเป็นผู้ที่ร่ำรวยมากของต้าไฮ่คนหนึ่ง แต่จวนของสกุลชางเทียบไม่ติดกับสถานที่แห่งนี้เลย “จูถิงตามข้ามา” เผิงจิ้งเรียก ทำให้จูถิงออกจากภวังค์และเดินตามหัวหน้าเผิงไปโดยเร็ว ด้านในรถม้ายังมีหญิงสาวนางหนึ่งที่ไม่รู้อิโหน่อีเหน่ นางยังขดตัวกอดห่อผ้านอนหลับตาพริ้มด้วยสีหน้าที่มีความสุขยิ่ง แม้จะถูกใครบางคนอุ้มออกไปจากรถม้า นางก็ยังไม่รู้สึกตัวเลย ในขณะที่นางกำลังซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นบนเตียงหลังใหญ่ และกำลังถูกจมูกคมสันซอกซอนสูดดมกลิ่นหอมจากเรือนกาย นางก็ยังหลับสนิทได้เช่นเดิม
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD