หนึ่งชั่วยามต่อมา พิธีแต่งงานก็ถูกจัดขึ้นแบบง่าย ๆ สิ่งของที่ใช้ในพิธีก็ได้ครบทุกอย่างไม่มีขาด เพราะเผิงจิ้งได้เข้าไปขอความช่วยเหลือจากคนสกุลชาง ไม่พอเท่านั้น เขายังได้ชางจางเว่ยมาเป็นเถ้าแก่ฝ่ายเจ้าบ่าวให้อีกด้วย ถึงชางจางเว่ยจะไม่รู้ลึกตื้นหนาบางของเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่เขาไม่ปักใจเชื่อว่าคนอย่างโจวซีหยางกับหวังม่านหลิวจะทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนั้นได้ ข่าวลือที่ว่าหนุ่มสาวทั้งสองเป็นคนรักกันและจงใจมีสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการทาบทามขององค์ชายใหญ่ มันช่างไร้สาระสิ้นดี
ต่อให้งานแต่งถูกจัดขึ้นแบบเงียบเชียบ แต่ข่าวลือของคุณหนูใหญ่สกุลหวังกับกับพ่อค้าจรต่างถิ่นที่ได้แต่งงานกันแบบสายฟ้าแลบ ได้แพร่สะพัดไปไวปานไฟลามทุ่ง ผู้คนต่างพูดถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของเจ้าสาวกับเจ้าบ่าวที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงวันเกิดของคุณหนูเล็กอย่างสนุกปาก
“ข้าไม่เคยคิดว่าคุณหนูใหญ่หวังม่านหลิวจะเป็นเด็กสาวร่านรักและไร้ยางอายเช่นนี้ นางยังไม่ทันปักปิ่นด้วยซ้ำไม่ใช่หรือ ช่างน่าสงสารบิดาของนางจริง ๆ”
“เพราะเหตุนี้นายท่านหวังเลยต้องจัดงานแต่งให้เงียบและไวที่สุด คงเพราะอับอายเกินกว่าจะสู้หน้าผู้คนกระมัง”
นี่คือความคำพูดของผู้คน ที่ได้ยินข่าวการแต่งงานของคุณหนูใหญ่กับพ่อค้าต่างถิ่น ที่ถูกจัดขึ้นอย่างเร่งรีบที่จวนของตระกูลหวัง
เพราะอย่างนั้นงานแต่งของหวังม่านหลิวกับโจวซีหยางจึงแทบจะไม่มีแขกมาร่วมงานเลยสักคน เพราะแขกที่ค้างคืนอยู่ที่จวนก็พากันหนีหายกลับไปหมดแล้ว ฉะนั้นก็มีแต่คนของโจวซีหยางที่มีอยู่ราวสิบคน แล้วยังมีชางจางเว่ยกับคนของเขาที่ส่งมาช่วยงานแค่นั้น เพราะหวังยี่ชวนไม่ยอมยื่นมือเข้ามาช่วยหลืออะไรสักอย่าง ตามที่ได้บอกกล่าวเอาไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว
เรือนของฮูหยินรอง...
“เจ้าทำได้ดีมากมู่เอ๋อร์ของแม่ ต่อไปเจ้าจะเป็นคุณหนูของตระกูลหวังเพียงหนึ่งเดียว ตำแหน่งพระชายาจะเป็นของใครไปได้ล่ะถ้าไม่ใช่เจ้า แม้แต่ตำแหน่งไท่จื่อเฟยกับฮองเฮาก็มารอเจ้าอยู่หน้าประตูจวนแล้วลูกรัก อำนาจทุกอย่างมันจะตกเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ฮ่า ๆ ๆ ๆ” หวงมู่ฮวาหัวเราะบ้าคลั่งราวกับคนเสียสติ
พอได้ยินว่าตนจะได้เป็นคุณหนูสกุลหวังเพียงหนึ่งเดียวแบบไร้คู่แข่ง และจะได้รับบรรดาศักดิ์สูงส่งทันทีหลังจากอภิเษกกับองค์ชายใหญ่ หวังมู่หยาเองก็ไม่ต่าง นางหัวเราะคิกคักผสมโรงกับผู้เป็นมารดา หนักเข้าหน้าตาก็บิดเบี้ยวไปตามความสะใจ ไม่หลงเหลือเค้าของเด็กสาวไร้เดียงสาเลยสักนิด
“มู่เอ๋อร์ อนาคตของเจ้าคือแม่เมืองของแคว้นต้าไฮ่ที่มั่งคั่ง อย่าเผลอทำหน้าตาประหลาดเช่นนั้นให้ผู้คนเห็นเชียว ไม่อย่างนั้นความดีงามที่เจ้าเพียรสะสมมามันจะสูญเปล่าเอาได้” คำสอนสั่งของนางช่างดูดี ผิดกับเสียงหัวเราะที่แผดแหลมเมื่อครู่นี้อย่างลิบลับ
“ขออภัยเจ้าค่ะท่านแม่ ข้าดีใจเกินไปหน่อย” เด็กสาวขอโทษมารดา แต่ยังเผลอแสยะยิ้มจนดูน่ากลัวอยู่ดี
“อืม...จากนี้ไปก็จำเอาไว้ให้ขึ้นใจ กิริยาอันใดที่มิควรก็อย่าเผยออกมาให้ใครเห็น ยิ่งเมื่อได้แต่งเข้าเป็นชายาขององค์ชายใหญ่ เจ้ายิ่งต้องระวังให้มาก ๆ เข้าใจไหม”
“ลูกเข้าใจเจ้าค่ะท่านแม่”
“ดีมากจ้ะ อ้อ...เราอย่ามัวแต่คุยกันอยู่เลย รีบไปร่วมพิธีเพื่อเป็นพยานรักให้กับคู่บ่าวสาวกันเถอะ”
หวังมู่หยายิ้มร่าอารมณ์ดี เด็กสาวกระโดดโลดเต้นขณะเดินตามหลังมารดาออกไปยังลานที่ทำพิธีแต่งงาน นางรู้สึกสะใจจนแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะได้เห็นความพินาศของพี่สาวผู้เลอโฉม
พอจบพิธีแต่งงานที่ถูกต้องตามประเพณีด้วยฝีมือของคนสกุลชางที่ยื่นมือเข้ามาจัดการให้ ต่อจากนั้นเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวก็ได้ทำพิธีอัญเชิญป้ายวิญญาณของฮูหยินเถาฟานหนิง เมื่อเสร็จสิ้นหวังม่านหลิวได้นำผ้าที่ลงอักขระอันเป็นมงคลมาห่อหุ้มเอาไว้ และคงเป็นฝ่ายเจ้าบ่าวอีกนั่นแหละที่จัดหามาให้นาง ในหน้าเศร้าหมองที่ถูกปิดด้วยผ้าคลุมหน้าสีแดงของเจ้าสาวมีรอยยิ้มแย้มออกมาเล็กน้อย เมื่อนางได้รับป้ายวิญญาณของมารดามาไว้กับตัว
นั่นถือเป็นอันสิ้นสุดพิธีการต่าง ๆ ในสกุลหวัง ม่านหลิวกอดตัวแทนของมารดาเอาไว้แนบอกขณะเดินออกมาหน้าจวน เพื่อจะเดินทางต่อ ซึ่งจะเป็นแดนสวรรค์หรือแดนนรกนางก็ไม่อาจจะรู้ได้ คงสุดแล้วแต่ชายผู้นั้นจะเป็นคนพานางไป
ด้วยความเหน็ดเหนื่อยกับงานพิธีบวกกับอาการเมาค้างมันทำให้นางสามารถล้มลงไปกองกับพื้นได้ทุกเมื่อ ดังนั้นนางจึงไม่มีท่าทีขัดขืน เมื่อเจ้าบ่าวอุ้มนางขึ้นไปนั่งบนรถม้าที่เตรียมเอาไว้สำหรับการเดินทางไกล ข้างกายของนางยังมีหญิงสาวคนหนึ่งติดตามขึ้นมานั่งด้วย หญิงสาวคนนี้มีกิริยาที่นอบน้อมถ่อมตน คล้ายกับเป็นสาวใช้ที่ถูกจัดหามาให้เจ้าสาวโดยเฉพาะ สำหรับเจ้าบ่าวและคนสนิท พวกเขาก็จะมีม้าคู่ทุกข์คู่ยากของตัวเองเป็นพาหนะ ในการเดินทางครั้งนี้มีรถม้าทั้งหมดสามคันอยู่ในขบวน อีกทั้งยังมีคนคุ้มกันไปด้วยห้าคน ทุกคนล้วนเป็นคนของเจ้าบ่าวทั้งสิ้น
ก่อนที่ขบวนรถม้าเล็ก ๆ จะออกเดินทาง หวังยี่ชวนได้เดินออกมากล่าวบางอย่าง
“จำเอาไว้นะ นับจากวันนี้เป็นต้นไปเจ้าไม่ใช่คนของสกุลหวังอีกแล้ว พวกเราที่อยู่ตรงนี้ล้วนต้องทนแบกรับความอับอายที่เจ้าก่อเอาไว้ ฉะนั้นอย่าได้โทษข้าที่ตัดเจ้าออกจากตระกูล” พูดจบก็เดินจากไป
น้ำตาของเจ้าสาวไหลเป็นทาง นางทั้งผิดหวังและเสียใจเมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นบิดาที่ตัดขาดเยื่อใยกับนางโดยสิ้นเชิง
“คุณหนูม่านหลิว ขอให้เดินทางโดยสวัสดิ์ภาพ ข้าเชื่อว่าหัวหน้าโจวจะดูแลเจ้าได้เป็นอย่างดี”
ชางจางเว่ยเดินเข้ามาอวยพรหลังจากที่หวังยี่ชวนเดินหายเข้าไปในเรือนแล้ว แล้วเขาก็เดินไปพูดคุยกับกับเจ้าบ่าวสักครู่ก่อนที่จะอำลาจากกัน
“ขอบคุณนายท่านชางที่ดูแลคนต่างถิ่นอย่างพวกเราเป็นอย่างดี” เจ้าบ่าวที่นั่งอยู่บนหลังม้าค้อมหัวคำนับจากใจจริง
“เรื่องเล็กน้อยน่าหัวหน้าโจว ข้าไม่รู้เรื่องจริงเท็จมันเป็นเช่นไรแต่ข้าเต็มใจช่วย และต้องขอบคุณท่านด้วยที่ยังคิดถึงข้ายามลำบาก อ้อ...สาวใช้คนนั้นมีชื่อว่าจูถิง นางเป็นเด็กดีและขยันขันแข็ง ข้าฝากนางไว้กับพวกท่านด้วยนะ”
“ขอบคุณท่านที่มอบสาวใช้ให้กับภรรยาข้า เราจะดูแลนางประหนึ่งเป็นคนในครอบครัว ท่านสบายใจได้”
หลังจากฝากฝังกันเสร็จ คณะเดินทางก็พากันกล่าวอำลานายท่านชาง แล้วก็เคลื่อนตัวออกไปจากจวนสกุลหวังอย่างรวดเร็ว
“นายท่านหวังใจร้ายกว่าที่ข้าคิด เสร็จพิธีแต่งก็ขับไล่ไสส่งพวกเขาออกจากจวนทันที สินเดิมของเจ้าสาวมีรึเปล่าก็ไม่รู้ ท่านเห็นห่อผ้าที่นางกอดเอาไว้หรือไม่ ข้าได้ยินมาว่า นั่นคือป้ายวิญญาณของฮูหยินเถา แม้แต่ป้ายวิญญาณของเมียเอกก็ยังอยู่จวนนี้ไม่ได้เลย ช่างน่าเวทนายิ่งนัก” คนของชางจางเว่ยพูดขึ้น ซึ่งหลายคนกำลังเกาะกลุ่มคุยกันอย่างเมามันกับเรื่องงานแต่งที่พวกเขาถูกเกณฑ์ให้มาช่วยงาน
“อีกไม่กี่เดือนนางจะได้เป็นสะใภ้หลวงอยู่แล้ว แต่ดันประพฤตัวผิดจารีตสร้างความอัปยศให้กับตระกูล เมื่อลูกทำผิดคนเป็นแม่ย่อมมีความผิดด้วย ต่อให้ตายไปแล้วจนเหลือแต่ป้ายวิญญาณก็เถอะ ถือว่าโชคดีเท่าไหร่แล้วที่พวกเขายังได้แต่งงานกัน นี่ถือว่านายท่านหวังใจกว้างไม่เบา” สตรีอีกคนให้ข้อคิดที่เห็นต่าง
ความคิดเห็นของคนที่มาจากจวนสกุลชางแตกแยกเป็นสองส่วน บางคนก็เห็นใจเจ้าบ่าวกับเจ้าสาว แต่ส่วนมากล้วนเห็นใจหวังยี่ชวนที่มีบุตรสาวอกตัญญู สร้างความเสื่อมเสียให้กับวงศ์ตระกูล
“พวกเจ้ารีบเก็บของที่เอามาจากจวนของข้ากลับให้หมด อย่ามัวแต่ปากยื่นปากยาวนินทาผู้อื่นอยู่เลย” ชางจางเว่ยเข้ามาแทรกกลางวงสนทนา ทำเอาคนของเขาแตกฮือไปคนละทาง
เสียงสนทนาเหล่านั้นลอยเข้าหูของหวังยี่ชวนทุกถ้อยคำไม่มีตกหล่น แต่มันไม่ได้ทำให้เขาอารมณ์เสียแม้แต่น้อย ด้วยท่าทีที่นิ่งขรึม คนก็เดาเอาว่าเขากำลังสะกดกลั้นอารมณ์ขุ่นมัวเอาไว้ แต่จะมีใครล่วงรู้ภายในใจของนายท่านหวังได้ล่ะว่าเขาคิดอะไรอยู่ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะกำลังหัวเราะพอใจอยู่ก็เป็นได้
“ท่านพ่อเจ้าขา องค์ชายใหญ่จะเลือกลูกจริง ๆ ใช่ไหมเจ้าคะ” เด็กสาวถามอย่างไม่คำนึงถึงอายุและรูปร่างที่ยังเป็นเด็กของตัวเอง
“แน่นอน องค์ชายใหญ่ต้องเลือกมู่เอ๋อร์ของแม่อยู่แล้ว” หวงมู่ฮวาตอบบุตรสาวของนางแทนผู้เป็นสามี
“ข้าสืบมาว่าคุณหนูตระกูลอื่นที่มีฐานะร่ำรวยต่างถูกองค์ชายน้อยใหญ่ทาบทามไปจนหมดแล้ว เหลือแต่ตระกูลหวังของเราที่ร่ำรวยที่สุดและยังมีบุตรสาวที่ยังว่างอยู่ พอไม่มีนางเด็กนั่น องค์ชายเป่ยหานเฟยต้องหันมาเลือกมู่เอ๋อร์ของเราแน่นอน เพราะสกุลหวังเหมาะสมที่สุดแล้วที่จะได้เป็นสะใภ้หลวงอันดับหนึ่ง”
“ข้าก็หวังเช่นนั้น” หวังยี่ชวนยิ้มให้ภรรยากับบุตรสาวคนเดียวอย่างมีความสุข ในใจก็คาดหวังถึงการเป็นพ่อตาขององค์ฮ่องเต้ในอนาคต
ในวังหลวง ณ ห้องทรงอักษรของฮ่องเต้เป่ยหาน
ผัวะ!!
“บัดซบ! ไม่รอให้นางท้องโย้ก่อนล่ะถึงมารายงานข้า พวกเจ้าทำให้ข้าถูกมองว่าเป็นคนโง่”
เป่ยหานเฟยตวาดลั่น พร้อมกันนั้นก็ฟาดหลังมือเข้าที่ใบหน้าขององครักษ์ด้วยความโมโห เมื่อเขาได้รับรายงานสด ๆ ร้อน ๆ จากจวนสกุลหวัง
“หม่อมฉันควรส่งคนไปแย่งนางมาดีหรือไม่พ่ะค่ะเสด็จพ่อ หม่อมฉันไม่ยอมให้ไอ้พ่อค้าต่ำตมคนนั้นฉกนางไปง่าย ๆ หรอก” เป่ยหานเฟยงอแงเป็นเด็ก
“ตั้งสติด้วยองค์ชายใหญ่ สตรีนางนั้นเป็นภรรยาของคนอื่นไปแล้ว จะไปแย่งหญิงร่านฉาวโฉ่มาให้ผู้คนครหาหรืออย่างไร แถมตอนนี้นางก็มีแต่ตัวไม่เหมาะที่จะพาเข้าวัง ตระกูลหวังไม่ได้มีคุณหนูใหญ่เพียงคนเดียวนะ”
“แต่คุณหนูเล็กนางเพิ่งจะสิบขวบเองนะเสด็จพ่อ โตขึ้นนางจะงดงามเหมือนพี่สาวรึเปล่าก็ไม่รู้”
“ความงามทำให้สมบัติในคลังหลวงงอกเงยขึ้นบ้างไหมคิดสิคิด จุดประสงค์ของเราคืออะไรองค์ชายยังจำได้หรือไม่ ถึงนางจะอายุยังน้อยก็ไม่สำคัญแล้ว หรือเจ้าจะรอให้มีคนปาดหน้าไปอีก ไม่เสียดายสมบัติที่นางครอบครองอยู่หรืออย่างไร”
เมื่อพระบิดาตรัสเช่นนี้ อารมณ์ขุ่นมัวขององค์ชายใหญ่ถึงได้สงบลง และเริ่มคิดแผนการณ์ที่จะเอาคืนคนสกุลหวังที่บังอาจทำให้เขาขายขี้หน้าประชาชี และจะถือโอกาสนี้รวบรัดคุณหนูเล็กให้เป็นชายาเสียเลย เพราะเขาคงไม่รอให้เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองแน่
ไม่ถึงหนึ่งเค่อองค์ชายใหญ่เป่ยหานเฟยก็ตัดใจจากหวังม่านหลิวได้อย่างรวดเร็ว นับว่าเป็นโชคดีของคณะเดินทางกลุ่มเล็ก ๆ ที่กำลังพากันมุ่งหน้าออกไปให้พ้นจากเมืองหลวงหลังจากที่พิธีแต่งงานของพวกเขาจบสิ้นลง