ชายหนุ่มปล่อยหัวใจตัวเองให้หยุดพักครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับกายช้อนอุ้มร่างงามของภรรยาไว้ในอ้อมแขนแข็งแรง ดวงตาคมจ้องมองใบหน้างดงามอ่นหวานของเธอด้วยแววตาอ่อนโยน ขณะเดินตรงไปยังเตียงนุ่ม ค่อยวางร่างของเธอลงอย่างทะนุถนอม สายตาสองคู่ประสานกันด้วยแววตาอ่อนหวาน มากกว่าคำว่ารักคือความเข้าใจ ผูกพันหัวใจสองดวงไว้ด้วยกันแน่นเหนียวยิ่งกว่าโซ่ตรวนใดใดในโลก
“ผมรักคุณนะลดา...” หลี่เจิ้งก้มลงกระซิบบอกรักเสียงนุ่ม
ร่างหนาทอดกายก่ายเกยร่างบางไว้อย่างเป็นเจ้าของ ดวงตาคู่คมจับนิ่งอยู่บนใบหน้างดงามไม่ละสายตา ขณะค่อยๆ ก้มลงแตะริมฝีปากจุมพิตบนเปลือกตาทั้งสองข้างแผ่วเบา บนหน้าผากเนียน บนปลายจมูกโด่งเล็กอย่างแสนรัก ริมฝีปากร้อนผ่าวเคลื่อนมาประทับบนเรียวปากนุ่มสีกุหลาบนั้นนิ่งนาน แม้จะเคยสัมผัสรส ลิ้มลองความหวานนี้มาเท่าใด ทว่าความหวานล้ำไม่เคยลดลงเลยสักครั้ง มีแต่จะหวานซ่านทรวงเพิ่มขึ้นทุกๆ ครั้ง ปลายลิ้นซอกซอนแระเล็มความหอมหวานลึกล้ำ กวาดต้อนดื่มด่ำกับรสน้ำผึ้งหวานไม่รู้หน่าย มือหนาป่ายปะไปทั่วร่างงามนวลเนียน ก่อนจะปลดเปลื้องอาภรณ์ออกจากร่างของเขาและเธอ ชายหนุ่มแย้มยิ้มละมุน กายสาวงดงามราวเทพธิดาเดินดิน ชวนให้คนเห็นใจสั่นระรัวด้วยฤทธิ์เสน่หา ดวงตาคู่คมทอดมองความงดงามของหญิงสาวใต้ร่างอย่างหลงไหล เลือดในกายร้อนผ่าวเมื่อพบความเย้ายวนใจจนมิอาจต้านทานไหว ผิวนุ่มหอมละมุนยั่วให้จมูกโด่งงามซุกซบสูดดมกลิ่นจรุงใจไม่ยอมผละห่าง ดวงตาคมทอดมองปทุมคู่งามด้วยแววตารัญจวนใจ ก่อนจะก้มลงสัมผัสบัวสวรรค์คู่นั้นด้วยความเสน่หา หยอกเย้าลิ้มลองรสชาติของเม็ดบัวสีทับทิมอย่างอดใจไม่อยู่
ชายหนุ่มเป็นดั่งภมรหลงกลิ่นเกสรของผกางาม เฝ้าดอมดมละเลียดชิมรสอันหวานละมุนลิ้น ดื่มกินรสหวานหอมอยู่ไม่รู้อิ่ม สายลมเย็นฉ่ำในคราแรกได้กลายเป็นพายุเสน่หา พัดโหมกระหน่ำจนดอกไม้งามแกว่งไกวสะบัดไหวตามแรงลม ภมรหนุ่มขยับปีกร่อนถลาคลุกเคล้าเกสรงามไม่ลดละ รสหวานหอมยั่วเย้าให้ตามติดสนิทแนบดื่มด่ำความหวานเลิศรสนั้นด้วยแรงปรารถนา กว่าภมรหนุ่มจะอิ่มเอมสมใจอยาก ดอกไม้งามก็ถูกสัมผัสไปทั่วทุกอณูอย่างลึกเร้น...
“อาเจิ้ง พ่อไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน โรคร้ายในตัวมันกัดกินร่างกายไปทุกวัน จงตั้งใจเรียนรู้ในสิ่งที่พ่อสอน เพราะต่อไปลูกต้องใช้มันเพื่อยืนหยัดอยู่ในวงการนี้”
หลี่เสวียนตบไหล่ลูกชาย ขณะพาเขาไปรู้จักกับหัวหน้าแกนนำคนสำคัญของแก๊ง การประชุมถูกจัดขึ้นที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งซึ่งถูกเหมาทั้งร้านเพื่อการนี้ สมาชิกระดับแกนนำของแก๊งทะยอยกันมาจนครบจึงได้เริ่มประชุมกันขึ้น หลี่เสวียนรักษาท่าทีของตัวเองอย่างน่าเกรงขาม ดวงตาคมกริบแลกราดไปยังสมาชิกแก๊งค์ทุกคน ก่อนจะหยุดสายตาที่จงเหอหัวหน้าเขต เขาแย้มมุมปากเล็กน้อยดวงตาคมกริบมองสบตากับอีกฝ่ายนิ่ง จงเหอสบตากับหัวหน้าแก๊งไม่หลบตา หลี่เสวียนยิ้มกว้างขึ้นก่อนจะเบนสายตามายังลูกชายที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ทุกคนคงจะรู้กันหมดแล้วว่าคุณเหมยกับอาจินลูกชายของผม ถูกลอบวางระเบิดรถจนเสียชีวิตไปเมื่อเดือนก่อน”
หลี่เสวียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ดวงตาจับจ้องสมาชิกแก๊งทุกคนค้นหารอยพิรุธ สาเหตุการตายของภรรยาและลูกชายของเขา อาจเกิดจากฝีมือใครสักคนในแก๊งนี้ ผู้ต้องสงสัยคนสำคัญหนีไม่พ้นจงเหอ ผู้มีอำนาจและบารมีรองเพียงเขาเท่านั้น พฤติกรรมหลายอย่างก่อนหน้านี้บ่งชี้ว่าจงเหอคิดเป็นใหญ่ แข่งบารมีกับหลี่จินลูกชายที่เขาวางตัวเป็นทายาทของเขา แน่นอนว่าหากหลี่จินเป็นอะไรไป เขาซึ่งไร้ทายาทต้องยอมให้แกนนำคนใดคนหนึ่งที่เหมาะสมในแก๊งขึ้นมาแทน และจงเหอคือคนเหมาะสมที่สุดในขณะนี้
“เราขอแสดงความเสียใจด้วยครับคุณหลี่” เว่ยเหยียนเป็นตัวแทนคนในแก๊งกล่าวแสดงความเสียใจต่อเขา
เว่ยเหยียนเป็นอีกคนหนึ่งในแก๊งที่น่าจับตามอง เพราะเขาเป็นญาติห่างๆ ของอดีตหัวหน้าแก๊งคนเก่า แต่ไม่ได้ถูกเลือกให้เป็นทายาทเพราะในขณะนั้นเว่ยเหยียนอายุยังน้อยเกินไป ตอนนี้เว่ยเหยียนเติบกล้ามีอิทธิพลไม่แพ้จงเหอ ด้วยการเป็นพันธมิตรกับแก๊งยากูซ่าของญี่ปุ่น
“ขอบคุณสำหรับคำปลอบใจ ผมคิดว่าไม่นานคนที่ฆ่าคุณเหมยกับอาจิน ต้องได้รับโทษแน่” หลี่เสวียนยิ้มเย็น ดวงตาวาววับน่ากลัว
“ผมกับทุกคนจะช่วยตามล่าคนร้ายให้ครับคุณหลี่”
จงเหอเอ่ยขึ้นเขาปรายตามองหลี่เจิ้งเล็กน้อย แปลกใจที่หลี่เสวียนพาคนนอกเข้ามาร่วมประชุมแก๊งด้วย แต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกมา
หลี่เจิ้งสบตากับจิ้งจอกเฒ่าด้วยแววตาเรียบนิ่งไร้ความยำเกรง เขานั่งมองสมาชิกระดับแกนนำของแก๊งอย่างสังเกต คนที่มีปากเสียงในที่ประชุมมีเพียงจงเหอกับเว่ยเหยียนเท่านั้น คนอื่นนั่งเงียบรอฟังคล้ายไม่มีปากเสียง ใช้เพียงสายตามองดูการวิวาทะของระดับหัวหน้าราวกับว่า รอดูว่าใครจะเพลี่ยงพล้ำก่อนค่อยเข้าข้างฝ่ายนั้น ชายหนุ่มสบสายตากับเว่ยเหยียนอีกฝ่ายจ้องมองกลับ ดวงตาสองคู่สบตากันอย่างประเมินท่าที เป็นเว่ยเหยียนที่ส่งยิ้มให้เขาก่อน หลี่เจิ้งจึงยิ้มตอบไป ด้วยวัยที่ห่างกันไม่มากทำให้เว่ยเหยียนน่าสนใจในการสานความสัมพันธ์ คงไม่ยากหากคิดคบหากันฉันมิตร ในขณะที่จงเหอดูจัดเจนเล่ห์เหลี่ยมแพรวพรายไม่น่าคบมากกว่า
“ขอบคุณมากคุณจง”
หลี่เสวียนแค่นยิ้มให้จงเหอ รู้ดีว่าจงเหอแสร้งพูดเอาใจไปแบบนั้น แววตาของอีกฝ่ายซ่อนความลำพองไว้แทบไม่มิด คงคิดว่าหากเขาไร้ทายาทแล้วตัวเองจะได้ขึ้นรับตำแหน่งหัวหน้าแก๊งหงส์ไฟแทน จึงได้แสดงท่าทีอวดศักดาแบบนั้น
“พูดถึงเรื่องนี้ ผมก็นึกห่วงคุณหลี่ขึ้นมา ตอนนี้ลูกชายของคุณก็ไม่อยู่แล้ว ตัวคุณเองก็สุขภาพไม่ดี หากเป็นอะไรไป แก๊งหงส์ไฟของเราคงระส่ำระสายไม่น้อย”
จงเหอเปรยขึ้นส่อเจตนาในใจของตนอย่างไม่ปิดบัง
สมาชิกคนอื่นต่างมองหน้ากัน บ้างหันไปซุบซิบออกความเห็นกับคนข้างๆ หลายคนแสดงความกังวลออกมาอย่างชัดเจน หลังจากลูกชายของหลี่เสวียนพร้อมภรรยาตายไป หลี่เสวียนก็เข้าโรงพยาบาล กลุ่มขั้วอำนาจต่างๆ ในแก๊งเริ่มรวมตัวแบ่งฝักแบ่งฝ่ายสนับสนุนคนที่เห็นว่าเหมาะจะขึ้นแทนตำแหน่งหัวหน้าแก๊งในอนาคต ฝ่ายที่เป็นพันธมิตรของหลี่เสวียนมีไม่น้อยที่เริ่มไม่แน่ใจสถานภาพของแก๊ง พวกที่เข้ากับจงเหอก็พากันแข่งบารมีกับขั้วอำนาจเดิม ความไม่สงบในแก๊งเป็นดั่งคลื่นใต้น้ำรอคอยเวลาซัดเข้าหาฝั่ง หลี่เสวียนรู้ถึงข้อนี้ดี เขาจึงต้องเรียกตัวลูกชายมารับภาระต่อจากเขา ด้วยหวังจะให้อำนาจถูกสืบทอดอยู่ในมือคนในตระกูลหลี่ต่อไป
“ผมเรียกทุกคนมาประชุมวันนี้ เพราะต้องการพูดถึงเรื่องนี้”
หลี่เสวียนยกยิ้มปรายตามองท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องของจงเหออย่างสมเพช เขาผายมือมายังลูกชายที่นั่งอยู่ พลางแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับหลี่เจิ้ง
“นี่คืออาเจิ้งเป็นลูกชายคนเล็กของผม ซึ่งจะมาช่วยดูแลงานแทนผม ในช่วงนี้”
หลี่เจิ้งลุกขึ้นค้อมศีรษะให้ทุกคน เขายิ้มเย็นกวาดสายตามองสมาชิกแก๊งด้วยแววตาคมกล้า ท่าทางองอาจสง่างามเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจน่าเกรงขามไม่แพ้ผู้เป็นพ่อ ทำให้สมาชิกแก๊งที่อยู่ใต้อานัติของหลี่เสวียนมองอย่างชื่นชม สถานภาพของชายหนุ่มสร้างความตกตะลึงให้จงเหอไม่น้อย มาเฟียเฒ่าจ้องหน้าหลี่เจิ้งพยายามข่มชายหนุ่มรุ่นลูกให้เกรงบารมี แต่หลี่เจิ้งไม่เพียงแต่ไม่ครั่นคร้าม ซ้ำยังจ้องตอบด้วยแววตาทรงอำนาจ จนคนจ้องต้องเมินสายตาหลบไปเอง