“ไม่เคยรู้มาก่อน คุณหลี่มีลูกชายอีกคน” จงเหอแสร้งยิ้ม เอ่ยถามขึ้นมา
หลี่เสวียนยิ้มอารมณ์ดี ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายว่า
“อาเจิ้งเขาอยู่ที่เมืองไทยครับ เพิ่งเดินทางมาที่ฮ่องกงเมื่อเดือนที่แล้ว เพื่อมาช่วยงานผม”
“แบบนี้คุณหลี่ก็มีทายาททำงานแทนแล้วสิครับ แต่ผลงานจะเข้าตาทุกคนหรือเปล่านั้น คงต้องรอพิสูจน์อีกครั้ง”
เว่ยเหยียนเอ่ยเสียงเรียบ แต่สายตาของเขาคล้ายท้าทายในที
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผม จะทำให้พวกคุณยอมรับผมด้วยตัวเอง” หลี่เจิ้งโต้กลับ
เขามองสบสายตากับแกนนำทุกคน อำนาจของผู้เป็นพ่อไม่ได้ทำให้ใครเกรงกลัวเขาและไม่ช่วยให้เขาได้รับการยอมรับโดยไม่แสดงฝีมือให้ประจักษ์ คนเหล่านี้ล้วนเปรียบดังเสือ สิงห์ กระทิง แรด และจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ มีคมเขี้ยวที่พร้อมเข้าขย้ำคนที่ตกเป็นรองได้ทุกเมื่อ หลี่เจิ้งไม่ปล่อยให้ตัวเองแสดงความหวาดหวั่นออกมา หากพ่อของเขาคือมังกรเขาซึ่งเป็นลูกก็ควรเป็นมังกรอย่างเต็มความภาคภูมิ
“งานแรกที่ผมได้ทำและประสบความสำเร็จคือ การลากตัวคนร้ายที่ลอบวางระเบิดรถแม่ใหญ่กับพี่ชายผมมาได้”
หลี่เจิ้งยกมือให้สัญญาณ หวังไป่ฉีพยักหน้ารับแล้วเดินออกไปด้านนอกห้องประชุม ครู่หนึ่งเขาก็เดินนำลูกน้องสองคนที่พาชายคนหนึ่งที่ถูกคลุมศีรษะด้วยถุงผ้าสีดำมายืนกลางห้อง
“คนๆ นี้คือหนึ่งในผู้วางแผนลอบฆ่าแม่ใหญ่กับพี่ชายของผม เราได้หลักฐานและคำสารภาพจากมัน ยืนยันแน่ชัดว่ามันได้ลงมือจริง”
ร่างสูงสง่าของหลี่เจิ้งเดินเรียดเท้ามายืนตรงหน้าชายคนนั้น เหล่าแกนนำขยับลุกจากเก้าอี้ของตน มารุมล้อมคนร้ายไว้ต่างคนพากันจับตามองว่า หลี่เจิ้งจะลงโทษคนร้ายยังไง จงเหอเหงื่อซึมหน้าผากหากยังซ่อนรอยบางอย่างไว้ในแววตาของตัวเองลึกเร้นจนยากจะสังเกต ส่วนเว่ยเหยียนเองก็นิ่งสงบไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา หลี่เสวียนเป็นคนเดียวที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างใจเย็น เฝ้ามองลูกชายของตนด้วยแววตาชื่นชม
“ผมจะให้มันสารภาพว่าผู้บงการเบื้องหลังของมันคือใคร”
หลี่เจิ้งเอ่ยขึ้น เขายกยิ้มมุมปาก ขณะเดินเข้าไปหาชายคนนั้น
“บอกมาว่านายของแกเป็นใคร พูดออกมาดังๆ”
ชายคนนั้นยังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ผ่านไปนานหลายนาทีก็ยังคงเงียบกริบไม่ยอมพูดเช่นเดิม คนที่รอฟังต่างมองหน้ากัน จงเหอเหงื่อแตกพลั่กกำหมัดแน่น จิ้งจอกเฒ่ามองไปรอบๆ กายเห็นสายตาของทุกคนจดจ้องคนร้ายอย่างตั้งอกตั้งใจรอฟัง แต่ละนาทีที่ผ่านไปแรงกดดันเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่ยอมบอกสินะ”
หลี่เจิ้งล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบกล่องแบนกล่องหนึ่งออกมาเปิด ปลายนิ้วเรียวยาวคีบเข็มเล่มเล็กสีเงินออกมาจากกล่องใบนั้น เขามองไปรอบๆ กระตุกรอยยิ้มกว้างขึ้น ทว่าแววตากลับดุกร้าวเยียบเย็น ขณะวาดมือแทงเข็มเล่มนั้นลงไปยังร่างของคนร้ายรวดเร็ว
ไม่ถึงนาทีชายคนนั้นก็กระตุกเกร็งหอบหายใจแรง ลูกน้องของหลี่เสวียนจับแขนไว้จนไม่สามารถดิ้นไปไหนได้ จากที่ไม่ยอมพูดชายคนนั้นกลับร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด สั่นสะท้านไปทั้งตัว คนที่มองพากันมองอย่างสนใจ เพราะไม่เคยเห็นการทรมานนักโทษแบบนี้มาก่อน ปกติพวกเขามักจะซ้อมให้เจ็บตัว หรือไม่ก็ใช้มีดหรือปืนข่มขู่ให้สารภาพ แต่วิธีการของหลี่เจิ้งแทบไม่ต้องลงแรงอะไรเลย กลับสร้างความเจ็บปวดให้เหยื่ออย่างสาหัส
“ยอมแล้ว โอ๊ย ยอมบอกแล้ว!”
ชายคนนั้นร้องโหยหวน ยอมสารภาพเพราะทนความเจ็บปวดทรมานไม่ได้
“คนที่สั่งให้วางระเบิดคือ อึก อุ๊บ!”
ชื่อของผู้บงการไม่ทันจะหลุดออกมา คนสารภาพก็ถูกหลี่เจิ้งใช้เข็มแทงที่คอ ทำให้เสียงหายไป คนรอฟังแปลกใจกับการกระทำนั้น มีเพียงจงเหอที่ลอบเป่าปากคล้ายโล่งใจ อาการนั้นไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของหลี่เสวียนที่เฝ้าดูอยู่
เขายิ้มให้ลูกชายส่งสายตาเป็นนัยยะบางอย่างให้รับรู้ หลี่เจิ้งพยักหน้ารับ
“คุณจง ผมอยากให้คุณช่วยทรมานคนทรยศคนนี้ ให้ผมดูเป็นตัวอย่างได้ไหมครับ”
หลี่เจิ้งส่งมีดให้จงเหอ เขามองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบนิ่ง จงเหอปาดเหงื่อมองมีดที่ถูกยื่นส่งมาให้อย่างขัดใจ แต่ก็ยอมรับมาถือไว้โดยดี
“การทรมานให้นักโทษสารภาพ มันต้องทำแบบนี้”
จงเหอยกมีดขึ้น สายตาของจิ้งจอกเฒ่าวาววับทีเดียว ขณะแทงมีดปักลงบนท้องของชายคนนั้น เลือดพุ่งกระฉูดไหลนองพื้นแดงฉาน ร่างของคนโดนแทงดิ้นกระตุกไปมาแต่ไม่มีเสียงร้องเปล่งออกมาจากคอได้ เพราะถูกฝังเข็มสกัดจุดไว้ หลี่เจิ้งพยักหน้าให้ลูกน้องปล่อยมือออก ร่างของชายโชคร้ายทรุดฮวบกองกับพื้น เลือดไหลทะลักไม่หยุด จงเหอไม่รีรอจะกระหน่ำแทงปลายมีดลงบนร่างนั้นไม่นับ แววตาของเขาฉายแววกระหายเลือด รอยพรุนนับสิบรอยบนร่างนั้นทำให้เลือดไหลไม่หยุด คนที่มุงดูต่างพากันสยดสยองกับความเหี้ยมโหดผิดมนุษย์ของจงเหอ ได้แต่พากันสบตากันกระซิบกระซาบเบาๆ คนในที่นั้นไม่ใช่ไม่เคยฆ่าใคร แต่การฆ่าให้ตายอย่างทรมานแบบนี้ต่อหน้าต่อตา ช่างโหดร้ายจนน่าสยดสยอง
“พอก่อนคุณจง เดี๋ยวมันตายจะไม่ทันได้รู้ว่าว่าใครบงการมัน”
หลี่เจิ้งดึงมีดออกจากมือของจงเหอ เขากระตุกยิ้มหยันชายแก่ ที่หอบเหนื่อยกับการออกแรงโชว์ความโหดให้คนอื่นในแก๊งค์ชม ก่อนจะเดินถอยมานั่งข้างบิดา แล้วพยักหน้าให้หวังไป่ฉี
“คุณหวังดึงผ้าคลุมหน้ามันออกหน่อย รู้สึกว่ามันจะหายไม่ค่อยออกนะ”
เขาสั่งเสียงเย็น แววตาจ้องมองเหตุการณ์ด้านหน้าอย่างคนที่กำลังรออะไรบางอย่าง
หวังไป่ฉีสั่งให้ลูกน้องประคองร่างชุ่มเลือดนั้นให้ลุกขึ้นยืน เขาค่อยดึงถุงผ้าที่ใช้คลุมศีรษะของชายคนนั้นออกช้าๆ ใบหน้าของคนร้ายปรากฏต่อสายตาของทุกคน มีเสียงร้องอุทานอื้ออึงไปทั่ว คนที่ร้องไม่ออกยืนเบิกตาค้างกลับเป็นจงเหอ เมื่อใบหน้าของชายที่เขาลงมือทรมานอย่างเหี้ยมโหดนั้น เหมือนกับหน้าของลูกชายคนเดียวของเขา คนเป็นพ่อผวาเข้าไปลูบใบหน้าซีดของลูกชายด้วยมืออันสั่นเทา
“อาลี่ถังลูกพ่อ!”
“จงลี่ถังเป็นคนที่ส่งคนไปลอบวางระเบิดรถแม่ใหญ่กับพี่จิน มือวางระเบิดได้สารภาพหมดแล้วว่า ได้รับคำสั่งจากจงลี่ถัง ผมมีหลักฐานพร้อม หากทุกคนต้องการดูผมยินดีนำมาเปิดเผย”
หลี่เจิ้งแจงรายละเอียดของข้อหาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เขามองสองพ่อลูกด้วยสายตาเวทนา คนเป็นพ่อลงมือทรมานลูกชายด้วยตนเองอย่างเหี้ยมโหด โดยไม่สนใจจะไต่ถามก่อนลงมือ
“แก แกหลอกให้ฉันทำร้ายลูกของฉัน!”
จงเหอหันมาแผดเสียงใส่หลี่เจิ้ง ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความแค้นใจ หลี่เจิ้งช่างร้ายกาจนัก หลอกให้เขาลงมือกับลูกตัวเอง หากไม่ได้แก้แค้นคืนเขาคงตายตาไม่หลับ
“คุณเป็นคนทำร้ายลูกชายคุณเองต่างหากล่ะ อย่ามาโทษผม”
หลี่เจิ้งหันไปสบตาบิดา เขายิ้มบางๆ เมื่อเห็นแววตาของท่าน
“รู้ไหมว่าสิ่งที่คุณได้รับวันนี้ เกิดจากการกระทำของคุณเองทั้งหมด นี่เป็นบทลงโทษสำหรับคนทรยศที่ปราณีที่สุดแล้วจงเหอ”
“แกกำลังใส่ร้ายฉันกับลูก คุณหลี่นี่คุณจะไม่ทำอะไรเลยหรือ ลูกชายคุณเล่นแรงไปแล้วนะ”
จงเหอหันไปพูดกับหลี่เสวียน เขามองหัวหน้าแกนนำคนอื่นๆ หวังให้เชื่อในสิ่งที่เขาพูด แต่ทุกคนกลับเงียบกริบ คนที่ไม่เคยกลัวใครเริ่มใจสั่น เขาหันไปมองหน้าลูกน้องของตนเองส่งสายตาให้ช่วยเหลือ แต่ก็ช้าเกินการณ์เมื่อหลี่เจิ้งเดินเข้ามาหาแล้วกระชากร่างของเขาพร้อมกับปักมีดลงบนหน้าอก มันรวดเร็วจนไม่รู้สึกเจ็บแต่ก็จุกจนพูดไม่ออก จงเหอสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกเสียวปลาบขึ้นมา เขาตาเหลือกค้างมองใบหน้าของมัจจุราชที่กระชากวิญญาณออกจากร่างอย่างเคียดแค้น ก่อนจะหมดลมหายใจเฮือกสุดท้ายในตอนที่ปลายมีดตัดขั้วหัวใจ
หลี่เจิ้งปล่อยร่างของจงเหอร่วงลงพื้น ส่งมีดให้หวังไป่ฉีแล้วเดินมาหาบิดา สายตาของคนในแก๊งแสดงความยำเกรงต่อว่าที่หัวหน้าแก๊งคนใหม่ออกมา การเชือดหมาจิ้งจอกเฒ่าครั้งนี้ไม่เพียงแต่กำจัดคนทรยศเท่านั้น แต่ยังทำให้คนในแก๊งยอมศิโรราบอย่างไร้ข้อโต้แย้ง
ชายหนุ่มไม่อาจหันหลังกลับไปสู่ชีวิตสามัญได้อีกต่อไป เมื่อเขาได้ก้าวเดินบนเส้นทางคนบาปสายนี้ไปครึ่งค่อนทางเสียแล้ว และต้องเดินหน้าต่อไปจนกว่าจะหมดลมหายใจ...