“พรุ่งนี้คนของคุณพ่อจะมารับเราไปหาท่าน” หลี่เจิ้งถอนหายใจยาว แววตามีรอยเครียดเคร่ง
ถึงจะไม่ได้ใกล้ชิดกับบิดา แต่เขาก็รักและเคารพท่านมาก ยามได้พบผู้เป็นพ่อท่านมักจะสั่งสอนเขาด้วยถ้อยคำดีๆ มอบความรักให้เขากับแม่อย่างเต็มเปี่ยม แม้เป็นลูกนอกสมรสแต่หลี่เสวียนไม่เคยทำให้ลูกชายรู้สึกเป็นปมด้อยแต่อย่างใด
“เจิ้ง แม่คิดว่าลูกควรเตรียมใจสำหรับการพบกับคุณพ่อในครั้งนี้” คนเป็นแม่บอกลูกชายเสียงขรึม
หลี่เจิ้งยกคิ้วสูง มองท่าทางเคร่งเครียดของมารดาอย่างแปลกใจ แววตาของท่านทำให้คนเป็นลูกรู้สึกถึงความกังวลที่ซ่อนอยู่
“คุณแม่กำลังจะบอกอะไรผมหรือครับ” เขาจ้องหน้าท่านด้วยสายตามีคำถาม
คุณจันทร์ฉายจับท่อนแขนของลูกชาย ผ่อนลมหายใยออกอย่างคนที่ตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ ถึงเวลาที่เธอจะบอกบางสิ่งที่ปกปิดไว้ให้หลี่เจิ้งรู้สักที ดีกว่าให้เขาไปพบบิดาโดยไม่ได้เตรียมใจให้พร้อมเผชิญความจริงที่รออยู่
“แม่มีเรื่องจะบอกลูก เกี่ยวกับคุณพ่อของลูก”
เครื่องบินร่อนลงแตะรันเวย์ของสนามบินฮ่องกงในช่วงสายของวันรุ่งขึ้น หลี่เจิ้งพร้อมมารดาเดินตามหวังไป่ฉีไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ สองแม่ลูกจับมือกันขณะนั่งอยู่บนรถที่กำลังตรงไปยังโรงพยาบาล เพื่อไปพบกับหัวหน้าครอบครัว ใบหน้าของผู้เป็นลูกเคร่งขรึม แววตานิ่งสงบซ่อนความรู้สึกบางอย่างในใจไว้ลึกเร้น จนคนภายนอกไม่อาจสังเกตเห็น
“ถึงแล้วครับ”
หวังไป่ฉีบอกผู้เป็นนายทั้งสอง พร้อมทั้งเปิดประตูให้ทั้งสองลงมา
หลี่เจิ้งโอบไหล่มารดาประคองให้เดินตามหวังไป่ฉีขึ้นลิฟต์ไปยังห้องผู้ป่วย บอดี้การ์ดของหลี่เสวียนตามมาอารักขาสองแม่ลูกอย่างแข็งขัน หลี่เจิ้งสังเกตเห็นความผิดปกนี้แต่นิ่งเงียบไว้ เขากระชับแขนโอบไหล่มารดาแน่นขึ้น ปลอบโยนให้ท่านคลายความกังวล สงบใจรอคอยการพบกับบิดาอย่างใจเย็น
“เชิญครับทางนี้” หวังไป่ฉี ผายมือแล้วเดินนำผ่านประตูห้องที่ลูกน้องเปิดรอไว้ เข้าไปด้านใน
ร่างของหลี่เสวียนนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย มีสายระโยงระยางของเครื่องช่วยชีวิตติดตามตัว เมื่อเห็นหน้าลูกชายชายสูงวัยก็พยักหน้าบอกให้แพทย์ผู้รักษา ดึงที่ครอบปากช่วยหายใจออก
“อาเจิ้ง คุณจันทร์...”
หลี่เสวียนยกมือขึ้นช้าๆ เอ่ยทักทายลูกเมียเสียงแหบเครือ ใบหน้าแม้จะซูบตอบแต่ยังเหลือเค้าของความหล่อเหลาในวัยหนุ่มละม้ายลูกชายอยู่ไม่น้อย ดวงตายังคมกล้าเต็มไปด้วยบารมีอย่างผู้ที่อยู่เหนือผู้อื่นมาตลอดชีวิต แม้ยามเจ็บป่วยยังมิอาจละท่าทางอันทระนงลงแม้เพียงน้อย
“ไป่ฉี ให้ทุกคนออกไปก่อน”
หลี่เสวียนหันไปบอกลูกน้องคนสนิท
เมื่อทุกคนออกไปแล้ว สามพ่อแม่ลูกจึงได้พูดคุยกันเป็นส่วนตัว คุณจันทร์ฉายนั่งกุมมือสามีไว้น้ำตาคลอหน่วยตาจนแดงก่ำ แต่ไม่ยอมร้องไห้ฟูมฟายออกมา หลี่เจิ้งเองก็จับมืออีกข้างของบิดาไว้ ความอบอุ่นและความห่วงใยจากลูกเมียทำให้หลี่เสวียนยิ้มบางๆ กำลังใจหลั่งไหลเข้ามาในหัวใจจนเต็มเปี่ยม
“คุณจันทร์ ผมขอโทษที่เรียกคุณกับลูกมา ทั้งๆ ที่เคยสัญญากับคุณไว้แล้ว”
เขาบอกภรรยาเสียงเบา ทอดมองภรรยาและลูกชายด้วยแววตาลุแก่โทษ
สามสิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยคิดผิดสัญญาที่ให้ไว้กับคุณจันทร์ฉาย แต่ครั้งนี้เขาหมดหนทางจริงๆ หลี่เสวียนขยับมือกระชับมือของลูกชายและภรรยาไว้มั่น
“ฉันคุยกับลูกแล้วค่ะคุณเสวียน เจิ้งเข้าใจเรื่องของคุณแล้ว ลูกเลือกมาพบคุณด้วยความเต็มใจค่ะ”
คุณจันทร์ฉายยิ้มให้สามี ขณะบอกให้เขาคลายใจ
“ผมเต็มใจมาพบคุณพ่อครับ”
หลี่เจิ้งเอ่ยยืนยันอีกครั้ง เขามองหน้าบิดาด้วยแววตาแห่งความเข้าใจ
ความลับที่มารดาปกปิดมาตลอดชีวิตของเขาได้ถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อวานนี้ ชายหนุ่มยอมรับว่าตกใจไม่น้อยเมื่อรู้ว่า บิดาของเขาไม่ได้เป็นแค่นักธุรกิจธรรมดา หากมีอิทธิพลและเบื้องหลังแห่งความยิ่งใหญ่ ด้วยการเป็นเจ้าพ่อมาเฟียหัวหน้าแก๊งหงส์ไฟหนึ่งในสี่แก๊งใหญ่ของฮ่องกง เขาไม่แปลกใจตัวเองเลยว่าทำไมถึงได้ชอบอาวุธและการต่อสู้ สายเลือดของพ่อในตัวเขาทำให้เขาชื่นชอบสิ่งเหล่านั้นนั่นเอง
คุณจันทร์ฉายแม่ของเขาพบรักกับหลี่เสวียนพ่อของเขาเมื่อครั้งเดินทางมาทำงานที่ฮ่องกง ความรักทำให้แม่ยอมเป็นเมียเล็กๆ ของพ่อ ซึ่งในตอนนั้นได้แต่งงานกับลูกสาวของอดีตหัวหน้าแก๊งหงส์ไฟ เพื่อสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าแก๊ง พ่อไม่อาจจะเลิกราจากภรรยาแต่งมาอยู่กินกับแม่ได้ ชีวิตของมาเฟียอย่างพ่อต้องผจญกับศัตรูและการเข่นฆ่าทุกวี่วัน จนทำให้แม่ซึ่งรักความสงบเริ่มกังวลใจถึงอนาคต เมื่อแม่คลอดเขาออกมาแม่จึงตัดสินใจพาเขากลับเมืองไทย โดยขอสัญญาจากพ่อว่าจะไม่ให้เขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวงการมาเฟียอย่างที่พ่อเป็น เขากับแม่จึงได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขมาจนถึงบัดนี้
“เมื่ออาทิตย์ก่อนคุณเหมยกับอาจินถูกลอบวางระเบิดที่รถ เขาสองคนตายแล้ว”
หลี่เสวียนถอนหายใจยาว พยายามระงับความเสียใจไว้ในอก
“อาจินกำลังจะขึ้นเป็นหัวหน้าแก๊งค์หงส์ไฟแทนผม แต่มาเกิดเรื่องเสียก่อน”
สองแม่ลูกมองหน้ากัน รับรู้ถึงความเจ็บช้ำของผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวได้ดี หลี่เจิ้งหันไปสบตากับบิดาสายตาของท่าน ทำให้คนเป็นลูกสะท้อนใจ
“คุณพ่อจะให้ผมทำอะไรครับ” เขาเอ่ยถาม
“แก๊งหงส์ไฟต้องการผู้นำที่เข้มแข็ง อาเจิ้งลูกเป็นทายาทคนเดียวของพ่อ ลูกต้องดูแลผู้คนของเราและปกป้องแก๊งหงส์ไฟให้ดำรงอยู่ต่อไป”
หลี่เสวียนบีบมือลูกชายแน่น หอบหายใจแรงขึ้น จ้องหน้าเขานิ่งคล้ายต้องการฝากความหวังทั้งหมดไว้ในมือของหลี่เจิ้ง
ชายหนุ่มสบตากับบิดา แววตาของท่านทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธไหว เมื่อหันไปสบตากับมารดาเขากลับลังเลใจ รู้ดีว่าผู้เป็นแม่ ไม่ต้องการให้เขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือเดินตามรอยเท้าพ่อ หลี่เจิ้งรู้สึกสับสนจนไม่อาจให้คำตอบบิดาได้ในทันที
“คุณพ่อครับ ผม... ผมขอเวลาคิด”
หลี่เสวียนพยักหน้ารับ เข้าใจความรู้สึกของลูกชาย หลี่เจิ้งเคยชินกับชีวิตแบบสามัญชน ไม่เคยได้ข้องเกี่ยวกับวังวนของคนบาป แบบที่เขากับหลี่จินลูกชายคนโตพบพานมาทั้งชีวิต หลี่เจิ้งย่อมคิดหนักหากต้องรับปากทำหน้าที่นี้
“ไม่เป็นไร พ่อจะให้เวลาลูกคิด”
หลี่เสวียนยิ้มให้ลูกชาย บีบมือเขาแรงๆ “ขอพ่อคุยกับแม่ของลูกสักครู่นะอาเจิ้ง”
“ครับคุณพ่อ”
หลี่เจิ้งขยับลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้อง ปล่อยให้พ่อกับแม่ได้พูดคุยกันตามลำพัง
สวนหย่อมบริเวณโรงพยาบาลเป็นที่ที่หลี่เจิ้งมานั่งเพื่อใช้ความคิด เขาทอดกายเอนหลังพิงม้านั่งปิดเปลือกตาลง อย่างต้องการให้ตัวเองหลบมุมอยู่ภายใน สิ่งที่บิดาขอร้องเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าควรทำตามหรือไม่ ความสุขสงบมาตลอดสามสิบกว่าปี ทำให้เขาลังเลใจที่จะหันหลังให้ชีวิตเรียบง่ายนั้น แล้วเดินหน้าเข้าสู่เส้นทางที่ตัวเองไม่เคยเหยียบย่างมาก่อน มันไม่ใช่ภาพยนตร์หรือนิยาย ที่ตัวละครจะสามารถตัดสินใจก้าวขาเข้าไปในวังวนคนบาป โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่ต้องหวาดหวั่นหรือห่วงใยคนที่อยู่รอบกาย เขาไม่ได้ตัวคนเดียวยังมีภรรยาและลูกชายตัวน้อยให้ดูแล หากเข้าเลือกทำตามความต้องการของบิดา แน่นอนว่าจะส่งผลกระทบกับลูกและภรรยา เพียงลดาภรรยาของเขาเป็นผู้หญิงที่มีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายเธอคงปรับตัวไม่ได้หากต้องกลายมาเป็นภรรยาของมาเฟีย อาทิตย์ลูกชายของเขาจะต้องสืบทอดอำนาจต่อจากเขา ลูกจะถูกเขาดึงลงมาให้อยู่ในวังวนของเส้นทางสายบาปไปชั่วชีวิตของแก หลี่เจิ้งเจ็บปวดใจกับสิ่งที่เผชิญอยู่ จนหาทางออกให้ตัวเองไม่พบ