ร่างสูงใหญ่ของอาจารย์หนุ่มแห่งโรงเรียนสอนวิชาศิลปะการต่อสู้ กำลังเคลื่อนไหวแสดงท่าทางการต่อสู้ให้กับลูกศิษย์ที่พากันนั่งคุกเข่าเป็นระเบียบได้ชม คู่ซ้อมเป็นลูกศิษย์รุ่นใหญ่ที่ผันตัวเองมาเป็นผู้ช่วยครูฝึก รูปร่างของเขาค่อนข้างล่ำสันแต่การเคลื่อนไหวขณะโจมตีคล่องแคล่วว่องไว หากยังไม่เก่งกาจและชำนาญเท่าผู้เป็นอาจารย์ หมัดและเท้าเตะต่อยเหวี่ยงตัวเข้าใส่ร่างหนาสูงใหญ่ของผู้เป็นอาจารย์หลายต่อหลายครั้ง แต่ถูกอีกฝ่ายพลิกพลิ้วเบี่ยงกายหลบและตอบโต้ได้ทุกครั้ง ร่างสูงของอาจารย์หนุ่มเคลื่อนกายพลิ้วไหวลักษณะเป็นวงกลม ตั้งรับทุกกระบวนท่าอย่างสงบนิ่ง การเคลื่อนไหวเลื่อนไหลไปตามธรรมชาติของร่างกาย เป็นฝ่ายตั้งรับมากกว่ารุก ดวงตาคมกริบแววตาเปล่งประกายวาวกล้าทรงพลังจ้องมองคู่ต่อสู้ไม่ละสายตา เหงื่อเม็ดเล็กไหลหยดลงมาบนปลายจมูกโด่งงามเป็นสัน ทว่าเจ้าตัวไม่ได้ใส่ใจเช็ดมันออก ริมฝีปากหยักสวยขยับแย้ม เมื่อเห็นอาการหอบเหนื่อยของคู่ซ้อมที่เริ่มผ่อนแรงลง รู้ดีว่าตอนนี้หมดเวลาเล่นแล้วถึงเวลาเผด็จศึก!
ปึก พลั่ก ตุ๊บ!!!
ร่างล่ำสันถูกจู่โจมอย่างฉับไว คนเป็นขยับเพียงครั้งเดียวก็สามารถจัดการ บิดล็อก ใช้สันมือฟันฉับบนต้นคอหนา เหวี่ยงร่างกำยำลองกองกับพื้นเสียงดังตุ๊บ จับล็อกกดตรึงคู่ต่อสู้ลงแนบกับพื้นหมดสภาพทันที สายตาหลายคู่มองการต่อสู้ที่จบลงด้วยแววตาชื่นชม
“การเคลื่อนไหวทุกรูปแบบของไอคิโดเป็นวงกลม แม้แต่การเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนเป็นแนวตรง ก็มีการเคลื่อนที่เป็นลักษณะเกลียวซ่อนอยู่” เสียงทุ้มเอ่ยออกมา สายตากราดมองลูกศิษย์ทุกคน
“เทคนิคของไอคิโดถูกออกแบบมาให้มีการเคลื่อนไหว โดยการเลื่อนไหลไปตามธรรมชาติของร่างกาย การบิดข้อ จะบิดไปตามลักษณะการเคลื่อนที่ตามธรรมชาติของข้อนั้น”
ผู้เป็นอาจารย์แสดงท่าทางการต่อสู้แบบช้าๆ ให้ลูกศิษย์ดูอีกครั้ง โดยการจับบิดล็อก และจับกดตรึงกับพื้น
“การบิดด้วยลักษณะแบบนี้ จะบังคับทำให้ผู้โจมตีล้มลงโดยไม่เป็นอันตรายต่อข้อมือหรือข้อต่อต่างๆ การตรึงคู่ต่อสู้ไว้กับพื้นแบบไอคิโดก็ใช้วิธีแบบเดียวกัน และสามารถใช้ได้กับทุกคนไม่ว่าจะมีรูปร่างเล็กหรือใหญ่ โดยใช้แรงเพียงเล็กน้อยหรือแทบไม่ต้องใช้เลย”
“เซนเซย์เจิ้งครับ ปล่อยผมก่อนได้ไหมครับ ไหล่จะหลุดแล้ว”
เสียงพิโอดพิครวญดังออกมาจากร่างของคู่ซ้อม ที่ถูกจับกดอยู่นาน
“เจ็บก็ไม่บอกนะวิรัตน์ ขอโทษที”
หลี่เจิ้ง หรือ จักรพรรดิ ลีวงศ์กุล อาจารย์หนุ่มลูกครึ่งไทยฮ่องกง ปล่อยมือจากร่างของลูกศิษย์เอก พร้อมกับดึงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น แล้วหันไปบอกกับลูกศิษย์คนอื่นว่า
“จับคู่ซ้อมกันครึ่งชั่วโมง ผลัดกันเป็นฝ่ายรุกคนละสิบห้านาที อาจารย์จะดูพวกเธอ”
เขาขยับไปนั่งบนเบาะตรงด้านหน้า มองดูลูกศิษย์ฝึกซ้อมอย่างตั้งใจ
กว่าห้าปีแล้วที่หลี่เจิ้งเปิดโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้แห่งนี้ขึ้นมา ช่วงเช้าเขาจะไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัย ช่วงเย็นถึงจะมาดูแลโรงเรียน ในวัยสามสิบหกเขาแต่งงานแล้วและมีลูกชายหนึ่งคนอายุสิบขวบ มีภรรยาแสนสวยคอยดูแล ครอบครัวแสนอบอุ่นพรั่งพร้อมสมบูรณ์ ชีวิตของหลี่เจิ้งสุขสงบจนน่าอิจฉา หากทุกสิ่งกำลังจะเปลี่ยนแปลงไป เมื่อชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น
“เซนเซย์ครับ มีคนต้องการพบเซนเซย์ครับ”
วิรัตน์เข้ามารายงานผู้เป็นอาจารย์ ที่ห้องทำงาน หลังจากหมดคาบเรียนแล้ว
“เชิญเขาเข้ามาสิ เอาน้ำมาเสิร์ฟด้วยนะ”
หลี่เจิ้งเงยหน้าจากกองเอกสาร พยักหน้ารับ
ครู่หนึ่งวิรัตน์ก็พาชายคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่เข้ามา หลี่เจิ้งลุกขึ้นต้อนรับผายมือเชื้อเชิญให้นั่ง
“เชิญนั่งครับ”
“ขอบคุณครับคุณเจิ้ง”
ชายคนนั้นตอบรับเป็นภาษาจีน สร้างความกังขาให้หลี่เจิ้งมาก
“คุณมีธุระอะไรกับผมหรือครับ”
หลี่เจิ้งจำต้องสนทนาเป็นภาษาจีนตอบโต้ไป เขาถูกมารดาเคี่ยวเข็ญให้เรียนภาษาจีนตั้งแต่จำความได้ จึงพูดและสื่อสารภาษานี้ได้อย่างคล่องแคล่วไม่แพ้เจ้าของภาษา
“คุณคงสงสัยว่าผมเป็นใคร”
ชายคนนั้นยิ้มบางๆ สายตาคมกล้าจ้องมองใบหน้าของเจ้าของโรงเรียนนิ่ง
“ผมชื่อหวังไป่ฉี เป็นคนสนิทของท่านหลี่เสวียน คุณพ่อของคุณครับ”
หวังไป่ฉีแนะนำตัวเอง พร้อมสังเกตปฏิกิริยาของชายหนุ่มไปด้วย หลี่เจิ้งไม่ได้แสดงท่าทางตกใจหรือแปลกใจมากมาย เขายังคงความคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดี แววตาคมกริบนิ่งสงบหากทรงพลังไม่ต่างจากผู้เป็นนายของเขาเลย นี่สินะ เขาถึงเรียกว่าลูกมังกร ยังไงก็เป็นมังกร ต่อให้อยู่ในสถานะใดก็เปล่งบารมีของผู้ยิ่งใหญ่เสมอ หวังไป่ฉีลอบยิ้มชื่นชมนายน้อยของตนเงียบๆ
“คนของคุณพ่อ...” หลี่เจิ้งทวนคำ
เขามองบุรุษสูงวัยตรงหน้าอย่างพินิจ แม้ไม่ได้รู้จักหวังไป่ฉีเป็นการส่วนตัวแต่เขาพอรู้ว่าบิดาของเขา เป็นนักธุรกิจใหญ่มีอิทธิพลคนหนึ่งของฮ่องกง หวังไป่ฉีเป็นคนสนิทของท่านคงมีธุระสำคัญ ไม่อย่างนั้นคงไม่มาหาเขาซึ่งเป็นแค่ลูกนอกสมรสด้วยตัวเอง
“ตอนนี้ท่านหลี่เสวียนกำลังป่วยหนักครับ ท่านต้องการพบคุณ”
หวังไป่ฉีบอกจุดประสงค์ของตนเองให้ชายหนุ่มรู้
“คุณพ่อป่วยหนัก ท่าน... ท่านเป็นยังไงบ้าง”
หลี่เจิ้งเอ่ยถามเสียงสั่นเล็กน้อย แม้บิดาจะไม่ค่อยได้ให้ความเอาใจใส่กับเขามากมายเหมือนพี่ชายซึ่งเป็นลูกเมียแต่ง แต่ท่านก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลย ยังคงส่งเสียเลี้ยงดูเขากับมารดาอย่างดีมาโดยตลอด จนเขาเรียนจบมีงานทำหลี่เจิ้งถึงได้งดรับความช่วยเหลือจากท่าน บิดาของเขามักจะเดินทางมาหามารดาของเขาปีละสองครั้ง นั่นเป็นโอกาสเดียวที่เขาได้อยู่ใกล้ชิดท่าน ชายหนุ่มไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวฝั่งบิดาด้วยรู้ว่าตัวเองเป็นแค่ลูกนอกสมรส หลายสิบปีที่ผ่านมาหลี่เจิ้งอาศัยอยู่ที่เมืองไทยกับมารดามาโดยตลอด เขาพอใจชีวิตที่เป็นอยู่ไม่อยากแย่งชิงสมบัติหรือความสำคัญจากบิดา จึงไม่คิดจะเดินทางไปฮ่องกงสักครั้ง
“ท่านหลี่เสวียนต้องการพบคุณเจิ้งกับคุณแม่ของคุณ”
หวังไป่ฉีไม่ได้บอกอะไรมากกว่านี้ เขาต้องการให้หลี่เจิ้งไปพบกับผู้เป็นบิดาด้วยตัวเองมากกว่า
“ได้ผมจะรีบไป พรุ่งนี้ถ้าจองตั๋วได้ ผมจะเดินทางเลย”
หลี่เจิ้งไม่เสียเวลาคิดมาก ความห่วงใยทำให้เขาอยากเดินทางไปพบบิดาให้เร็วที่สุด
“ผมได้จองตั๋วเครื่องบินให้คุณกับคุณแม่ของคุณแล้วครับ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ ขอเพียงคุณรับปากไปหาท่าน ก็พร้อมเดินทางได้ทันที”
หวังไป่ฉีเตรียมการเรื่องนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว
“ถ้าอย่างนั้น ผมคงต้องบอกคุณแม่ให้เตรียมตัวก่อน”
“ครับคุณเจิ้ง พรุ่งนี้เช้า ผมจะไปรับคุณที่บ้านนะครับ ผมขอตัวก่อน”
หวังไป่ฉีนัดหมาย แล้วขอตัวเมื่อเสร็จธุระ
หลี่เจิ้งออกมาส่งหวังไป่ฉีที่รถ เขาขับรถพาตัวเองกลับไปบ้านทันที เมื่อไปถึงบ้านก็เข้าไปหามารดา คุณจันทร์ฉายมองใบหน้าหม่นหมองของลูกชายก็รู้ว่า หลี่เจิ้งกำลังมีเรื่องทุกข์ใจอยู่ คนเป็นแม่ลูบศีรษะลูกชายปลอบโยนขณะเอ่ยถามเสียงนุ่ม
“มีเรื่องใช่ไหมลูก”
ศีรษะได้รูปพยักรับช้าๆ ดวงตาคู่คมหม่นแสงลง
“เมื่อครู่คนของคุณพ่อ มาหาผมที่โรงเรียน บอกว่าคุณพ่อป่วยหนัก อยากให้ผมกับคุณแม่ไปพบท่านที่ฮ่องกง” เขาบอกมารดา
คุณจันทร์ฉายนิ่งไปครู่หนึ่ง
“คุณเสวียนคงอาการหนักจริงๆ ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางบอกเราหรอก”
เธอรู้นิสัยของสามีว่าหลี่เสวียนจะไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็น และไม่มีทางจะเรียกลูกชายคนเล็กให้ไปพบหากไม่มีเรื่องสำคัญจริงๆ คุณจันทร์ฉายสังหรณ์ใจว่าสิ่งที่เธอกลัวและพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดชีวิต ครั้งนี้อาจจะหนีไม่พ้น คนเป็นแม่มองลูกชายที่เติบโตเป็นหนุ่มใหญ่ด้วยแววตาเป็นกังวล เธอพาหลี่เจิ้งกลับมาอยู่ที่เมืองไทยร่วมสามสิบกว่าปี ใช้ชีวิตสุขสงบมายาวนานจนวางใจว่า ลูกชายจะหลุดพ้นจากเส้นทางสายนั้น เส้นทางชีวิตที่ผู้เป็นสามีคลุกคลีมาตลอดชีวิตของเขา เขาเคยรับปากกับเธอแล้วว่าจะปล่อยเธอกับลูกให้อยู่อย่างสงบ ทำไมถึงได้เรียกตัวไปพบแบบนี้