เมโรพาชารีนมานั่งคอยเจ้านายบนห้องทำงานตามคำสั่ง ก่อนตนเองจะขอตัวลงไปปฏิบัติหน้าที่ด้านล่าง ถึงที่นี่จะเป็นบ้านของสิงห์ ซึ่งดูมีความปลอดภัยมากกว่าที่อื่น แต่ใช่เขาจะชะล่าใจปล่อยปละละเลย ไม่ตรวจดูความเรียบร้อย ในฐานะบอดีการ์ดมือขวา และเป็นถึงหัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยชุดใหญ่ เมโรจึงเป็นชายหนุ่มที่ดูเคร่งขรึม พูดน้อย ทว่าเวลาลงมือปฏิบัติงานนั้นรวดเร็วและไม่เคยมีคำว่าพลาดอยู่ในสารบบประวัติการทำงานของชายหนุ่มเลยก็ว่าได้...
ชารีนปาดน้ำตาทิ้งก่อนพิงร่างอ่อนล้าลงบนโซฟาบุนวมเนื้อดี ก่อนจะปิดตาลงด้วยความรู้สึกเหน็ดเหนื่อย เพื่อรอถูกคนใจร้ายพิพากษาลงทัณฑ์
เธอไม่รู้ถ้าหากสิงห์เข้ามา แล้วเธอต้องเจอเข้ากับอะไรบ้าง จนเมื่อเวลาล่วงเลยนานพอดู ร่างบอบบางที่คิดเพียงแค่อยากพักสายตากับนอนหลับลึกไปในที่สุด
ร่างสูงสง่าที่ผลักบานประเข้ามายืนจังก้าได้แต่หรี่ตามองภาพตรงหน้า กว่าเขาจะหลอกล่อให้มาฤดีปล่อยตัวเขากลับขึ้นมาด้านบนได้เกือบทำให้เขาหมดความอดทน ยิ่งพอได้เข้ามาเห็นแม่เด็กดื้อเงียบนอนหลับปุ๋ย ดวงใจหยาบกระด้างของเขาถึงกับเต้นแรง
สิงห์ค่อยยอบตัวเองลงนั่งคุกเข่าบนพื้นพรม เขาทอดสายตาอ่อนแสงมองเรือนร่างงดงามสะอาดบริสุทธิ์ ก่อนฝ่ามือหยาบจะแตะไล้ผิวแก้มนวลปลั่ง
“ชารีน!” คนเหมือนถูกมนต์สะกดขยับริมฝีปากเอ่ยขานเรียกชื่อสาวน้อยแผ่วเบา ก่อนจะอดใจเอาไว้ไม่ไหวแล้วแนบริมฝีปากแตะสัมผัสกับผิวผ่องราวก้นเด็ก
ชารีนที่หลับลึกยังไม่รู้ตัว ตอนนี้ภัยร้ายกำลังคุกคามเธอไม่ห่าง
สิงห์ลนลานปลดเข็มขัดราคาเหยียบแสนออกพร้อมกับปลดซิปกางเกงค้างคาไว้เหนือหัวเข่า เขามีเวลาไม่มากเท่าไหร่ อีกประเดี๋ยวคงต้องรีบออกจากห้องทำงานนี้ เพื่อพาน้องสาวบุญธรรมไปเที่ยวนอกบ้าน อย่างที่เขารับอาสาเอาไว้ตอนเช้า
“ฉันขอรักเธอก่อนสักทีนะ แม่สาวน้อยเนื้อหวาน” สิงห์คว้าร่างหลับปุ๋ยขึ้นนั่งเลยเป็นเหตุให้คนกำลังเคลิ้มหลับสะดุ้งตัวตื่น
“คุณจะทำอะไรหนู!” ชารีนขยี้ตาพร้อมส่งเสียงถามอย่างตื่นตระหนก
“ฉันจะเอาเธอตอนนี้ อย่าเพิ่งพยศ เพราะฉันมีเวลาไม่มาก” สิงห์ที่กำลังรูดดุ้นเอ็นร้ายของตนเองเพื่อเป็นการอุ่นเครื่องร้องบอก สาวน้อยเลยรีบยันกายลุกหนีไม่ยอมให้เขารังแกเธอเหมือนตอนนั้น
“ได้โปรดอย่าทำหนูอีกเลย”
เธอยังเข็ดขยาดไม่หาย เขาเล่นทำรักกับเธอจนเธอเป็นไข้ กว่าจะหายปวดระบมตามเนื้อตัวต้องใช้เวลานอนพักตั้งหลายวัน แล้วนี่เขายังจะทำอย่างไรกับเธออีก คนใจร้ายไม่คิดสงสารกันบ้างเลยหรือไงนะ
“ไม่...หนูไม่ยอมคุณอีกแล้ว ถอยออกไปสิ...”
“ฉันไม่ได้ขอความคิดเห็นจากเธอ ถอดเสื้อกับกางเกงออกซะ อย่ามาทำให้ฉันโกรธ” สิงห์ที่มีความต้องการล้นเหลือกัดฟันสั่งเสียงกร้าว เมื่ออารมณ์สังวาสมันกำลังขึ้นมาจุกอยู่บนหัวเห็ดปลายหยัก และเขาต้องการการปลดปล่อยมันออกมาเดี๋ยวนี้
ใบหน้าแดงก่ำส่ายศีรษะ พยายามถอยร่างน้อยหนีแต่ไปไหนไม่รอด
“ฉันบอกให้เธอถอดเสื้อผ้าออกไงโว้ย! หูหนวกหรือไงวะ” สิงห์ตวาดเสียงดังก่อนจะเป็นคนกระชากเสื้อผ้าบนร่างนวลฉีกออกเป็นชิ้นๆเสียเอง
เคว้ก...เคว้ก...
“โอ๊ย!อย่า หนูเจ็บ ฮืออออ...” ชารีนยกมือปัดป้องสิงห์สุดฤทธิ์ เมื่อเธอรู้สึกแสบผิวตอนที่ถูกเขากระชากเสื้อผ้า สิงห์กำลังหน้ามืดเขาไม่ไยดีกับเสียงห้ามปราม แม้ตอนเห็นร่องรอยบนผิวบอบบางที่เกิดจากการถูกเนื้อผ้าบาด เขายังไม่นึกเห็นใจด้วยซ้ำ
เมื่อร่างอวบเปลือยเปล่าปรากฏแก่สายตาหื่นกระหายของเจ้าพ่อมาเฟีย คนจิตใจอำมหิตถลาเข้าหาร่างน้อย รีบครอบริมฝีปากลงดูดเต้าสาว สิงห์ทั้งดูดทั้งขยำอย่างคนตะกละตะกลาม ชารีนยกมือดันร่างเขาออกห่าง แต่คนแรงเยอะกว่าอ้อมฝ่ามือดันร่างให้หญิงสาวแอ่นตัวขึ้น เพื่อเขาจะได้ดูดนมจากเต้าได้อย่างเต็มที่
“อืม...อือ...อย่า...” ชารีนเองพอถูกกระทำรุนแรงขึ้น สาวน้อยเลยหลุดเสียงครางยอมยื่นทรวงงามป้อนใส่ปากได้รูปเมื่อเขาเปลี่ยนข้าง
พอสิงห์ดูดนมสองข้างจนอิ่มหนำ ชายหนุ่มจึงคว้าร่างเล็กลอยจากพนักโซฟาพร้อมจับให้เจ้าหล่อนเปลี่ยนท่าเป็นนอนคว่ำหน้าลงบนพื้นหนังโซฟาแทน เขาแหย่ปลายนิ้วแข็งเข้าทดสอบโพรงรัก ถูไถรูหูรูดเพื่อเพิ่มน้ำเสียวให้ไหลซึม ร่างงามอ่อนเดียงสาถึงกับสะดุ้งโหยง ร้องเสียงครวญครางไม่เป็นภาษา รีบหนีบขาไม่ยอมให้เขาทะลวงนิ้วเข้าสู่ภายในได้ง่าย
“อือ...อย่านะ...อย่าเอาเข้ามาข้างในตัวหนู” สาวน้อยร้องห้ามเสียงขาดห้วง
“เปลี่ยนเป็นอย่างช้าดีกว่านะสาวน้อย มันน่าฟังกว่ากันตั้งเยอะ”
สิงห์เอ่ยเสียเจ้าเล่ห์แล้วโน้มร่างเพื่อแนบริมฝีปากไปตามแนวสันหลังหอมหวาน เขาลากเลียปลายลิ้นกับผิวนุ่มจนขนในกายสาวน้อยลุกชัน ก่อนคนกลัดมันจะจับดุ้นใหญ่หัวปริด้วยน้ำรักเยิ้มยัดใส่เข้าสู่แอ่งธรรมชาติคับแคบ ดันทีเดียวจนมิดด้ามโดยมือแข็งแกร่งจับสะโพกผายอ้อนแอ้นไว้เต็มกำมือ หลังจากนั้นยกดันมันขึ้นสูงเพื่อรอรับแรงเด้าจากทางด้านหลังอย่างเต็มเหนี่ยว
เนื่องจากเขาเหลือเวลาอีกไม่มากนักกับการทำรักครั้งนี้ จึงไม่มีเวลาเล้าโลมแม่สาวน้อยของเขาให้มีความสุข นอกจากส่งแรงกระแทกให้ตัวเองได้แตะถึงขอบสวรรค์ก่อนเป็นพอ
“โอ๊ะ! ซี้ด...” สิงห์สูดปากยามเมื่อแทงแท่งเหล็กเข้าสู่โพรงเนื้อนิ่ม แล้วครูดไปตามผนังด้านใน ชารีนบีบรัดเนื้อร้ายของเขาจนเสียวซ่าน มีความสุขอย่างไม่เคยได้รับจากคู่ขาคนไหนมาก่อน ผู้หญิงคนอื่นเขาก็แค่ปลดปล่อยให้คลายกำหนัด
ไม่เหมือนกับชารีนเขาทำรักด้วยหัวใจของผู้ชายเลวๆคนหนึ่ง
ช่างต่างจากอีกคนโดยสิ้นเชิง ที่ถึงกับปล่อยโฮดังลั่นห้องทำงาน เมื่อเธอรู้สึกเจ็บปวดร้าวระบบกลีบงามเหลือจะทน เมื่อเขาส่งตัวตนเข้าสู่ด้านในทั้งที่น้ำหล่อลื่นยังมีไม่มากพอ
“ชารีน...เธอนี่มันเด็ดจริงๆพับผ่า” สิงห์ตบสะโพกงอนเนื้อเด้งก่อนกระเด้าร่างหนาเข้าใส่ จับโยกควงเข้าออก จนกายสาวสั่นสะท้าน บีบรัดตัวตนเข้าหาสิ่งแปลกปลอมภายใน
“เจ็บ...หยุดก่อน...หนูเจ็บ อย่าทำแรงนักสิ” ชารีนร้องบอกด้วยสีหน้าเหยเก กำมือจิกลงบนเนื้อโซฟาจนเป็นรอย เธอทั้งเจ็บแล้วก็จุกจนเกือบทนรับเขาไม่ไหว ส่ายก้นหนีเท่าไหร่เขากลับตามประกบไม่ห่าง ยังคงส่งดุ้นใหญ่กดเข้าหาเนื้อภายในเสียงดัง
พั่บ...พั่บ...พั่บ
สิงห์คอยแต่ปิดหูไม่อยากรับฟังเสียงอุทธรณ์ใดให้เสียอารมณ์ เขากระเด้าบั้นท้ายอัดดุ้นใหญ่เข้าใส่โพรงเนื้อนุ่มที่ตอดรับเขาทั้งแรงและเร็วเพื่อให้ตัวเองได้ถึงขอบสวรรค์เสียที ชารีนร้องจนเสียงแหบแห้งก่อนหญิงสาวทนไม่ไหว ร่างบอบบางกระตุกเกร็งเมื่อเธอรู้สึกเหมือนมีอะไรอุ่นซ่านฉีดพ่นเข้ามาภายในร่างกาย
สิงห์เกร็งร่างใหญ่พร้อมสอดใส่ดุ้นร้อนเข้าออกอีกหลายที ก่อนเขาจะฟุบร่างหายใจหอบเหนื่อยลงบนเรือนร่างขาวลออ พอลมหายใจเริ่มเป็นปกติ สิงห์จึงจูบแผ่นหลังขาวเพื่อเป็นการขอบคุณความสุขที่เขาได้รับจนอิ่มแปล้ ถึงแม้จะยังไม่เพียงพอต่อความต้องการนักก็ตาม
“เดี๋ยวคืนนี้ฉันค่อยมาเอาเธอต่อ ตอนนี้ฉันต้องพาฤดีออกไปเที่ยวข้างนอกตามสัญญา ส่วนเธอก็นอนหลับพักเอาแรงรอฉันอยู่ในนี้ก่อนแล้วกันนะ ฉันจะให้คนเอาข้าวมาส่งเมื่อถึงเวลา”
พูดจบสิงห์จึงดึงดุ้นเอ็นที่อาบด้วยเมือกขาวออกมาสะบัดทำความสะอาด โดยปล่อยให้ร่างหมดแรงนอนหลับตานิ่งหายใจรวยริน ที่แท้ชารีนเป็นลมหมดสติหลังจากต้องทนรับแรงพิศวาสของคนใจร้าย แต่สิงห์ไม่รู้เมื่อเขาหลงคิดว่าชารีนแค่เหนื่อยและหมดแรงแค่นั้น ก่อนชายหนุ่มจะก้มลงหอมแก้มอุ้มร่างอ่อนปวกเปียกนอนในท่าสบายมากขึ้น แล้วตัดใจผละห่าง พร้อมเปิดประตูห้องทำงานก้าวขาออกสู่ด้านนอก โดยปล่อยให้คนหมดสตินอนอยู่บนโซฟาโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
เขากลัวมาฤดีจะผิดสงสัย ก่อนออกจากห้องทำงานไม่ลืมล๊อคกุญแจแน่นหนา กลัวใครย่องแอบเข้าไปยุ่งกับแม่สาวน้อยของเขา ในตอนที่เขาไม่อยู่...
ขวัญไพรบิดผ้าในมือจนหมาดแล้วลากเช็ดทำความสะอาดผิวกายกำยำ โดยเริ่มเช็ดตามลำแขนของเขาก่อน เพราะเธอเห็นมีบาดแผลขีดขวดที่มีเลือดแห้งกรังติดบริเวณปากแผลไม่ลึกเท่าไหร่ พอเช็ดทำความสะอาดได้โดยไม่ต้องระวังการติดเชื้อ
และกว่าเธอจะปล้ำถอดชุดขาดวิ่นแสนสกปรกของเขาได้ เล่นเอาเหงื่อตกกันเลยทีเดียว
ขวัญไพรปาดเม็ดเหงื่อแถวหน้าผากโหนกนูนทิ้ง จากนั้นจึงเหลียวหามองคนช่วย เธอไม่เห็นมีใครอยู่แถวนั้นสักคน พวกของพ่อเบิ้มคงกำลังเตรียมตัวเพื่อออกเดินทางเข้าป่าสนธยา พวกนั้นต้องเดินทางเพื่อเข้าไปรับตัวตาสยาของเธอกลับออกมาจากป่า เพื่อมารักษาอาการบาดเจ็บของชายหนุ่มคนนี้
ลำพังตัวเธอมีความรู้เพียงงูๆปลาๆ เต็มที่คงช่วยได้เพียงรั้งเวลารอให้ตาสยากลับมาทันรักษาอาการของเขาเท่านั้น
สายตากลมโตเหลือบขึ้นมองใบหน้าขาวซีดเป็นระยะ ด้วยอดเป็นห่วงเขาไม่ได้ อาการเขาหนักเป็นตายเท่ากัน ตอนนี้รอบริมฝีปากแตกระแหงหรือแม้กระทั่งสันกรามเหลี่ยมได้โครงสวยเริ่มมีตอหนวดขึ้นจนรกครึ้ม
แต่นั้นยังไม่เท่ากับตอนเธอถอดกางเกงของเขาออก นอกจากต้องระมัดระวังแผลฉกรรจ์ตรงโคนขา เธอยังต้องมาเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ทำเอาใบหน้าขาวนวลซับเป็นสีเลือดจาง สองแก้มมันรู้สึกร้อนผ่าว เกิดมาจนอายุจะยี่สิบ ก็ไม่เคยต้องมาทนเห็นอะไรที่น่าขนลุกขนพองอย่างนี้มาก่อน
จะเป็นตากุ้งยิงไหมน่าไอ้ขวัญเอ่ย คงไม่หรอกน่าก็เธอมองเห็นไอ้นั่นของเขาแค่เดียวเดี๋ยวเอง คงยังไม่ทันเป็นหรอก ขวัญไพรคอยปลอบใจตัวเองพร้อมกับดึงรูดกางเกงในตัวจิ๋วออกให้พ้นจากปลายเท้า ก่อนลุกขึ้นเดินมายังราวตากผ้าของตา แล้วหยิบเอาผ้าผืนเล็กติดมือมาด้วย...
“เฮ้อ!ค่อยยังชั่วหน่อย”
ขวัญไพรถอนหายใจเสียงดัง ตอนเอาผ้าห่มผืนเล็กของตาสยาบดบังปิดของสงวนตรงหน้า พอทำให้ใจคอที่เต้นโครมครามราวกลองเพลกลับมาสงบนิ่งเหมือนเก่าได้หน่อย
ตอนเห็นไอ้นั่นครั้งแรก ใจคอเธอไม่สู้ดี
มันนอนสงบนิ่งตรงหว่างขาภายใต้กางเกงชั้นในสีขาว และมันดันเนื้อผ้าขึ้นมานูนโดดเด่น เธอเลยต้องรีบถอนสายตาออกจากจุดโปร่งพองน่าสยดสยอง รีบลงมือรูดเอากางเกงในตัวจิ๋วลงมาอย่างเบามือที่สุด ทว่าไอ้สายตาเจ้ากรรมมันดันเกิดพิเรนทร์ขึ้นมาอย่างอดใจเอาไว้ไม่ได้จริงๆ มันดันเหล่มองเจ้าสิ่งนั้น จนเธออยากเอาหน้ามุดดินหนี เมื่อตอนที่นิ้วมือดันถูกเนื้อมันเข้า เป็นเหตุให้ต้องรีบชักกลับเร็วจี๋
และนั่นเป็นเหตุให้เธอเห็นมันเข้าอย่างเต็มเปา มันกำลังนอนคอหักอยู่ตรงกลางสองลูกกลมใหญ่ มันเหี่ยวเฉาแต่ทำไมเนื้อที่โดยรวมถึงได้เยอะจัง
ขวัญไพรกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ตอนจินตนาการอย่างน่าอับอาย ถ้าหากมันฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ ขนาดมันต้องใหญ่โตมหึมาแน่ๆเลย
“อุ๊ย!” ก่อนสะดุ้งตกใจให้กับความคิดตัวเอง แล้วตีแขนตัวเองให้เจ็บ เพื่อเรียกสติเตลิดของตนเองกลับคืนมา นี่เธอกำลังคิดบ้าอะไรอยู่ มันใช่เวลามานั่งวิเคราะห์เรื่องน่าอับอายไหมยะยัยขวัญไพร
สาวน้อยเตือนตัวเองแล้วจึงจัดการจุ่มผ้าลงในกะละมัง รีบลงมือเช็ดทำความสะอาดตามร่างกายชายหนุ่มแปลกหน้าอย่างตั้งใจมากขึ้น
และด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นสมวัย สาวน้อยขวัญไพรเลยลอบสำรวจตามเนื้อตัวของชายหนุ่ม ตอนหญิงสาวลงมือเช็ดตามร่างกายให้เขา
ชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนผิวขาวละเอียดอาจพูดได้ว่าเขาเป็นคนขาวจัด ผิวพรรณดูมีราศีเหมือนอย่างคนในเมืองที่เธอเคยเห็นมาบ้าง จะต่างตรงโครงหน้าเหลี่ยมที่ประกอบด้วยสันจมูกโด่งปลายงองุ้มเข้ารูปกับริมฝีปากหยักหนา อีกทั้งรูปร่างช่างสูงใหญ่ของเขาซึ้วดูผิดแผกแตกต่างกว่าพวกผู้ชายในหมู่บ้านตะนาวขอแห่งนี้ของเธอลิบลับ
ขนาดว่าร่างกายเขาถูกหนามจากต้นไม้เกี่ยวจนปรากฏร่องรอยเต็มไปหมด ทว่าผิวพรรณของเขานั้นทำให้เธอรู้สึกลื่นมือ ไม่หยาบกระด้าง...
ขวัญไพรชุบน้ำสะอาดเช็ดตามเนื้อตัวให้ชายหนุ่มกินเวลานานพอสมควร หลังจากนั้นสาวน้อยจึงลงมือตำยาสมุนไพรพอกลงตามตัวของชายหนุ่มจนทั่วทั้งร่าง เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อเบื้องต้น พร้อมกับคอยกรอกยาหม้อลดไข้ เพราะดูเหมือนอุณหภูมิในร่างกายชายหนุ่มจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ใหญ่เบิ้มโผล่หน้าเข้ามาดูอาการเจ็บของคนป่วยเป็นระยะ คอยซักถามถึงอาการไม่ขาดปาก แกนั่งไม่ค่อยติดพื้นสักเท่าไหร่นัก ใจแกคงเกิดพะวงเป็นห่วงไอ้หนุ่มปริศนามันจะมานอนตายเอาที่หมู่บ้านตะนาวขอของแกนั่นแหละ
ถึงแม้ไอ้หนุ่มคนนั้นจะไม่ใช่ลูกบ้านของตนก็ตาม อาจด้วยตามนิสัยการเป็นหัวหน้าที่ดีโดยสายเลือดนั่นเอง ผู้ใหญ่เบิ้มจึงอดเป็นกังวลใจไม่ได้ ใครก็ตามถ้าถึงมือของแก คนคนนั้นต้องรอดปลอดภัย
ก่อนครั้งสุดท้าย แกเดินเข้ามาดูอาการ แต่กลับมีเสียงคนตะโกนดังลั่นมาจากด้านล่าง เมื่อเบิ้มลงไปดูจึงได้ความ แกย้อนกลับขึ้นมาบนบ้าน เดินตรงมายังคนคนป่วย เพื่อเข้ามาบอกย้ำให้ขวัญไพรให้คอยดูแลไอ้หนุ่มนี้ให้ดี เพราะตัวแกต้องเดินตรวจท้ายหมู่บ้านสักหน่อย เมื่อมีชาวบ้านวิ่งหน้าตั้งมาบอก พบเสือโคร่งลายพลาดกลอนเดินป้วนเปี้ยนแถวบริเวณชายป่าทางขึ้นเขาฝั่งทิศตะวันตก...
“ขวัญไพร!...” เสียงหวานเกินดังมาพร้อมกับร่างอวบอิ่มของเพื่อนสาว
“ดาวเรือง...” ขวัญไพรที่กำลังนั่งสัปหงกข้างคนเจ็บสะดุ้งตื่น พอขยี้ตามองสาวน้อยจึงเห็นแม่เพื่อนคนงาม เจ้าตัวกำลังเดินนวยนาดยิ้มแป้นเข้ามานั่งกระแซะด้านข้างตัวเอง
“สุดหล่อของฉันมีอาการเป็นอย่างไรบ้าง” คำถามที่มาพร้อมกับสายตาเคลิ้มฝัน กำลังจับจ้องมองคนเจ็บที่มีสภาพเต็มไปด้วยยาสมุนไพรแปะตามร่างกาย ขวัญไพรเลิกคิ้วมองเพื่อนแล้วจึงส่ายหัว
“ไม่ดีขึ้นแต่ก็ยังไม่แย่ลงกว่าเดิม” เธอไขคำถามของดาวเรืองก่อนนาบฝ่ามือลงบนหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิ เธอสัมผัสได้ถึงความร้อนแต่ไม่มากเหมือนกับตอนแรก
“หนูขวัญจ๋า อยู่ไหนเอ่ย...”
และพอแค่ขยับตัวเตรียมลุกขึ้นเพื่อจะเดินไปเทยาในหม้อใส่ชามใบเล็ก เมื่อเธอเห็นว่าได้เวลากรอกยาลดไข้ให้กับคนป่วย แต่กลับมีเสียงดังแป้นเข้ามาก่อนตัว และทำเอาหลานสาวเฒ่าสยาต้องมองตาปริบกลอกตาขึ้นมองเพดาน เมื่อเจ้าของเสียงที่เดินบิดสะโพกสลาตันเข้ามานั่งแหมะอีกคนในห้องคนเจ็บ นั่น ก็คือแม่หม้ายทรงเครื่อง น้าจำเลียงนั่นเอง
สาวใหญ่ที่เพิ่งผละห่างจากหนุ่มรุ่นหลานยิ้มทักทายสองสาว สายตาเหล่มองคนเจ็บแล้วถลานั่งลงใกล้
“ต๊าย!พ่อหนุ่มของฉัน” จำเลียงยกมือขึ้นทาบอก ชม้ายชายตาสำรวจรูปร่างสูงใหญ่คนนอนเจ็บอย่างมีความหมาย ดู๊ดูคนอะไรขนาดนอนเจ็บจะเป็นจะตายยังดูหล่อเหลาเร้าใจอีจำเลียงเหลือเกิน
“ยังไม่ตายหรอกจ้ะน้าจ๋า” ขวัญไพรหันหน้ากลับมาบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ เดี๋ยวจะมีใครขึ้นมาหาผู้ชายของฉันอีกไหมหนอ
จำเลียงส่งค้อนแล้วปิดปากหัวเราะอย่างคนมีจริตจะก้านแพรวพราว
“ไม่ตายแล้วอาการเป็นยังไงบ้างละหนูขวัญไพร ให้น้าคอยอยู่ช่วยเฝ้าพ่อหนุ่มคืนนี่นะ น้าอยากบำเพ็ญประโยชน์กับเขาบ้าง”
“โอ๊ยน้าจำเลียงจ๋า ร้อยวันพันปีไม่เคยอาสาทำอะไรให้ใคร ขนาดน้าพะยอมผัวน้าที่นอนป่วยพะงาบๆใกล้จะตายแหล่มิตายแหล่น้ายังไม่ค่อยสนใจ จนแกตายฉันก็ยังไม่เห็นน้าจะทุกข์ร้อนอะไรด้วยซ้ำ แล้วนี่คิดยังไงถึงได้มาอาสาล่ะจ๊ะ” คนที่นั่งทนดูได้ไม่นานคือดาวเรือง หญิงสาวคันปากยิบ เลยจัดให้สักดอก
“ปากเสียนะเอ็งอีดาวเรือง ใครว่าน้าไม่ทุกข์ร้อนกันละจ๊ะ ผัวน้าทั้งคนจะไม่ทุกข์ร้อนได้ยังไง”
จำเลี้ยงตั้งท่าทีขึงตาไม่พอใจใส่ดาวเรือง แต่ยังคงพูดจาไพเราะอ่อนหวาน ดาวเรืองหันหน้าหนีพร้อมแบะปากใส่ ดูจะทุกข์หนักเหลือเกิน เห็นคอยส่งสายตาหาผู้ชายคนใหม่ในวันเผาศพของน้าพะยอมอยู่เลย
“เบาๆกันหน่อยจ๊ะ รบกวนคนเจ็บ” ขวัญไพรเอ่ยปรามเสียงเย็น
ก่อนเจ้าตัวจะลุกขึ้นมานั่งใกล้คนเจ็บ ในมือวางถ้วยยาขนาดเล็ก เธอช้อนมือลงใต้ซอกคอแกร่ง รั้งมันขึ้นมาสูงพอประมาณ พร้อมตักยาขึ้นจ่อหาริมฝีปาก ค่อยๆป้อนเข้าไปทีละน้อย ป้องกันไม่ให้เขาสำลักยา
“ให้ฉันช่วย / ให้น้าช่วย”
และพอจะป้อนช้อนที่สองให้คนเจ็บ ขวัญไพรต้องเงยหน้าขึ้นมองสองสาวต่างวัย เมื่อทั้งคู่ดูเหมือนจะพร้อมใจอาสาอยากช่วยเหลือเธอเสียเหลือเกิน
ทั้งคู่หันมาสบตาเขม่นมองกันอย่างไม่มีใครยอมใคร และก่อนจะเกิดศึกแย่งการป้อนยา กลับมีเสียงจอแจดังถี่ขึ้นมาจนถึงบนห้องคนป่วย และการถือวิสาสะเดินขึ้นมาโดยไม่ขออนุญาตเจ้าของบ้านของสาวเล็กสาวน้อยเกือบนับสิบคน
ขวัญไพรพ่นลมหายใจพร้อมกับกลอกตาขึ้นมองบน เมื่อบรรดาหญิงสาวในหมู่บ้านเหล่านั้นต่างรุมล้อมแห่กันเข้ามานั่งล้อมรอบคนเจ็บ ต่างส่งเสียงไร้ความเกรงใจ และคนรักษาอย่างเธอมีอันต้องกระเด็นออกมายืนอยู่นอกประตูห้องโดยเอ่ยปากห้ามปรามใครไม่ได้ เพราะไม่มีใครยอมฟังเธอเลยสักคน...
เวลาผ่านไปถึงสองวันกับอาการทรงๆทรุดๆของชายหนุ่มแปลกหน้า เขายังไม่ได้สติรู้สึกตัว ตาสยาของเธอเองท่านก็ยังเดินทางกลับมาไม่ถึงหมู่บ้านเสียที และขวัญไพรรู้สึกเป็นกังวลอย่างหนัก เธอนึกเป็นห่วงท่านอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกสังหรณ์ใจพิกล เหตุใดท่านถึงยังไม่กลับลงมาถึงหมู่บ้านสักที สาวน้อยไม่อยากจะคิดในทางเลวร้ายแต่ทว่าใจมันอดห่วงไม่ได้
เพราะมันมีให้คิดได้สองกรณี หนึ่งคือรอบนี้ท่านเดินเข้าป่าลึกกว่าที่เคยจนทำให้พี่ยวนกับพี่เย็นยังหาตัวท่านไม่เจอ หรือไม่ก็สอง เกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างทางจะกลับออกมา แต่มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง ตาสยาของเธอท่านออกชำนาญเส้นทาง ให้หลับตาเดินท่านยังเดินถูกเลยด้วยซ้ำ
และคงได้แต่เฝ้าภาวนา ขออย่าให้เป็นอย่างที่เธอแอบหวั่นกลัว สาวน้อยถอนหายใจหนักหน่วง พนมมือขึ้นไหว้ท่วมหัวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาหมู่บ้านแห่งนี้ ขอให้ท่านช่วยคุ้มครองตาสยาของเธอ ขออย่าให้ท่านเจออันตราย และกลับออกมาจากป่าสนธยาอย่างปลอดภัยด้วยเถิด
ก่อนร่างเล็กจะตัดสินใจลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกจากห้องคนป่วย พลางชะโงกหน้าตรงราวระเบียงไม้ไผ่ พร้อมจ้องมองออกไปยังลานลานกว้าง เผื่อจะเห็นตาสยาของเธอบ้าง
แต่กลับไม่มีแม้แต่เงาคนเดิน มีเพียงแสงสว่างรำไรจากแสงดวงจันทร์ส่องกระทบลงมาบนพื้นเท่านั้น สาวน้อยน้ำตารื้น ข่มใจไม่ให้ตัวเองคิดฟุ้งซ่าน
พอหมดหวังเพราะไม่เห็นตาสยาของเธอ ขวัญไพรจึงเดินคอตกกลับเข้าเรือนตนเอง คนของพ่อเบิ้มนอนเอนหลังยังใต้ถุนเรือน และมีบางคนนั่งพูดคุยกันบนแคร่ไม้ไผ่ใต้ต้นมะเฟืองป่า
ขวัญไพรแง้มบานประตูห้องไม่วายพ่นลมหายใจออกมา พลางปาดน้ำตาทิ้งแล้วทรุดลงนั่งกับพื้นเรือน ยกหัวเข่าขึ้นมาซบใบหน้าลงหวังใช้มันเป็นที่พึ่งพิง พอให้ตัวเองคลายความกังวลใจและหายคิดถึงตาสยาได้บ้างก็ยังดี
วันนี้ภายในห้องคนเจ็บดูสงบเงียบกว่าเมื่อวาน ไม่มีบรรดาสาวเล็กสาวน้อยมาคอยนั่งชมดชม้อยใช้สายตาโลมเลียคนเจ็บ เพราะถูกพ่อเบิ้มเอ็ดตะโรไล่เปิงลงจากเรือนเสียงดังไปทั่วทั้งลาน ก็ตอนที่แกกลับขึ้นเรือนหลังจากออกไปตรวจความเรียบร้อยตรงบริเวณชายป่าแถบฝั่งที่มีชาวบ้านพบร่องรอยของเสือโคร่ง แล้วกลับเข้ามาดูอาการของพ่อคนเจ็บเนื้อหอมอีกครั้ง แกเห็นบรรดาหญิงสาวเหล่านั้น กำลังตั้งหน้าถกเถียงแย่งชิงกันเพื่อขออยู่เฝ้าอาการคนเจ็บอย่างไม่คิดเกรงใจเจ้าเรือนตัวจริง ซึ่งตอนนั้นถูกเบียดให้กระเด็นออกมานั่งเกือบสุดประตูห้อง หรือแม้กระทั่งอาการเจ็บของคนป่วยจริงเลยสักคน
เธอห้ามเท่าไหร่ก็ไม่มีใครยอมฟัง เลยต้องปล่อยเลยตามเลยอย่างช่วยไม่ได้
นึกถึงแล้วพาลให้หมั่นไส้พ่อคนเนื้อหอมนักเชียว นี่ขนาดว่าเขายังไม่ได้สติฟื้นขึ้นมา ยังทำให้พวกสาวน้อยสาวใหญ่ในหมู่บ้านต่างพากันตบตีแย่งชิง อยากได้เขากันจนตัวซีดตัวสั่นได้ขนาดนี้ ขืนถ้าเขาหายดีเป็นปกติ แม่สาวทั้งหลายไม่เร่ลุกขึ้นมาเข่นฆ่าเพื่อแย่งเอาเขาไปเป็นผัวให้วุ่นวายกันทั้งหมู่บ้านเลยหรือไง
ขวัญไพรพงกศีรษะขึ้นจากหัวเข่าตัวเอง มองคนนอนไม่ได้สติตาคว่ำ อดส่งค้อนให้เขาอย่างนึกขุ่นใจไม่ได้
“เชอะ!พ่อคนเนื้อหอม” สะบัดค้อนให้คนนอนไม่รู้เรื่องรู้ราวพอให้หายหมั่นไส้ก่อนจะเอนร่างนอนถัดห่างจากคนเจ็บ แล้วพลิกร่างหันหลังหนีเขาทันที
ก่อนจะหลับตาลง หลังจากต้องเหน็ดเหนื่อยอดหลับอดนอนคอยเฝ้าดูอาการชายหนุ่มมาถึงสองวัน เลยทำให้ขวัญไพรหลับใหลภายในชั่วประเดี๋ยวเดียว
“อืมมมม...”
เสียงแผ่วผิวที่ดังขึ้นเบาแสนเบาจนไม่อาจทำให้คนหลับสนิทได้ยิน ขวัญไพรหลับลึกเมื่อเจ้าหล่อนกำลังเคลิ้มฝันถึงเจ้าชายรูปงามของตนเอง เขากำลังจับจูงเธอควบขี่อาชาขนสีขาวทรงสง่า เที่ยวชมผืนป่าอันเขียวขจีกว้างใหญ่จนสุดลูกหูลูกตา มุมปากเล็กเผยอยกยิ้มยามเมื่อเธอเอนซบศีรษะทุยซุกเข้าหาอกแกร่ง ในความฝันเธอไม่เคยเห็นหน้าแท้จริงของเจ้าชายคนนี้สักครั้ง เขามักสวมหน้ากากปกปิดบังใบหน้าไว้เสมอ เธอรู้เพียงแค่เขาใจดีและที่สำคัญ เขาทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจเสมอยามเมื่อฝันถึง...
อาการเจ็บของคนป่วยแผ่ขยายไปทั่วทั้งร่างกายบอบช้ำ และแค่เพียงขยับตัวเล็กน้อยเท่านั้นทำเอาใบหน้าคมคายซึ่งตอนนี้รกครึ้มเต็มไปด้วยหนวดเคราถึงกับบิดเบี้ยวเหยเก เจ็บ ทำไมเขายังมีความรู้สึกว่าเจ็บอยู่อีกล่ะ ทั้งที่เขาตายไปแล้วไม่ใช่หรือไง
ตาย! แล้วกลายเป็นผี!
อืม...ถ้าเขากลายเป็นผี ว่าแต่แล้วทำไมเขายังมีความรู้สึกเจ็บเหลือจะทนได้อีกวะนี่ ว่าแต่ แล้วทำไมเขาต้องตาย ใครทำอะไรเขา? นั่นสิอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เขาตาย
แล้วภาพที่สูงจากที่ไหนสักแห่งดันผุดเข้ามาเป็นเงาเลือนราง ใบหน้าคมคายย่นยู่ เขาได้ยินเสียงดังคล้ายเสียงระเบิด ตูม และเพียงวูบเดียวของเศษเสี้ยววินาที ภาพดังกล่าวกลับหายวับ กลายเป็นภาพจอดำสนิทเข้ามาแทน
ชาคร์ขมวดคิ้วมุ่นพยายามนึกให้ออกอีกหน แต่มันกลับนึกไม่ออกเอาเสียเลย...
“โอ๊ะ!ซี้ด...”
สมองที่ได้รับความกระทบกระเทือนมาอย่างหนักจากการตกจากที่สูงเริ่มส่ออาการปวดหนึบ เส้นเลือดภายในระบบก้านสมองพากันเต้นตุบ ตุบ บีบรัดบริเวณหน้าผากถี่ยิบ พานทำให้ชายหนุ่มต้องจุปากให้กับความทรมานที่เขาได้รับ
ก่อนค่อยๆเปิดเปลือกตาหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่วายต้องกัดริมฝีปากข่มความรู้สึกเจ็บร้าวระบมเหมือนร่างกายของตนเองถูกฉีกออกเป็นชิ้น
พร้อมกันนั้นชายหนุ่มต้องกะพริบตาสงสัยเมื่อเขาเหลือบขึ้นมองเพดานมุงด้วยใบจากดูแปลกตา และภาพดังกล่าวทำเอาชาคร์สะดุดลมหายใจ
ที่นี่มันไม่ใช่สวรรค์หรือนรกอย่างที่เขาคิด ทว่ามันเป็นบ้านของคน บ้าน?
เขายังไม่ตาย! ชาคร์ส่งเสียงกึกก้องอยู่ภายใน รู้สึกดีใจที่เขายังไม่ถึงคราวตาย แต่ต้องรีบหลับตาย่นใบหน้าเมื่อถูกความเจ็บเล่นงานอีกละรอก
“อืออออ...” ทำไมมันถึงได้เจ็บอย่างนี้ คนเจ็บกำลังรู้สึกรำคาญตัวเองเป็นที่สุด จากคนที่เคยเคลื่อนไหวร่างกายคล่องแคล่วปราดเปรียว แต่มาบัดนี้ทำไมเขาถึงขยับเขยื้อนตัวเองไม่ได้อย่างใจคิด
พอลองขยับท่อนล่างอีกครั้ง ชาคร์ต้องหลุดเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด และพอเขาสำรวจตัวเอง ดวงตาคมกริบได้แต่นิ่งอึ้ง เม้มปากด้วยความรู้สึกขยะแขยง
“นี่มันตัวอะไร? น่าเกลียดชะมัด”
ชาคร์เหลือบตามองสำรวจไปตามร่างกายเขียวช้ำของตนด้วยความรู้สึกตกใจ เมื่อทั่วกายของเขามันเต็มไปด้วยเศษซากของใบไม้สีเขียวแหลกละเอียดกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย อะไรไม่เท่ากับกลิ่นเหม็นน่าคลื่นไส้ของมัน ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีทันทีเมื่อกลิ่นเหม็นเขียวของสารพัดสมุนไพร โชยเข้าจมูก เขาอยากลุกขึ้นอ้วกแต่ทำไม่ได้
พอหลุบตามองท่อนขาด้านล่างมันถูกพันไว้ด้วยผ้าสะอาดและพอจะเอื้อมมือแตะตามเนื้อตัว ชายหนุ่มก็ต้องส่งเสียงร้องครวญครางออกมาอีกจนได้
และคราวนี้คนหลับลึกเริ่มขยับตัวตื่นงัวเงียขึ้นมานั่ง เธอขยี้ตาผมเผ้ายุ่งเหยิงเมื่อยังรู้สึกง่วงอยู่มาก โดยไม่ได้หันกลับไปมองยังคนเจ็บ ชายหนุ่มพอได้ยินเสียงเคลื่อนไหวไม่ห่าง เขาจึงหันขวับมองเจ้าของร่างดังกล่าว ก่อนส่งเสียงร้องครางออกมาเรียกสติคนเพิ่งตื่นให้หันมอง...
***********************