ฉันซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของชายหนุ่มจนมาถึงหน้าโรงแรม เขาจอดรถแล้วหันมามองฉันก่อนจะเอ่ยถาม
“ไม่ลงเหรอครับ”
“อ่าค่ะ” ฉันรีบไต่ลงจากเบาะหลังสูงแล้วถอดหมวกกันน็อกส่งคืนให้เขา
“เรียนคณะวิศวะฯ เหรอครับ”
“ใช่ค่ะ อยู่ปีหนึ่ง” ฉันตอบกลับไป
“ไม่ค่อยเห็นผู้หญิงเรียนวิศวะฯ เลย เก่งจังนะครับ” คำพูดของธีร์ทำเอาฉันหัวใจพองโตขึ้นมาอย่างกับลูกโป่งที่ถูกเป่าลมจนเต็ม
“นายเรียนหมอนี่ โคตรเก่งอะ” ฉันกระชับสายสะพายกระเป๋าข้างของตัวเองเพื่อลดอาการประหม่าลง
“รู้ได้ไงว่าผมเรียนหมอ”
“เห็นตอนงานแข่งบาสฯ อะ” ธีร์พยักหน้าเข้าใจ
“ก็ว่าคุ้นหน้าจัง”
“คุ้นหน้าเราเหรอ” ฉันชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยความแปลกใจ
“อื้อ สงสัยเห็นผ่าน ๆ อะ”
“ว่าแต่ นายชื่ออะไรเหรอ แล้วเรียนอยู่ปีไหนอะ”
“ธีร์ ปีสอง”
“งั้นก็ต้องเรียกว่าพี่น่ะสิ” ฉันคลี่ยิ้มกว้าง
“แล้วเธอล่ะชื่ออะไร”
“ชื่อวิค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” ฉันรีบยื่นมือไปข้างหน้า พี่ธีร์มีท่าทีสงสัยเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือฉันก่อนที่จะเขย่าเบา ๆ
“อือ ยินดีที่ได้รู้จัก ล็อกห้องดี ๆ ล่ะ”
“ค่ะพี่ธีร์”
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันได้รู้จักกับว่าที่พี่หมอที่ชื่อว่าพี่ธีร์
ชายหนุ่มที่สะกดสายตาของฉันไว้ตั้งแต่แรกเห็น ถึงแม้ว่านี่จะผ่านมาหลายเดือนแล้วที่ฉันไม่ได้เห็นหน้าค่าตาของชายหนุ่มรุ่นพี่เลยก็ตาม จนตอนนี้ฉันได้ขึ้นมาอยู่ปีสองแล้ว แล้วพี่เขาก็คงจะอยู่ปีสามแล้วมั้ง
ฉันอยู่ในหอในของมหาวิทยาลัยเพราะคุณพ่อกลัวว่าฉันจะเถลไถล ฉันเลยมักจะใช้ทางเดินที่ต้องเดินผ่านหน้าคณะแพทย์ฯ ถึงแม้ว่าจะอ้อมไปสักหน่อย
แต่เหมือนว่าครั้งนี้ฉันจะล้มเหลวอีกแล้ว เพราะที่ตึกไม่มีวี่แววเงาของหนุ่มรุ่นพี่เลยแม้แต่น้อย
ฉันได้แต่ถอนหายใจจากความผิดหวังแล้วเดินหน้าต่อไปเพื่อกลับไปที่หอพักของตัวเองด้วยความเมื่อยล้า วันนี้ฉันเรียนหนักมากจนอยากจะกลับไปล้มตัวนอนให้หัวถึงหมอนไว ๆ
“ยายวิ” แขนฉันถูกดึงเอาไว้จากด้านหลังจนฉันต้องรีบหันไปมองด้วยความตกใจ
“มน แกมีอะไรเนี่ย”
“เห็นนิดาบอกว่าแกจะกลับหอแล้ว ฉันเลยรีบตามมา มานี่ก่อนเร็ว”
“อะไรของแกเนี่ย” ฉันถูกเพื่อนสาวลากให้เดินตามมาที่คาเฟแห่งหนึ่งก่อนจะถูกดันให้นั่งลงแล้วมนก็เดินมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“นี่ใช่พี่หมอของแกไหมอะ” โทรศัพท์มือถือของมนถูกเลื่อนมาไว้ตรงหน้าของฉัน หน้าจอเผยให้รูปภาพของชายหนุ่มร่างสูงที่อยู่ในชุดนักแข่งรถซึ่งฉันจำรอยสักที่ท้ายทอยของอีกฝ่ายได้
“ใช่ แกไปเอารูปพี่เขามาจากไหนอะ”
“ฉันไปสืบมาแล้ว เขาชื่อธีรดนย์ เหมวิทย์ อยู่ปีสามคณะแพทย์ฯ แถมยังเป็นนักเรียนทุนด้วยนะแก สอบชิงทุนเข้ามาเรียนหมอได้ แถมยังเป็นนักแข่งรถตัวท็อปอีกต่างหาก แต่เป็นวงการใต้ดินนะ”
“วงการใต้ดิน?” ฉันขมวดคิ้วด้วยความงุนงง
“ก็จัดแบบไม่ถูกกฎหมายแหละแก ส่วนมากพวกคนรวยเขาชอบจัดเพื่อความบันเทิงแล้วก็เดิมพันกันอะ”
“มีแบบนี้ด้วยเหรอ ไม่เห็นรู้เลย” ฉันว่าในขณะที่สายตาไม่ละไปจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือตอนที่พี่เขาขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์คันนั้นแล้วออกตัวไปด้วยความเร็วมันน่าดูมากเลยทีเดียว
“ฉันก็เพิ่งรู้ ฉันไปเห็นในโซเชียลของคนที่รู้จักมา” มนดึงโทรศัพท์มือถือกลับคืนจนฉันต้องช้อนสายตาขึ้นมามองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ไม่พอใจจากการถูกขัดใจ
“แกพอจะรู้ไหมอะว่าที่ไหน เราอยากไปดูอะ”
“อย่างแกอะนะจะไปดู ฉันว่าสภาพแวดล้อมมันไม่ค่อยดีเท่าไรนะ”
“ไม่เป็นไร เราแค่อยากไปดูพี่ธีร์แข่งอะ นี่ก็ไม่ได้เจอพี่ธีร์มานานแล้วด้วย”
“เรียกพี่ธีร์ นี่คือรู้จักเขาแล้วเหรอ”
“รู้แค่ว่าชื่อเล่นชื่อธีร์ เป็นรุ่นพี่เราหนึ่งปีแค่นั้นแหละ” ฉันทำปากมุ่ยก่อนจะเหม่อมองออกไปด้านนอกร้าน
“ถ้าแกอยากเจอ ฉันก็พาไปได้”
“จริงเหรอ” ฉันดวงตาวาววับด้วยความดีใจ แกนี่มันเพื่อนรักฉันเลยจริง ๆ
“แต่ว่าค่าบัตรมันแพงมากเลยนะ ถ้าไม่มีคอนเน็กชันก็หาบัตรยากนิดหนึ่งอะ”
“เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาเลย ขอแค่แกพาเราไป เราออกให้แกด้วยก็ได้”
“สายเปย์เวอร์ สัญญาแล้วนะ”
“อื้อ สัญญาเลย”
หลังจากนั้นไม่นานมนก็บอกฉันว่าได้บัตรมาแล้ว ก่อนที่จะหอบหิ้วฉันไปที่คอนโดฯ ของตัวเองแล้วจับฉันแต่งตัวซะดูแปลกตา
“กระโปรงไม่สั้นไปใช่ไหม” ฉันถามพลางดึงชายกระโปรงเทนนิสที่เลยหน้าขาขึ้นมาเล็กน้อยให้ลงต่ำลงมาด้วยความไม่มั่นใจ ไหนจะเกาะอกสีดำอะไรนี่อีกถึงจะเมื่อเสื้อคลุมตาข่ายสีขาวฉันก็ไม่มั่นใจอยู่ดีอะ
“ในงานเขาก็ใส่อย่างนี้แหละ เกิดแกทำตัวแปลกตานะเดี๋ยวโดนรุม” มนว่าก่อนจะใช้มือประคองเรียวคางของฉันแล้วหันไปหันมา “ปากสีแดงก็เลิศเหมือนกันนะ”
“มันไม่แดงไปใช่ปะแก”
“สีเชอร์รีคือเลิศไม่ไหวเลย” มนว่าอย่างพอใจก่อนจะเก็บข้าวของให้เรียบร้อย “พร้อมจะไปเจอพี่หมอของแกหรือยังจ๊ะ”
ฉันหยิบกระจกขึ้นมาส่องดูใบหน้าของตัวเองที่ตอนนี้ถูกแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางสีฉูดฉาดตามสไตล์ที่มนบอกว่าดี เอาจริงฉันเป็นคนที่แต่งหน้าอ่อนมาก แต่พอได้แต่งเต็มแบบนี้ไม่ค่อยชินเท่าไรถึงแม้ว่ามันจะออกมาดูดีกว่าที่คิดก็เถอะ
“ไปได้แล้ว เดี๋ยวสาย” มนว่าพลางเดินเข้ามากอดแขนฉันให้ลุกขึ้นยืน
“แกแน่ใจนะว่าพี่ธีร์จะมาจริง ๆ”
“มาสิฉันถามพี่มิลแล้ว”
“พี่มิลเนี่ยนะ แกยังติดต่อกับพี่มิลอยู่เหรอ”
“เอาเหอะน่าแก ฉันเห็นว่าพี่มิลเขาชอบดูมอเตอร์ไซค์ไงถึงได้เจอพี่หมอของแกอะ”
“เอาเรื่องเรามาเป็นข้ออ้างปะเนี่ย”
“อ้างอะไรกัน คนอย่างพี่มิลอะนะที่ฉันอยากเข้าหาเหอะ ไม่มีวัน” มนพ่นลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะพาฉันออกจากคอนโดฯ ของตัวเองแล้วมุ่งหน้าไปที่สนามแข่งรถนั้นทันที
พอมาถึงบรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความครึกครื้นเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มแข่งกับเสียงเพลงที่เปิดอึกทึกในที่โล่งแจ้ง ไฟในสนามเปิดสว่างจ้าทั้งที่อยู่ในยามค่ำคืน ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินสวนกันให้ควัก คนส่วนมากล้วนแต่งตัวแนวสตรีตสีขาวดำดูเท่สุด ๆ
“เห็นไหมฉันบอกแล้ว แต่งตัวแบบนี้เข้ากับบรรยากาศจะตาย” มนหันมายักคิ้วให้ฉัน
“เชื่อแล้ว” ฉันตอบกลับเพียงสั้น ๆ ก่อนจะกวาดสายตามองบรรยากาศรอบตัว ที่จริงแล้วก็แค่อยากจะมองหาคนคนหนึ่งก็เท่านั้น
“แกมายืนตรงนี้เร็ว” เพื่อนสาวพาฉันมายืนอยู่ที่หน้าที่กั้นบนที่นั่งคนดูที่ยกขึ้นมาจากข้างสนามแถมยังมีที่กั้นตาข่ายสูงให้มองผ่านลงไปยังสนามเบื้องล่าง “วันนี้เป็นนัดดุเดือดเลยนะ เขาบอกว่าตัวท็อปทั้งคู่”
“แล้วพี่ธีร์ล่ะ”
“แหม อะไร ๆ ก็พี่ธีร์ แกลองมองไปตรงสนามเองเถอะ” ฉันหันไปมองตามที่มนบอก ข้างล่างมีมอเตอร์ไซค์คันใหญ่เพียงสองคันโดยมีคนขี่คร่อมอยู่บนเบาะ ทั้งสองสวมใส่หมวกกันน็อกเพื่อความปลอดภัยแบ่งแยกเป็นสองสีอย่างเห็นได้ชัด อีกคนเป็นสีดำแดง ส่วนอีกฝ่ายเป็นสีเงินเขียว “จำได้หรือเปล่าว่าพี่หมอของแกอะคนไหน”
ฉันมองเทียบดูระหว่างสองฝ่าย อีกฝ่ายหนึ่งมีแต่คนรุมล้อมเต็มไปหมด ส่วนอีกฝ่ายมีเพียงไม่กี่คนพูดคุยกันแถมยังตบบ่าให้กำลังใจกัน เสื้อกันลมใส่จนมิดลำคอฉันเลยมองไม่เห็นรอยสักที่เป็นเอกลักษณ์ของอีกฝ่าย
“วันนี้เป็นการแข่งขันสุดเดือดระหว่างฝ่ายขวา รันเวย์จากสังกัดเวหามรณะ และฝ่ายซ้าย ธีร์ ธีรดนย์ค่ายเหยี่ยวเพเรกริน ถือเป็นการกลับมาพบกันในรอบหลายเดือนเพราะคุณธีร์ได้หายไปจากวงการแข่งรถสักพักใหญ่เลยนะครับ ไม่รู้ว่าในวันนี้คุณธีร์จะยังเอาชนะคุณรันเวย์ได้เหมือนการแข่งรอบที่แล้วหรือไม่” พิธีกรดำเนินรายการอยู่ข้างสนามประกาศออกตามลำโพงแทนเสียงเพลงที่ดังเมื่อครู่ ฉันได้แต่มองตามมือที่พิธีกรชี้
“เหยี่ยวเพเรกรินคืออะไรวะแก” มนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“เป็นเหยี่ยวที่บินได้ไวที่สุดในโลกน่ะ มีความเร็วประมาณสามร้อย กิโลเมตรต่อชั่วโมง” ฉันอธิบาย
“รู้จริงเหมือนกันนะแก ทำไมสังกัดเขาคนน้อยจังวะต่างจากสังกัดเวหามรณะอะไรนั่นเยอะเลย”
“นั่นสิ คนเขาไม่ค่อยมาตามประกบหรือเปล่า” ฉันมองตามด้วยความงุนงงไม่แพ้กัน
ตอนนี้ในสนามมีเพียงนักแข่งสองคนที่กำลังตั้งท่าเตรียมตัวเพื่อรอสัญญาณปล่อยตัว ในมือของพิธีกรมีปืนเล็ก ๆ อยู่กระบอกหนึ่งก่อนเสียงปืนจะดังขึ้นเป็นการปล่อยตัวทั้งสองให้บิดออกจากจุดเริ่มต้นด้วยความเร็ว
ทั้งสองคันขี่สูสีกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ผลัดกันแซงนำหน้าอีกฝ่ายจนในใจฉันลุ้นตามไปด้วย ดวงตาจดจ่ออยู่กับหน้าจอยักษ์ที่กำลังฉายภาพของทั้งสองก่อนที่จะเข้าโค้งพี่ธีร์ก็บิดขึ้นมานำหน้าคู่ต้อสู้ได้สำเร็จแล้วทิ้งห่างออกไปเพียงไม่กี่อึดใจเพื่อเข้าเส้นชัยไปก่อน ฉันแทบจะกระโดดด้วยความดีใจแต่ก็ต้องเก็บอาการเมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวฉันจ้องกลับมาอย่างจับผิด
“ไม่อยากเชื่อว่าแกจะชอบอะไรแบบนี้นะเนี่ย อย่ากระโดดเยอะกระโปรงสั้นนะยะ”
“แกพามาก็ต้องอินหน่อยหรือเปล่า เดี๋ยวแกเสียใจ”
“ไม่ต้องเอาฉันมาอ้างจ้า ชอบเขาก็บอกเดี๋ยวเจ้จะได้ช่วยเข้าใจปะ” มนเลิกคิ้วขึ้นพลางอมยิ้มแล้วหันไปกรี๊ดกร๊าดดีใจให้เข้ากับบรรยากาศรอบข้าง ฉันแอบลอบยิ้มจาง ๆ ก่อนจะชะเง้อคอมองชายหนุ่มที่เขาไปยังชายหนุ่มที่เดินเข้าไปข้างสนาม
“เราไปเข้าห้องน้ำก่อนนะแก”
“ตามสบายเลยค่ะ สี่ทุ่มเจอกันทางออกเข้าใจปะ”
“โอเค” ฉันพยักหน้ารับก่อนจะเดินฝ่าฝูงชนออกไป
ฉันค่อย ๆ เดินลัดเลาะเพื่อที่จะมองหาชายหนุ่มที่ตัวเองอุตส่าห์มาที่นี่เพื่อจะตามหา ผู้คนมากมายเดินผ่านไปมาจนน่าอึดอัด
หมับ
แขนฉันถูกดึงอย่างแรงจนฉันต้องหยุดฝีเท้าลงแล้วหันไปหาอีกคนด้วยความไม่พอใจ
“พี่รันเวย์” ฉันขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
“น้องวิมาทำอะไรที่นี่ แล้วทำไมแต่งตัวโป๊อย่างนี้ล่ะคะ” พี่รันเวย์เอ่ยถามพลางทอดสายตามองฉันตั้งแต่หัวจดเท้า
“ไม่คิดว่าจะเป็นพี่นะคะ แอบคุณลุงคุณป้ามาแข่งเหรอ” ฉันบิดข้อมือออกจากมือของอีกคนที่กุมมันเอาไว้
“น้องวิก็คงหนีคุณอาเที่ยวเหมือนกันนั่นแหละ ไม่งั้นคงไม่ทำตัวแบบนี้หรอก”