“น้องวิก็คงหนีคุณอาเที่ยวเหมือนกันนั่นแหละ ไม่งั้นคงไม่ทำตัวแบบนี้หรอก” ฉันจ้องใบหน้าหล่อตี๋ของหนุ่มรุ่นพี่อย่างไม่พอใจ
“ทำตัวแบบไหนคะ”
“ก็...” ดวงตาประกายจ้องมองเรียวขาอ่อนของหญิงสาวที่ไม่ได้ถูกส่วนของกระโปรงคลุมเอาไว้ “แบบที่คนชนชั้นเราเขาไม่ทำกันน่ะค่ะ”
“พี่รันเวย์” ฉันสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของชายหนุ่มด้วยความหงุดหงิด ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรแจ็กเก็ตหนังก็ถูกเข้ามาคลุมฉันเอาไว้จากด้านหลังเข้ามามัดที่เอว ฉันรีบหันไปมองด้วยความตกใจ
“พี่ธีร์” ฉันร้องเรียกอีกคนด้วยความตกใจ
“ที่จริงแต่งตัวแบบไหนมันก็ไม่ผิดหรอก มันเป็นสิทธิ์ที่เราจะเลือก แต่คนที่ชอบล่วงเกินความเป็นส่วนตัวของคนอื่นเนี่ย มารยาททางสังคมน่าจะบกพร่องนะ” พี่ธีร์มองช้อนไปมองทางพี่รันเวย์ด้วยสายตาดุดัน ทำเอาฉันขนลุกซู่ราวกับตัวเองตัวหดลงไปยามที่ต้องยืนขั้นกลางระหว่างชายหนุ่มร่างสูงทั้งสอง
“น้องวิรู้จักกับไอ้หมอนี่ด้วยเหรอ” ฉันกำลังจะอ้าปากตอบอีกฝ่ายแต่ก็ต้องกลืนคำพูดลงคอ
“แล้วไง มึงเป็นแฟนน้องเข้าเหรอ”
“ถ้ากูบอกว่าใช่ล่ะ” พี่รันเวย์เลิกคิ้วพลางเอียงคออย่างอวดดี
“ไม่ใช่นะคะพี่ธีร์” ฉันรีบแก้ต่าง มือเรียวยกมือขึ้นมาโบกไม้โบกมืออย่างทันควัน “แม่เราแค่สนิทกันเฉย ๆ ค่ะ”
“ถ้าบอกว่าเป็นคู่หมั้นกันตั้งแต่เด็กจะเชื่อปะล่ะ” พี่ธีร์ถึงกลับหลุดหัวเราะออกมา
“กูคิดว่าละครน้ำเน่านะเนี่ย” พี่รันเวย์กำหมัดแน่นเมื่อถูกหยามหน้า “กูขี้เกียจพูดกับมึงแล้วว่ะ แพ้แล้วอย่าพาลดิวะ”
พี่ธีร์ว่าก่อนจะเอื้อมมือมาจับที่ข้อมือของฉันเบา ๆ แล้วจูงมือฉันให้เดินตามออกไป ฉันยอมก้าวเท้าตามอย่างว่าง่ายไม่พูดไม่จาตลอดทางจนพี่เขาพาฉันมาถึงทางออกของสนามแข่ง
“ไม่คิดว่าจะเจอเราที่นี่นะ เกือบจำไม่ได้แน่ะ” ชายหนุ่มปล่อยมือออกจากฉันแต่ทำไมต้องรู้สึกเสียดายด้วยเนี่ย
“หนูก็แค่แต่งหน้าให้เข้ากับบรรยากาศรอบข้างอะ ไม่อยากให้รู้สึกแปลก”
“พี่เข้าใจ แค่ไม่น่ามีคนแบบหมอนั่นอยู่บนโลก”
“ว่าแต่ พี่จำหนูได้ด้วยเหรอ” ฉันเผลอจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยแววตาคาดหวังสุด ๆ
“จำได้ เจอเธอทีไร มีเรื่องให้พี่ต้องช่วยทุกที” หนุ่มรุ่นพี่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย แต่ก็ลอบอมยิ้มเบา ๆ จนฉันหัวใจสั่นระรัว
“หนูไม่เห็นพี่ที่มหาวิทยาลัยเลย...”
“ไอ้ธีร์ พ่อเมืองมีอะไรให้ช่วยอะ” เสียงจากด้านหลังเรียกให้เราสองคนหันไปมอง
“เออเดี๋ยวกูไป” พี่ธีร์หันกลับมามองฉัน “ทีหลังก็ดูแลตัวเองดี ๆ นะ โลกไม่ได้ใจดีกับทุกคน พี่อาจจะไม่ได้มาช่วยทุกครั้งนะ”
ชายหนุ่มพูดทิ้งทายก่อนจะเดินออกไปทันที แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงขอเสื้อแจ็กเก็ตคืน ฉันได้แต่ก้มมองเสื้อหนังที่ถูกมัดกับเอวคลุมกระโปรงสั้นของฉันเอาไว้
พูดชายอะไร อบอุ่นจังอะ
“แหม ๆ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียวนะ ของแทนใจเหรอ” เพื่อนทั้งสองของฉันมองมาที่เสื้อคลุมที่ฉันพกติดตัวมาด้วยแล้วพับมันเอาไว้อย่างดีจนนิดาต้องเอ่ยแซว
“คงใช่แหละ พอไปเจอยายวิทีทางออกก็เห็นมีเสื้อตัวนี้มันเอวไว้แล้ว” มนทำสีหน้ากรุ้มกริ่ม
“พวกแกไม่ยอมพาฉันไปด้วยอะ อดเห็นหน้าพี่หมอของยายวิแข่งรถเลยคงเท่น่าดู”
“เท่ เท่มากด้วย” ฉันว่าพลางยิ้มกว้าง “ทีหลังก็อย่าติดพี่คิณให้มันมากสิ”
“เดี๋ยวนี้ยอกย้อนด้วยโอ้โห มนแกดูลูกแกเลยนะ”
“ฉันสอนให้ลูกฉันสู้คนเนอะ” มนเบะปากใส่นิดาก่อนที่พวกเราจะหลุดขำกันออกมา
“นี่พวกแก พวกแกว่าฉันเอาแจ็กเก็ตไปคืนพี่เขาดีไหม”
“ก็ต้องดีสิของยืมเขามา” นิดาตอบกลับมาอย่างใสซื่อ
“ถามงี้เพราะอยากไปเจอพี่เขาอะดิ ฉันรู้ทันนะยะทำเอาเสื้อมาอ้าง”
“งั้นฉันเอาไปคืนให้พี่เขาดีกว่า แต่ไม่ได้ถามว่าพี่เขามีเรียนเวลาไหนบ้างอะดิ” ฉันถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดาย
“ไม่ควรถามเวลาเรียน แกควรขอเบอร์ขอไลน์เขามากกว่า” มนหรี่ตามองมาทางฉัน
“นั่นสิเนอะ เจอกันครั้งหน้าต้องขอไลน์แล้ว” ฉันเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรงพลางใช้ความคิด
นี่ก็วันที่สามแล้วที่ฉันมายืนชะเง้อคอมองที่หน้าตึกเรียนคณะแพทย์ฯ คราวนี้ฉันลองมายืนดูในช่วงเย็น แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีวี่แววของพี่ธีร์เดินผ่านไปมาเลยสักนิด
ฉันได้แต่ถอนหายใจด้วยความผิดหวังแล้วเดินคอตกออกไปจากหน้าตึกคณะแพทย์ฯ
แต่ฉันจะไม่ยอมแพ้หรอกนะ
นี่ก็ปามาวันที่เจ็ดแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะมีแม้แต่เงาของพี่ธีร์เลยแม้แต่น้อย ฉันถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าพลางใช้มือตบยุงที่บินเข้ามาตอมขาแล้วกัดสร้างความแสบคัน
เวลามันจะไม่ตรงกันขนาดนั้นเลยหรือไง พระเจ้ากลั่นแกล้งหนูเหรอคะ
ฉันเบะริมฝีปากด้วยความหงุดหงิดก่อนจะหันไปมองศาลศักดิ์สิทธิ์ประจำมหาวิทยาลัย แล้วยกมือขึ้นพนมไว้กลางอก
“เจ้าพ่อคะ คนนี้หนูขอจองไว้ก่อนนะคะ ห้ามให้พี่ธีร์ไปมีใครนะคะหนูจองแล้วเพราะฉะนั้นช่วยประทานพี่เขาให้หนูด้วยเถอะค่ะ” ฉันยกมือขึ้นกลางหน้าผากอย่างตั้งใจก่อนจะตบเบา ๆ ที่เส้นผมของตัวเองแล้วเดินออกไปจากที่ตรงนั้น
“เซ็งอะ เราว่าไม่ได้ผลหรอก ไอ้แผนไปรอหน้าคณะเนี่ย” ฉันยกมือขึ้นท้าวคางตัวเองกับโต๊ะไม้ด้วยความท้อใจ
“พี่หมอแกหาตัวยากชะมัดเลย โซเชียลอะไรก็ไม่เล่นเลยเป็นบุคคลลึกลับหรือไงกันนะ” มนจิ้มมะม่วงขึ้นมากินพลางพูดไป
“ตัดใจไหมแก ถ้าจะหาตัวจับยากขนาดนี้ทั้งเหนื่อยทั้งเสียเวลา” นิดาว่า
“ไม่ได้ คนนี้เราจริงจังมากนะ หาแบบนี้ไม่ได้ง่าย ๆ นะแก” ฉันโต้เถียง
“พี่หมอที่มีรอยสัก แรร์ไอเท็มสุด ๆ” มนกล่าวเสริม
“หมอจริงหมอเก๊เนี่ย เพิ่งเคยเห็นหมอมีรอยสัก” นิดาขมวดคิ้วอย่างจับผิด
“ของแท้สิยะ สายฉันไม่พลาดหรอก เป็นถึงนักเรียนทุนเลยนะ”
“ยิ่งเป็นนักเรียนทุนด้วย กฎเขาไม่เคร่งเหรอวะ” นิดายังคงตั้งข้อสงสัย
“ดี ตั้งคำถามกันเยอะ ๆ นะ เราจะได้หาหัวข้อไปคุยกับพี่ธีร์”
“ร้ายนักนะยะ” ทั้งมนและนิดาต่างเอ่ยแซว ฉันแอบเขินนิดหน่อยที่พูดอะไรแบบนั้นออกไป แต่เพราะอะไรไม่รู้ฉันรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้แหละคือคนที่ใช่สำหรับฉันจนพร้อมจะเดินหน้าสุดกำลัง
ฉันไม่ได้แวะเวียนมาที่ตึกเรียนของคณะแพทย์ฯ หลายวันเพราะตัวเองก็ยุ่งไม่แพ้กัน วันนี้เลยกะว่าจะแวะเข้าไปเดินสำรวจข้างในสักหน่อยเผื่อจะรู้อะไรมากขึ้น
นักศึกษาหลายกลุ่มจับกลุ่มกันอ่านหนังสือตามใต้ร่มไม้ หรือไม่ก็นั่งกันอยู่ในคาเฟพร้อมกับดื่มกาแฟอย่างสงบ ฉันได้แต่กวาดสายตาไปมองรอบ ๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ ก่อนจะเดินมาทะลุทางด้านหลังตึกที่เต็มไปด้วยร่มเงาจากต้นไม้เย็นสบาย
นักศึกษามีเพียงประปรายจนฉันเล็งเห็นเจ้าของแผ่นหลังกว้างที่ท้ายทอยมีรอยสักที่ตามหากำลังฟุบหน้าหลับอยู่บนโต๊ะไม้ริมขอบตึก
ฉันค่อย ๆ ย่างเท้าเข้าไปหาชายหนุ่มอย่างช้า ๆ เพราะเกรงว่าจะรบกวนเวลาพักผ่อนของอีกฝ่าย ใบหน้าหล่อยามนี้หลับตาพริ้มในอ้อมแขนของตัวเอง ฉันสังเกตเห็นว่าในมือของพี่เขามีกระดาษบางอย่างเลยถือวิสาสะก้มหน้าลงไปอ่านมันด้วยความอยากรู้
จาก มหาวิทยาลัย
เรียน นักศึกษาแพทย์ นาย ธีรดนย์ เหมวิทย์
เรื่อง แจ้งเรื่องผลการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์การให้ทุนการศึกษา
แค่ได้อ่านหัวข้อเพียงนิดเดียว ฉันก็รีบหันไปมองหนุ่มรุ่นพี่ที่นอนพักอยู่ด้วยความเห็นใจ พอได้มองหน้าเขาใกล้ ๆ แบบนี้ ก็เห็นได้ชัดเลยว่าเขาดูเหมือนคนอดหลับอดนอน อ่อนเพลียเต็มที ปล่อยให้นอนไปสักหน่อยแล้วกัน
แกร๊ก
เท้าเจ้ากรรมดันไปเหยียบกิ่งไม้แถวนั้นแหลกคาเท้า อย่างกับนางเอกในละครอย่างนั้นแหละ
พี่ธีร์เริ่มรู้สึกตัวก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นมามองฉันด้วยความแปลกใจ
“มาได้ไงอะ” ฉันไม่รู้จะวางท่าทีอย่างไรจนดวงตาเคลื่อนไปมองยังกระดาษในมือของชายหนุ่มรุ่นพี่
“คือว่า...”
“นี่แอบอ่านเหรอ”
“หนูไม่ได้ตั้งใจนะคะ แค่เผลอไปเห็นเองก็เท่านั้นอะ” ฉันพยายามจะแก้ต่างแต่เหมือนว่าพี่ธีร์จะดูหงุดหงิดรีบลุกขึ้นแล้วเก็บทุกอย่างยัดใส่กระเป๋าเป้
“ทีหลังก็อย่ามาเผลอยุ่งเรื่องของคนอื่นบ่อย ๆ ก็แล้วกัน”
“พี่ธีร์คะ” ฉันพยายามจะเข้าหาอีกฝ่ายแต่ก็เหมือนรุ่นพี่ก็ยิ่งถอยหนี
“อย่ามายุ่ง” พี่ธีร์มองเสื้อแจ็กเก็ตในมือของฉันก่อนจะคว้ามันไปจากมือด้วยอารมณ์คุกรุ่นก่อนจะเดินออกไป ฉันได้แต่มองตามแผ่นหลังขอกอีกฝ่ายที่เดินลับสายตาออกไป
“พี่ธีร์ คือหนู” ฉันรีบก้าวเท้าเดินตามหลังของอีกฝ่ายเมื่อเริ่มตั้งสติได้ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์คู่ใจของตัวเองแล้วขี่ออกไปจากลานจอดรถของคณะโดยไม่ได้เหลียวแลมามองทางเธอเลยแม้แต่น้อย
อะไรเนี่ย สร้างความร้าวฉานตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มจีบเลยเหรอ
ฉันพ่นลมหายใจออกมาพลางยกมือขึ้นมาเสยผมเพื่อปัดความหงุดหงิดออกไปจากใจ ใจร่ม ๆ นะยายวิ
“อ้าว ธีร์มันไปแล้วเหรอ” ฉันหันไปมองตามเสียงเมื่อได้ยินชื่อของหนุ่มรุ่นพี่ในบทสนทนา หญิงสาวสวยเดินมาพร้อมกับชายหนุ่มภายใต้กรอบแว่นหนาเตอะเดินเคียงกันมา
“ขี่มอ’ไซค์ไปอย่างไวขนาดนั้น คงมีเรื่องด่วนละมั้ง” ฉันจ้องมองสองคนนั้นอย่างไม่วางตาจนรุ่นพี่ทั้งสองหันมามองเมื่อรู้ตัว
“เธอมีอะไรเปล่าอะ”
“อ๋อ เปล่าค่ะ” ฉันรีบยกมือโบกปัด
“ไม่ใช่นักศึกษาแพทย์นี่ มาหาไอ้ธีร์มันเหรอ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม
“ค่ะ”
“โธ่ อดทนหน่อยนะ มันก็เย็นชาแบบนี้แหละแก้ไม่หาย ต้องใช้เวลา” สาวรุ่นพี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเห็นใจก่อนจะเข้ามาปลอบปะโลมฉัน
“มีคนมาจีบพี่ธีร์เยอะเลยเหรอคะ”
“น้องไม่ใช่คนแรก ๆ อะ แต่มันก็ไม่เอาเลยสักคน เพราะฉะนั้นถ้าน้องกลัวจะเสียเวลาก็ไปได้เลยนะ” พี่แว่นบอก
ฉันกลืนน้ำลายลงคอ
“แต่พี่ถูกชะตากับน้องอะ ดื่มกาแฟด้วยกันสักแก้วไหมอะ” รุ่นพี่สาวคลี่ยิ้มกว้างก่อนจะเข้ามากอดแขนฉันเอาไว้แล้วลากฉันไปที่คาเฟโดยไม่ทันได้เอ่ยทักท้วงอะไร