ตอนที่ 4 อีกแล้วเหรอ

2020 Words
“จากที่แกเล่ามาอะนะ ฉันว่าพี่หมอของแกคงจะมีปัญหาเรื่องการเงินมาก ๆ เลยต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำจนเกรดตก นั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาหลุดทุนอะ” นิดาว่าตามที่ตนเองคิด “เราก็ว่าอย่างนั้นแหละ” ฉันว่าพลางดูดน้ำส้มขึ้นมาดื่มเพื่อให้ร่างกายตัวเองสดชื่นหลังจากที่ถูกพี่ธีร์ไล่มา “แกเลิกชอบเขาเหอะ ผู้ชายอะไรนิสัยไม่ดีเลย” มนใส่อารมณ์ “แต่เราก็ผิดนะเว้ยที่เข้าไปยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของเขาอะ” “แล้ว เพื่อน ๆ พี่เขาที่แกไปดื่มกาแฟด้วยเขาว่าไงบ้าง” นิดาเอ่ยถาม “ก็ไม่ยังไงหรอก เขาก็บอกว่าพี่ธีร์ไม่ชอบให้คนเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขา รู้แค่ว่าพี่แกอยู่ตัวคนเดียวเลยเป็นคนเย็นชาแบบนี้” “แกก็เลยอยากช่วยเขาว่างั้น” ฉันพยักหน้าตอบกลับมน “อือ แต่พี่เขาน่าจะโกรธเรามากเลยอะ” “ทำไมแกไม่จ้างให้พี่เขามาติววิชาที่แกอ่อนให้วะ พี่เขาได้ทุนแสดงว่าต้องเรียนเก่งมาก ๆ ไม่ใช่เหรอ แบบนี้จะได้วิน ๆ ทั้งคู่ไง” นิดาเสนอ “ฉันว่าแบบที่นิดาบอกมันก็ดีนะแก แต่ว่าพี่เขาดูเป็นคนทะนงตัวแบบนั้น เขาจะยอมรับข้อเสนอปะวะ” มนขมวดคิ้วอย่างฉงน “เราต้องหาวิธีไปคุยกับเขาให้ได้” ตั้งแต่วันนั้นฉันก็เดินผ่านที่ตึกเรียนของพี่ธีร์แทบจะทุกวัน แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าพี่เขาจะอยู่เลย แม้แต่ลานจอดรถมอเตอร์ไซค์ฉันก็ไม่เห็นรถจอดอยู่เลย ทำยังไงถึงจะจับทางรุ่นพี่หนุ่มได้เนี่ย จะถามเพื่อน ๆ ของพี่เขาก็กลัวว่าจะเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขาเกินไปอีก ยิ่งโดนบอกว่าอย่ามายุ่ง ก็ยิ่งไม่กล้าจะทำอะไรเลยแฮะ หรือว่าฉันควรจะต้องตัดใจแล้วจริง ๆ “คุณพ่อกับคุณแม่ไม่เห็นบอกหนูเลยว่าจะพาหนูมาทานข้าว” ฉันเอ่ยขณะที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผู้เป็นพ่อและแม่บนโต๊ะทานอาหารในร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง “ก็เห็นลูกเรียนมาเหนื่อย ๆ พ่อเขาก็เลยอยากให้ลูกได้ทานของ ดี ๆ น่ะสิ” หญิงสาววัยกลางคนเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มใจดี แม่เหลือบสายตาไปมองทางพ่อที่เอาแต่นั่งมองเมนูอาหารในมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอย่างเช่นทุกที “คุยกันอยู่นั่นแหละ ไม่รีบสั่งอาหารสักที สั่งต้มยำทะเลไม่เผ็ดมากให้ลูกด้วยนะ” พ่อหันมาพูดกับแม่ด้วยน้ำเสียงกึ่งดุเล็กน้อยแต่แม่ก็ไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวอะไรนอกจากแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ดูสิ ยังสั่งของที่ลูกชอบเลย” ฉันมองดูสองสามีภรรยาหยอกเหย้ากันแล้วอมยิ้มเบา ๆ หลังจากที่เราสั่งอาหารเสร็จแล้ว พ่อก็ถามฉันเรื่องเรียนตามปกติ “แล้วเรื่องเรียนเป็นไงบ้าง เรียนหนักไหมช่วงนี้” “ก็ดีค่ะคุณพ่อ” ฉันตอบกลับไปเพียงสั้น ๆ “วันหยุดยาวนี้อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า หรือว่ามีงานต้องทำ” “อืม” ฉันนั่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หนูยังไม่รู้เลยค่ะ” “ทำไมไม่ชวนพวกเพื่อนลูกมาบ้านบ้างล่ะ คิดถึงหนูนิดากับหนูมนจะแย่” คุณแม่ว่าน้ำเสียงอ่อนโยน “นั่นสิ พวกนั้นไม่ได้มาบ้านนานแล้วเนอะ” “เดี๋ยวหนูลองถามเพื่อน ๆ ดูนะคะ” หลังจากนั้นอาหารก็มาเสิร์ฟก่อนที่เราจะเริ่มนั่งทานอาหารร่วมกัน ทั้งฉันและพ่อต่างนั่งทานอาหารเงียบ ๆ จึงมีแม่ที่คอยชวนคุยเสมอไม่ให้บรรยากาศมันเงียบเหงาจนเกินไป มันเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ฉันจำความได้ ฉันรู้ว่าพ่อรักฉันมาก แต่ก็เข้มงวดกับฉันมากเหมือนกัน มันเลยทำให้พวกเราไม่ได้คุยกันมากนักเท่าที่ควร ฉันยังไม่เข้าใจเลย ว่าแม่อยู่กับพ่อได้ยังไง เวลาที่ฉันมองท่านทั้งสอง แม่เปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ที่คอยส่องแสง ส่วนพ่อก็เหมือนดอกทานตะวันที่รอรับแสงจากแม่ “หนูขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ” ฉันกล่าวกับพ่อและแม่ก่อนจะลุกขึ้นยืนหวังจะเดินออกไป แต่พอเดินมาถึงหน้าร้านสายตาของฉันก็ไปสะดุดเข้ากับร่างสูงของคนที่คุ้นเคยอยู่ในชุดทำงานของพนักงานร้าน “ดูสิเนี่ย พนักงานคุณเดินยังไงคะ ดูสิน้ำแกงเปื้อนรองเท้าฉันหมดแล้ว” หญิงสาวมาดคุณนายคนหนึ่งเอ่ยโวยวาย ฉันเหลือบมองน้ำแกงที่เปื้อนเพียงรองเท้าของนางแต่เมื่อเทียบกับคนที่กำลังโดนดุคือโดนลวกไปทั้งแขน “ขอโทษแทนพนักงานของทางเราด้วยนะครับคุณผู้หญิง” “รองเท้าฉันคู่ละเท่าไรรู้ไหม ทำเปื้อนแบบนี้ก็เสียของหมดน่ะสิ” “เดี๋ยวผมเช็ดให้นะครับ” พี่ธีร์เอ่ย “ไม่ต้องย่ะ ฉันรีบ” ป้าสูงวัยกอดอกตัวเองพลางเบะปาก “เอาเงินชดใช้มาเลย” “เรื่องแค่นี้เองทำไมต้องเรียกค่าชดใช้ด้วยครับ อีกอย่างคุณป้าเป็นคนเดินมาชนผมเอง” ชายหนุ่มเอ่ยโต้เถียง “ธีร์ อย่าไปขึ้นเสียงใส่ลูกค้า” ผู้จัดร้านร้านพูดเสียงดุยิ่งทำป้าคนนั้นได้ใจ ฉันแอบยืนมองดูอยู่ห่าง ๆ เพื่อดูสถานการณ์ “หักเงินเดือนพนักงานคนนี้มาชดใช้ให้รองเท้าฉันเลยนะคะ พนักงานแบบนี้มีไว้ในร้านก็มีแต่ล่มจม” “แต่คุณป้าเดินเล่นโทรศัพท์มาชนผมเองนะครับ ไม่เชื่อก็ให้เปิดกล้องวงจรปิดได้เลย” “ธีร์ ขอโทษคุณหญิงเขาเดี๋ยวนี้” ผู้จัดการร้านตะคอกใส่พี่ธีร์ “ผมไม่ผิด” “เอ๊ะ นายคนนี้ ฉันไล่นายออก” ผู้จัดการร้านว่า “คุณหญิงครับเชิญทางนี้ครับเดี๋ยวผมจะชดใช้ให้” “พี่ครับ” “ไม่ต้องพูดเลยนะ ไปเก็บของเลยไป แล้วเงินรายวันวันนี้ไม่ต้องเอานะ” พี่ธีร์มีสีหน้าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่จะถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วเดินไปที่หลังร้านด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์นัก ฉันได้แต่มองตามแผ่นหลังของร่างสูงแล้วตัดสินใจเดินตามเข้าไป “แม่งเอ๊ย” ชายหนุ่มค้ำตัวเองไว้กับซิงก์ล้างจาน “พี่ธีร์” เจ้าของชื่อหันมามอง “เธออีกแล้วเหรอ” พี่ธีร์ถอนหายใจก่อนจะหันไปมองทางอื่น เขาเปิดก๊อกน้ำให้ไหลผ่านบาดแผลจากการถูกน้ำร้อนลวก “พี่ควรใช้น้ำเย็นนะคะ” “พี่เรียนหมอนะ ทำไมจะไม่รู้อะ” ชายหนุ่มตอบกลับมา ฉันเลยหยิบน้ำแข็งออกมาจากตู้แช่แล้วถือวิสาสะดึงแขนของอีกคนมา “ต้องประคบน้ำแข็งด้วยสิคะ” “เดี๋ยว” พี่ธีร์ยกมือห้าม “น้ำแข็งจากตู้แช่เนื้อเนี่ยนะ เธอหวังดีหรืออยากให้พี่ตายไวเนี่ย” “อุ๊ย” ฉันรีบวางก้อนน้ำแข็งลงบนซิงก์ล้างจานทันที “จับแล้วก็ล้างมือด้วย” ชายหนุ่มจับมือของฉันไปล้างกับน้ำเปล่า แล้วบีบเจลล้างมือใส่ในฝ่ามือของฉัน “คะ?” “ล้างให้สะอาดสิ” ฉันรีบพยักหน้าก่อนจะล้างมือตามที่พี่ธีร์บอก ถึงแม้จะยังงง ๆ อยู่ก็ตาม มาช่วยเขา แต่ก็ให้เขาช่วยเหมือนเดิม ฉันล้างมือจดสะอาดก่อนจะหยิบกระดาษทิชชูมาซับมือจนแห้ง ฉันมองไปหาหนุ่มรุ่นพี่ที่เดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลออกมา “ให้หนูช่วยนะคะ” ชายหนุ่มช้อนสายตามามองฉันด้วยความสงสัย “ทำไมอยู่ ๆ ถึงจะมาช่วยพี่” “พี่ช่วยหนูมาตั้งสอง ไม่สิ สามครั้งแล้วอะ ให้หนูช่วยพี่บ้างนะ” ฉันอมยิ้มเบา ๆ ก่อนจะเปิดกล่องปฐมพยาบาลออก “รู้เหรอ ว่าแผลโดนน้ำร้อนลวกต้องใช้อะไร” “พี่ก็บอกหนูสิคะ” พี่ธีร์แอบหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะชะเง้อมองของในกล่องปฐมพยาบาล “เอาเจลว่านหางจระเข้มาทาบาดแผล” ฉันหยิบเจลว่านหางจระเข้ออกมาก่อนจะชโลมทาบนบาดแผลของคนพี่ที่ผิวเริ่มขึ้นสีแดงจากความร้อน คงจะแสบน่าดู “แล้วไงต่อคะ” “เอาผ้าสะอาดมาพันรอบบาดแผล” ฉันพยักหน้ารับก่อนจะหยิบผ้าก๊อซออกมาพันรอบท่อนแขนแกร่งปกปิดบาดแผลจนมิดก่อนจะเผลอเป่าบาดแผลด้วยความเคยชิน “อันนี้ไม่ได้อยู่ในขั้นตอนนะ” “หนู... ชินอะ ขอโทษค่ะ” ฉันเก็บทุกอย่างใส่กล่องปฐมพยาบาลด้วยความร้อนลน พอเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าหล่อเหลาของอีกคนใกล้ ๆ หัวใจดวงน้อย ๆ มันก็เต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก “แล้วมาทำอะไรที่นี่ มาทานข้าวเหรอ” “ค่ะ หนูมากับครอบครัว” พี่ธีร์พยักหน้ารับก่อนจะก้มลงมองดูบาดแผลของตัวเอง “ทำแผลเก่งเหมือนกันนะเธอ ไม่คิดเลยว่าจะเรียนวิศวะฯ” “ตอนแรกหนูก็อยากเรียนหมอแหละ แต่ว่าหนูไม่เก่งเคมีอะ” ฉันตอบกลับไปจามความจริง “ก็เลยหนีไปเรียนวิศวะคอมฯ” “ใช่ค่ะ ถึงมันจะมีเรียนอยู่นิดหนึ่งอยู่ดี” ฉันหัวเราะแห้ง ๆ “งั้นเหรอ ยังไงก็โชคดีนะ แล้วก็ขอบใจเรื่องทำแผลให้” พี่ธีร์ว่าก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมา “วันนี้ว่างงาน ว่าจะกลับบ้านไปนอนก่อนจะหางานใหม่” “เอ่อ พี่ธีร์คะ” ฉันรีบเรียกรั้งอีกคนที่กำลังจะเดินออกไปจากห้องไว้ “ครับ?” ร่างสูงหันกลับมา “พี่มาเป็นพี่ติวให้หนูหน่อยได้ไหมคะ” “ว่าไงนะ” “หนูอยากให้พี่มาเป็นพี่ติวให้หนูค่ะ” ฉันทวนคำอีกรอบยิ่งทำให้หนุ่มรุ่นพี่ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ “ไม่เอาอะ อย่างพี่เนี่ยนะจะไปสอนใครรู้เรื่อง เธอไปหาคนอื่นดีกว่า” พี่ธีร์กำลังจะหันกลับไป “เป็นพี่ติวให้หนูดีนะคะ พี่จะได้ทวนหนังสือ แล้วก็ทำงานไปด้วย แบบนี้ไม่ดีเหรอคะ” “นี่เธอ หางานให้พี่อยู่เหรอ” ชายหนุ่มเดินกลับเข้ามาหาฉันแถมสีหน้ายังเต็มไปด้วยความแปลกใจ “สงสารพี่อยู่เหรอ” “เปล่านะคะ พี่ได้เงิน หนูได้เรียน มันก็ดีกับเราทั้งคู่ไม่ใช่เหรอคะ” ฉันเกร็งจนน้ำเสียงที่พูดออกไปตะกุกตะกักยามที่ถูกดวงตาคมคู่นั้นจับจ้องมาอย่างจับผิด “เอาโทรศัพท์มา” “คะ?” ฉันถึงกลับเผลอปล่อยหน้าเหวอ “พี่จะเพิ่มไลน์ให้ เสนอราคา วิชา สถานที่มาเลย เดี๋ยวพี่ดูอีกที” “ค่ะ ๆ” ฉันรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วส่งต่อไปให้พี่เขาด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน พี่เขารับโทรศัพท์ของฉันไปกดเพิ่มเพื่อนทันทีก่อนจะส่งกลับมาให้ฉัน “เรียบร้อยแล้ว” ฉันรับโทรศัพท์ของตัวเองกลับคืนก่อนจะอ่านชื่อไลน์ของพี่ธีร์อย่างแปลกใจ “Theeradon Handsome and Cool พี่ธีร์เป็นแฟนคลับน้ำตากามเทพเหรอคะ” ฉันเงยหน้าขึ้นมาถามชายหนุ่มที่รีบเสหน้าหันไปมองทางอื่น ฉันแอบเห็นว่าใบหูของหนุ่มรุ่นพี่แดงก่ำอย่างเขินอายก็อดจะอมยิ้มไม่ได้ “ปกติเพื่อนในไลน์พี่น้อยอยู่แล้ว เลยไม่ค่อยเห็นเท่าไร” “งั้นแปลว่าหนูก็เป็นส่วนน้อยที่ได้เห็นอีกมุมของพี่ใช่ไหมคะ” ฉันจ้องมองหนุ่มรุ่นพี่อย่างคาดหวัง “อย่าลืมไลน์มาแล้วกัน พี่ไปก่อนนะ” มือหนายกขึ้นมาลูบท้ายทอยก่อนจะเดินออกไปราวกับทำตัวไม่ถูก พี่เขาก็มีมุมน่ารักเหมือนกันนะเนี่ย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD