"พวกเจ้าทำอะไรน่ะ!" หลี่เวยตะโกนขึ้นเสียงดังจนชายหญิงสองคนสะดุ้งไม้ในมือแทบร่วงจากมือ
"ข้าถามว่าพวกเจ้าสองคนกำลังทำอะไร" หัวคิ้วของหลี่เวยขมวดมุ่น แววตาเต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
คราแรกบุรุษตรงหน้ายังแสดงท่าทีตกตะลึงเล็กน้อย ทว่าเมื่อเห็นผู้มาใหม่เป็นเพียงชายพิการคนหนึ่งใบหน้าของอีกฝ่ายก็เผยความโหดร้ายในทันที
"ข้าจะทำอะไรมันก็เรื่องของข้า เจ้ามาแส่อะไรด้วย"
หลี่เวยจ้องอีกฝ่ายนิ่งๆ คนตรงหน้านี้เป็นชายวัยกลางคนตัวอวบอ้วน ในมือของเขามีมีดเล่มหนึ่ง เขาสวมเอี้ยมตัวใหญ่ที่มีคราบเลือดเกาะอยู่ ด้านข้างของเขาเป็นสตรีรูปร่างผอมแห้งใบหน้าชั่วร้าย
"เจ้าคนพิการจะไปไหนก็ไป อย่ามายุ่งเรื่องของข้า มิฉะนั้นอย่ามาโทษว่าพวกข้าใจร้ายหากพลั้งมือตัดแขนของเจ้าจนขาดไปสักข้างหนึ่ง" สตรีนางนั้นแสยะยิ้มโหดร้าย
ด้านหลังของหลี่เวยมีผู้คนเดินไปมา หลายคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างหยุดดูเพียงชั่วครู่ก่อนจะรีบเดินจากไปอย่างหวาดกลัว
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไม่ตอบอะไร สองสามีภรรยาเค้นเสียงออกจมูกก่อนจะหันกลับไปให้ความสนใจกับร่างบนพื้นอีกครั้ง
หัวคิ้วของชายหนุ่มแทบจะชนกันอยู่รอมร่อ ในสถานการณ์เช่นนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี สองสามีภรรยาตรงหน้าดูเหมือนจะไม่ใช่คนธรรมดาเสียด้วย เพราะชาวบ้านที่ผ่านมาเห็นพวกเขาต่างก็รีบเร่งจากไปประหนึ่งถูกไฟรนก้น
ชาวบ้านที่หวังดีบางคนเดินเข้ามาเอ่ยห้ามหลี่เวยโดยบอกถึงสาเหตุที่พวกเขาไม่ควรเข้าไปยุ่ง
"เจ้าหนุ่ม เจ้ารีบไปเถอะ สองคนนี้เป็นคนชั่วช้ามาก บุตรสาวของเขาได้เข้าไปเป็นอนุของซื่อจื่อสกุลหลินเชียวนะ แม้แต่ทางการก็ยังไม่กล้ายื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว"
หลี่เวยดวงตาเปล่งประกาย สกุลหลิน...นั่นมันมิใช่ตระกูลของแม่นางเอกหรือ?
"ขอบคุณท่านป้ามาก ที่แท้บุตรสาวของพวกเขาก็เป็นอนุของสกุลหลินนี่เอง" หลี่เวยหันไปส่งยิ้มให้กับหญิงวัยกลางคนที่เข้ามากล่าวเตือน
"ใช่ บุตรสาวของเราเป็นอนุของซื่อจื่อสกุลหลิน หากเจ้าไม่อยากมีปัญหาก็รีบไสหัวไปซะ" หญิงวัยกลางคนผู้ชั่วร้ายหันมาส่งยิ้มที่ไม่ต่างอะไรกับปีศาจจากขุมนรกให้หลี่เวย
"ก็แค่อนุ เป็นเพียงนางบำเรอคอยรองมือรองเท้าให้คนอื่น มันน่าภูมิใจมากหรือ" หลี่เวยเอ่ยด้วยสีหน้าใสซื่อ
"เจ้า!" ชายวัยกลางคนตัวอ้วนที่ได้ยินใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็นอึมครึม
หลี่เวยแสยะยิ้ม ยิ่งเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินปรี่เข้ามารอยยิ้มของเขาก็ยิ่งกดลึก
"เจ้าลองพูดอีกทีซิ!" ชายตัวอ้วนมีใบหน้าดำทะมึน มือข้างที่กำท่อนไม้สั่นเทาด้วยความโกรธ
"ทำไม ข้าบอกว่าลูกสาวของเจ้าเป็นเพียงที่รองมือรองเท้าคนอื่นของคนอื่น เจ้าได้ยินไม่ชัดหรือ" หลี่เวยมีท่าทางยียวนชัดเจน โดยเฉพาะคำว่ารองมือรองเท้า ชายหนุ่มเน้นย้ำเป็นพิเศษ
"เจ้า!" ชายตัวอ้วนกัดฟันกรอด ร่างใหญ่ยักษ์ก้าวเดินเข้ามา ท่อนไม้ในมือเงื้อมขึ้นสุดแขนเตรียมฟาดลงมาเต็มแรง
ชาวบ้านที่หยุดมองต่างมีสีหน้าหวาดผวา หลายคนต่างปิดหน้าด้วยเพราะไม่อาจทนมองสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนี้ได้
"เชื่อหรือไม่ว่าขอเพียงข้าต้องการ ลูกสาวที่เจ้าภูมิใจหนักหนาจะถูกขับออกจากตระกูลในพริบเดียว"
ทันทีที่คำพูดนี้ดังขึ้น ชายร่างอ้วนท้วนฉุดคิด ชาวบ้านหลายคนที่เห็นว่าเหตุการณ์ไม่ได้เลยเถิดไปอย่างที่พวกตนจินตนาการจึงพากันถอนหายใจโล่งอก
เมื่อเห็นชายวัยกลางรูปร่างอ้วนกลมหยุดชะงัก ใบหน้าที่อัดไปด้วยไขมันฉายประกายหวาดระแวง ดวงตาคู่นั้นจับจ้องใบหน้าอ่อนใสราวกับกำลังสำรวจว่าคนผู้นี้เป็นใครกันแน่
"ท่านพี่ ท่านรออะไรเล่าเจ้าคะ ไอ้พิการนี่มันดูถูกลูกสาวของเรา ท่านพี่ต้องจสั่งสอนให้มันรู้จักที่ต่ำที่สูงเสียบ้าง" สตรีใบหน้าชั่วร้ายเดินมาหยุดข้างสามีพลางเอ่ยกระตุ้น
ไม่รอให้ชายตรงหน้าได้โต้ตอบ หลี่เวยหลับตาพิงพนักเก้าอี้ เอ่ยวาจาคล้ายพึมพำกับตัวเอง ทว่าผู้คนในบริเวณโดยรอบกลับได้ยินชัดเจนสองหู
"ซ่งเป่ยเทียนเชิญข้าไปร่วมดื่มชาบนโรงเตี๊ยม น่าเสียดายที่ข้าปฏิเสธเขา ดูท่าวันนี้ข้าคงต้องไปพูดคุยกับเขาเรื่องนี้เสียหน่อยแล้ว บิดามารดาชั่วร้ายถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าทำพฤติกรรมชั่วช้าอะไรไปบ้าง สงสัยคงต้องให้เขาสืบเรื่องส่งให้ทางการเสียหน่อย"
"หึ่ม หากเจ้ากล้าก็ไปเถอะ เจ้าคิดจะหลอกข้าได้หรือ คุณชายซ่งจะคบหากับชายพิการเช่นเจ้าได้อย่างไร" สตรีร่างผอมแห้งนอกจากจะไม่กลัวยังกล่าวสีหน้าเย้ยหยัน นางเอ่ยท้าทายเขาอย่างไม่เกรงกลัว
"ได้" หลี่เวยพยักหน้ารับหนักแน่นจนอีกฝ่ายผงะงัน ชายหนุ่มใช้สองมือหมุนล้อแล้วแล่นออกไป
คราแรกสองสามีภรรยายังไม่คิดอะไรมาก แต่เมื่อเห็นสิ่งที่เขาทำใบหน้าพลันเริ่มน่าเกลียด
"ท่านพี่ ท่านว่าเขาจะไปหาคุณชายซ่งจริงหรือใม่" หญิงวัยเห็นท่าทางเด็ดเดี่ยวของหลี่เวยก็เริ่มไม่แน่ใจ
"ข้าไม่รู้" อีกฝ่ายตอบใบหน้าเคร่งขรึม
และขณะเดียวกับ หนึ่งในชาวบ้านที่มุงดูอยู่โดยรอบก็พูดโพล่งขึ้นมาเสียงดัง
"ข้านึกออกแล้ว!"
"เจ้านึกอะไรออกหรือ" สหายข้างกายเอ่ยถามสีหน้าฉงน
"คนผู้นั้น เมื่อครู่ข้ารู้สึกคุ้นหน้าเขามาก แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก แต่ตอนนี้ข้าคิดออกแล้ว"
"เช่นนั้นหรือ แล้วเขาเป็นใครกัน"
"เขาคือท**นหลี่เวย!" ฝูงชนพลันอึกทึกทันใดเมื่อชื่อนี้หลุดออกมา
หลายคนก็เออออจนเหตุการณ์เริ่มจะวุ่นวาย ชื่อเสียงของหลี่เวยเป็นเช่นไรแม้แต่เด็กน้อยก็ยังรู้ ความสนิทสนมระหว่างหลี่เวยและคุณชายใหญ่สกุลซ่งชาวเมืองสวีโจวย่อมทราบดี เห็นทีครานี้สองสามีภรรยาจะเตะแผ่นหินเข้าให้แล้ว
ชาวบ้านต่างกระซิบกระซาบเสียงดังจอแจ โดยเฉพาะสองสามีภรรยาที่บัดนี้ใบหน้าบิดเบี้ยวจนเข้าขั้นน่าเกลียด
ยิ่งเมื่อพวกเขาเห็นว่าชายหนุ่มเข็นรถไปโดยไม่มีท่าทีลังเล ความหวาดกลัวก็เพิ่มมากยิ่งขึ้น ชายผู้เป็นสามีรีบวิ่งตามติดๆ
"ช้าก่อนคุณชายหลี่ ได้โปรดรอข้าก่อน"
หลี่เวยลอบยิ้มมุมปาก ขณะเดียวกันความโล่งใจก็วาบผ่านเข้ามา ความเขาแค่ต้องการจะขู่เท่านั้น ไม่คิดว่าในหมู่ของฝูงชนจะยังมีคนจำเขาได้จริงๆ
ทีนี้จะทำอะไรก็คงจะง่ายขึ้นเยอะ
หลี่เวยไม่ได้ลดความเร็วลง กลับเป็นอีกฝ่ายที่วิ่งเร็วมากขึ้น สุดท้ายชายตัวอ้วนก็ตามทัน
"คุณชาย แฮ่กๆ คุณชายหลี่ใจเย็นก่อนขอรับ"
หลี่เวยมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชาจนเจ้าของร่างอ้วนฉุขนลุกชัน
"เมื่อครู่เจ้ายังต่อว่าข้าอยู่เลยมิใช่หรือ ครานี้จะมาหยุดข้าทำไมกัน"
"คุณชายโปรดใจเย็นก่อน ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเองขอรับ" ชายอ้วนน้อมรับผิดแต่โดยดี
ขณะเดียวกันฝูงชนที่มุงดูก็แหวกออกเป็นสองฝั่ง ร่างสูงใหญ่ของชายคนนึงก้าวเดินเข้ามา
"หลี่เวย เกิดอะไรขึ้น" จางหั่วปินเดินเข้ามาถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
"ท่านอา ท่านมาพอดีเลย" หลี่เวยยิ้มอ่อนเมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใคร
เขาเอ่ยเล่าเหตุการณ์คร่าวๆ ให้อีกฝ่ายฟังก่อนจะชี้ไปทางเด็กหนุ่มที่นอนสลบอยู่บนพื้น จางหั่วปินมองตามไปก็อ้าปากค้าง
"นั่นมันบุตรชายบ้านหม่าเซี่ย!"
หลี่เวยคิ้วกระตุก เขาหันไปทางร่างที่นอนท่ามกลางกองเลือด ที่แท้เด็กคนนั้นก็คือหม่าหยวน?