ในวันที่ท้องฟ้าค่อนข้างปลอดโปร่ง หลี่เวยนั่งอยู่บนเกวียนวัวด้วยความสำราญ บนตักของชายหนุ่มมีกระดาษปึกหนึ่งวางไว้ ช่างเป็นภาพที่คุ้นตาเหลือเกิน
หลี่เวยคิดว่ายังไงหนังสือที่เขาเขียนย่อมต้องได้รับความนิยมแน่ เพราะเท่าที่เขาตรวจครั้งก่อนดู ในยุคสมัยนี้ผู้คนมักจะเขียนเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความรัก หรือไม่ก็คำสอนให้ตอบแทนพระคุณของผู้เป็นบิดามารดา
ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ซ้ำซากจำเจ แต่เรื่องที่หลี่เวยเขียนมันแตกต่างจากพวกเขาอย่างสิ้นเชิง เพราะเนื้อหาหลักของมันก็คือการทำสงคราม การแก้แค้นและการรวมอำนาจของแคว้นทั้งหลายเป็นหนึ่งเดียว
แน่นอนว่าเรื่องนี้หลี่เวยไม่ได้คิดขึ้นมาเอง แต่เขียนมันขึ้นมาจากความทรงจำที่เขาเคยไปอ่านนิยายเรื่องหนึ่งในโลกปัจจุบันแล้วนำมาดัดแปลงเล็กน้อย
ระหว่างที่เกวียนวัวแล่นเข้าไปในเขตที่ผู้คนเริ่มพลุกพล่าน นามของหนังสือยอดบุรุษสกุลฉินก็เริ่มลอยเข้าหูของชายหนุ่มเป็นระยะ
หลี่เวยกระตุกยิ้มด้วยคิดว่าทุกอย่างคงดำเนินไปตามที่เขาคาดไว้
ยิ่งเข้าไปใกล้เมืองสวีโจวมากเท่าไหร่หลี่เวยก็ยิ่งได้ยินชื่อของยอดบุรุษสกุลฉินมากขึ้นเท่านั้น
"เสี่ยวเฉา เจ้าได้อ่านหนังสือยอดบุรุษสกุลฉินหรือยัง"
"อ่านแล้ว ท่านพี่ของข้าอ่านให้ข้าฟัง ชีวิตของฉินซ่างหยูไฉนจึงน่าสงสารถึงเพียงนั้นกันนะ"
"ข้าเดาได้เลยว่าอนาคตฉินซ่างหยูจะสามารถกอบกู้ตระกูลฉินและสามารถแก้แค้นได้แน่นอน"
เสียงพูดคุยของผู้คนดังแซ่ซ้องโดยเฉพาะเหล่าบัณฑิตที่ออกมาหาความรู้ หลี่เวยยังคงหลับตาพริ้มพลางยกยิ้มมุมปากด้วยสุขใจ
"เหมือนเดิมนะหลี่เวย หากเจ้าทำธุระเสร็จก่อนก็มารอข้าที่นี่"
"ขอรับ"
เมื่อลงจากหลังเกวียนแล้วจางหั่นปินเอ่ยกำชับกับหลี่เวยอีกสองสามคำก่อนจะแล่นเกวียนจากไป
หลี่เวยมองจนอีกฝ่ายหายลับตาไปแล้วจึงใช้สองมือหมุนล้อให้รถเข็นไม้เคลื่อนไปยังทิศทางที่ต้องการ
ชายหนุ่มมุ่งหน้าไปตามเส้นทางด้วยความเคยชิน เขาใช้เวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้นก็มาถึงร้านหมื่นอักษรอันเป็นจุดหมายหลักของการมาครั้งนี้
เพียงแค่ประตูร้านเปิดอ้าออก ชายชุดขาวที่ค่อนข้างคุ้นตาก็โผล่หน้ามาทันที
"ไม่ทราบว่า... " ยังกล่าวไม่จบคำเมื่อเจียงผิงเห็นว่าผู้มาเป็นใครก็นิ่งชะงักไปครูหนึ่งก่อนใบหน้าจะเผยประกายลิงโลดออกมา
"ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที มาๆๆๆ -หลี่เวย ท่านปู่อยากเจอเจ้าจนแทบนั่งไม่ติดแล้ว" เจียงผิงไม่รอให้หลี่เวยอนุญาตก่อน ชายหนุ่มเดินอ้อมมาด้านหลังแล้วดันรถเข็นให้หลี่เวยอย่างตื่นเต้น
กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้งหลี่เวยก็มาอยู่เบิ้องหน้าของชายชราผมขาวแล้ว ครานี้ผมสีดอกเลาที่เคยกระเซอะกระเซิงกลับถูกมัดรวบไว้อย่างเป็นระเบียบ ใบหน้าที่มักจะเรียบเฉยก็ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่าทั้งสองคนจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่หลี่เวยกลับรู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มไม่ชอบมาพากล ราวกับได้รับแรงกดดันอย่างมหาศาล
"ท่านผู้เฒ่า มีสิ่งใดจะกล่าวหรือขอรับ" หลี่เวยยิ้มถามเสียงแห้ง
"แน่นอนๆ" ชายชราหัวเราะเสียงเริงร่า เขาหยิบบางอย่างออกจากอกเสื้อก่อนจะยื่นมันมาเบื้องหน้าของชายหนุ่ม
"นี่คือ?"
"เงินของเจ้า"
ได้รับฟังคำตอบของชายชราหลี่เวยรับเงินมาเปิดดูพลางกวาดตามองนับจำนวนคร่าวๆ
"มากถึงสามสิบตำลึงเชียวหรือขอรับ?!" หลี่เวยตกใจจนแทบตกเก้าอี้
เงินหนึ่งตำลึงหากใช้อย่างประหยัดย่อมสามารถเลี้ยงดูครอบครัวของชาวบ้านธรรมดาไปได้หลายเดือนหรืออาจจะเป็นปี
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเงินสี่สิบตำลึงที่เขาได้มาก่อนหน้านี้ก็ใช้ไปไม่ถึงหนึ่งในสิบ มาวันนี้ได้รับเงินเพิ่มอีกถึงสามสิบตำลึง หมายความว่าตอนนี้เขากลายเป็นเศรษฐีน้อยแล้วใช่หรือไม่!
"ใช่แล้ว เพราะหนังสือของเจ้าขายดีมาก โดยเฉพาะเหล่าลูกหลานของชนชั้นสูงที่สนใจในเรื่องการทำสงคราม"
พูดมาถึงตอนนี้หลี่เวยสังเกตได้ว่าชายชราเริ่มเผยรอยยิ้มแปลกๆ ออกมา รอยยิ้มของเขาทำให้ชายหนุ่มขนลุกซู่ สองมือเหี่ยวแห้งของชายชราถูกันประหนึ่งลบความประหม่าที่มีออกไปจนหมด
"เจ้าหนุ่ม ตอนนี้หนังสือของเจ้าเป็นที่นิยมมาก หากเจ้ายินยอมที่จะ..." เขียนงานต้นฉบับส่งให้ข้าทุกเดือน เงินที่เจ้าจะได้รับมันจะมากกว่านี้หลายสิบเท่า!
แน่นอนว่าประโยคหลังชายชรามิได้กล่าวออกไป แต่เท่านี้หลี่เวยก็มองออกถึงจุดประสงค์ของชายชราได้แล้ว
ชายหนุ่มรีบปฏิเสธส่ายหน้าหวือทันที
"ทำไมกัน" ชายชราเริ่มหน้ามุ่ยจนหัวคิ้วแทบจะติดกัน
"เพราะข้าระบุมันไว้ในสัญญาแล้วไงเล่าขอรับ"
ชายชราอึ้งงันไม่รู้จะพูดอะไรไปชั่วขณะ แต่เมื่อเขาคิดจะกล่าวหว่านล้อมชายหนุ่มอีกหนกลับถูกหลี่เวยตอบปัดอย่างไม่ใยดี
"ท่านผู้เฒ่า ข้าบอกท่านตามตรงว่าข้าไม่คิดจะเขียนหนังสือขายไปตลอดชีวิต ขอเพียงขาข้องข้าหายดีและสามารถทำอาชีพที่สุจริตได้ด้วยตัวเอง บทบาทของข้าในอาชีพนักเขียนก็จะหยุดลง"
"เจ้าจะบอกว่า สิ่งที่เจ้าต้องการทำตอนนี้เป็นอันดับแรกก็คือรักษาขาของเจ้ากระมัง" ชายชราเอ่ยถาม
หลี่เวยพยักหน้าอย่างหนักแน่น
"ใช่"
ชายชรารู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าเมื่อร้านของเขาได้เจอกับขาทองคำที่จะนำเงินมากมายมหาศาลให้ไหลเข้าสู่ร้านหมื่นอักษร แต่อีกฝ่ายกลับบอกกล่าวกับเขาตามตรงว่าเมื่อใดที่รักษาขาเสร็จก็จะไม่สนใจเรื่องหนังสืออีก
เจียงผิงเองก็ผงะไปเช่นกัน มันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร พวกเขาถึงจะเจอกับขาทองคำได้ไม่นานเองนะ!
รอบห้องทำงานถูกความเงียบเข้าปกคลุม ชายชราปิดปากเงียบ สองมือประสานสิบนิ้วไปบนโต๊ะ ดวงตาสีดำกลอกกลิ้งไปมาประหนึ่งกำลังคิดแผนร้ายบางอย่าง
"อะแฮ่ม หลี่เวย เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ เรื่องขาของเจ้า ข้าจะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้เอง"
ชายชรายื่นข้อเสนอที่ทำให้ชายหนุ่มจิตใจสั่นไหว ทว่าเมื่อเขาคิดว่าอีกฝ่ายยังไม่ทันได้กล่าวข้อแม้ออกมาหลี่เวยจึงยังไม่กล้าตบปากรับคำ
อีกฝ่ายคือเถ้าแก่ของร้านหมื่นอักษร อันเป็นร้านหนังสือเพียงไม่กี่แห่งของเมืองสวีโจว แถมที่นี่ยังเป็นร้านที่นางเอกของเรื่องโปรดปรานอีกด้วย
ตามความเข้าใจของหลี่เวย หากตัวละครที่มีความสัมพันธ์บางอย่างกับเหล่าตัวเอกของเรื่อง พวกเขาล้วนมีพื้นหลังที่ไม่ธรรมดา บางทีอีกฝ่ายอาจจะรู้จักกับหมอเทวดาบางคนที่สามารถรักษาขาของเขาให้ขายขาดในพริบตาก็ได้
แต่สิ่งเหล่านั้นก็เป็นเพียงการคาดเดา หลี่เวยยังคงปิดปากเงียบรอให้อีกฝ่ายกล่าวสิ่งที่เขาต้องการออกมาก่อน
ชายชราจับจ้องชายหนุ่มเงียบๆ แววตาของเขาเต็มไปด้วยประกายของความตื่นเต้นประหนึ่งว่ากำลังจ้องมองบ่อเงินบ่อทองอันล้ำค่า
หลี่เวยเผยสีหน้าหวาดระแวงออกมาอย่างชัดเจน ตาเฒ่ามองเขาเช่นนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
"ท่านปู่" เจียงผิงเห็นว่าชายชรายังคงนิ่งเงียบถึงกระซิบดึงสติ
ชายชราหลุดจากภวังค์อันหอมหวาน เขายิ้มหัวเราะเก้อกระดากก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มจริงใจ
"ไม่ต้องทำสีหน้าแบบนั้นก็ได้กระมัง ข้าไม่ได้คิดจะขูดเลือดขูดเนื้อเจ้าเสียหน่อย"
"เช่นนั้นท่านคิดอะไรอยู่"
"คิดว่าจะทำยังไงถึงรั้งขาทองคำเช่นเจ้าไว้ได้ แค่กๆ ข้าคิดว่าควรจะติดต่อหาสหายข้าที่เคยเป็นหมอหลวงให้มารักษาขาของเจ้าดีหรือไม่"
แม้ประโยคแรกของชายชราจะฟังไม่ค่อยเข้าหู ทว่าประโยคหลังกลับทำให้หลี่เวยตาเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น
"หมอหลวงหรือ! "
"ใช่ หมอหลวง เจ้าเคยเรียนในสำนักศึกษาก็คงรู้กระมังว่าที่วังหลวงเป็นศูนย์รวมของหมอผู้มากฝีมือจากทั่วสารทิศ"
หลี่เวยพยักหน้างึกๆ เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร หมอที่ถวายตัวเข้าทำงานในราชสำนักใช่ว่าจะหาได้เหมือนผักกาดขาวตามตลาด พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นตระกูลที่สืบทอดเกี่ยวกับฝีมือด้านการแพทย์กันมารุ่นสู่รุ่น
หากไม่มีหมอเทวดาปรากฏตัว ฝีมือของหมอหลวงนั้นคืออันดับหนึ่ง
"แล้วขอแลกเปลี่ยนของท่านเล่า ท่านคงไม่ตามหมอหลวงมารักษาขาของข้าเฉยๆ หรอกกระมัง"
"เจ้าหนุ่ม เจ้าช่างสมกับเป็นท**นหลี่เวย รู้ทันเล่ห์กลของข้าจริงๆ"
หลี่เวยกลอกตาไปมา เรื่องแบบนี้ต่อให้เป็นเด็กน้อยก็มองออกกระมัง
"เอาล่ะๆ ข้อแลกเปลี่ยนของข้านั้นง่ายแสนง่าย ก็คือเจ้าต้องเซ็นสัญญาฉบับใหม่ให้แก่ข้า"
ไม่ว่าเปล่า ชายชรายังหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาแล้วยื่นมาให้ชายหนุ่มได้พิจารณาดู
เวลาผ่านไปหลี่เวยก็ออกจากห้องทำงานของชายชราด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข วันนี้นับว่าเป็นโชคดีหลี่เวยอย่างแท้จริง ชายหนุ่มได้ทั้งเงิน ได้ทั้งโอกาสที่จะรักษาขา คงไม่มีอะไรดีไปว่านี้อีกแล้ว
"เจ้าจะกลับเลยหรือไม่" เจียงผิงเอ่ยถามเมื่อพวกเขาหยุดอยู่กลางร้าน
"ข้าอยากได้หนังสือสักสองสามเล่มน่ะ" หลี่เวยตอบ
เจียงผิงตาเป็นประกายรีบสอบถาม
"แบบไหนเล่า"
"เอาไว้สำหรับการเรียนการสอน พอดีช่วงนี้ข้ารับศิษย์มาคนนึง" หลี่เวยตอบยิ้มๆ