“หยุดโวยวายได้แล้วสิ”
“นี่นาย! รู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป”
ฉันหันไปส่งสายตาจิกกัดให้เรซ ยังจะมีหน้ามาพูดอีกเหรอ ให้ตายสิ เขาไม่ได้มองหน้าฉันด้วยซ้ำ สายตาเรซจับจ้องที่ถนนอย่างไม่สะทกสะท้านแต่มุมปากกลับยกยิ้มคล้ายกำลังหัวเราะเยาะ
“มีความสุขมากเหรอ”
“เปล่านี่”
“เปล่าอะไร สนุกนักเหรอที่ได้ก่อกวนคนอื่น”
“พูดเรื่องอะไรของเธอ” สีหน้าเรซจริงจังขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ จู่ๆ เขาก็หันมามองหน้าฉัน แม้จะเป็นแค่แวบสั้นๆ แต่มันก็เพียงพอจะทำให้ฉันรู้สึกได้ถึงความห่างเหินและเย็นชาจากแววตาคู่นั้น
...ไม่มีอะไรพิเศษซ่อนอยู่ในสายตาของเรซเลย
เพราะแบบนั้นฉันยิ่งไม่เข้าใจ เขาลากฉันมาด้วยทำไม ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ
“นายพาฉันมาด้วยแบบนี้ จะให้ฉันคิดยังไงล่ะ”
“นั่นก็แล้วแต่เธอจะคิด ถือซะว่าไปเที่ยวสิ”
“นี่เรซ! มันใช่เรื่องตลกหรือไง บ้าชะมัด ทำไมฉันถึงขึ้นรถมากับไอ้คนเฮงซวยแบบนี้ได้นะ”
“ไม่เห็นแปลก ขนาดมีเซ็กส์ยังเคยมาแล้วเลย”
ฉันหันขวับไปจ้องหน้าเรซจนคอแทบเคล็ด รู้สึกเกลียดอย่างบอกไม่ถูก
“นาย… จำได้ด้วยเหรอ”
พอฉันทักไปแบบนั้น เรซก็ชำเลืองมองฉันด้วยสายตาที่บอกว่าเรื่องแค่นี้ทำไมจะจำไม่ได้
“เดี๋ยวนะ นายไม่ได้ลืม แต่กลับเมินฉันงั้นเหรอ ไม่คิดจะพูดอะไรบ้างเลยหรือไง รู้มั้ยฉันตกใจแค่ไหนที่ถูกทำแบบนั้น”
“เธอตกใจเหรอ เห็นเชี่ยวขนาดนั้นนึกว่าจะวินๆ ซะอีก”
“หา!!!!”
ฉันอ้าปากค้างกับความคิดเรซ นี่เขามองฉันเป็นผู้หญิงยังไงกันเนี่ย
“ทำไม หรืออยากให้ปลอบ”
“ไม่… ไม่ต้อง ไม่จำเป็น”
ฉันเสียงดังใส่เรซ รู้สึกอารมณ์คุกรุ่นจนแทบจะพ่นลมหายใจออกมาเป็นลูกไฟอยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าระรื่น ท่าทางไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด
หลายชั่วโมงต่อมา
ฉันเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตะวันตกดินแล้ว
“นี่ เราอยู่ที่ไหน”
“ป่าตอง เอาของไปเก็บที่พักก่อน”
ฉันบีบต้นคออย่างเมื่อยขบ มองออกไปรอบนอกพลางอ้าปากหาว ถึงจะเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกก็ไม่รู้สึกตื่นเต้นเลยสักนิด หงุดหงิดมากกว่า เมื่อไหร่จะถึงที่พักก็ไม่รู้ อยากเอนหลังจะแย่อยู่แล้ว
ราวๆ สิบห้านาทีให้หลัง ก็ถึงโรงแรมหรูของป่าตอง ชื่ออะไรสักอย่างตอนขับรถผ่านฉันอ่านป้ายไม่ทัน
“จองเอาไว้ล่วงหน้าหรือเปล่าคะ”
“อืม” เรซตอบพนักงานรับรองที่อยู่หลังเคาน์เตอร์พลางยื่นบัตรประชาชนให้ พนักงานมองบัตรแล้วเช็กข้อมูลครู่หนึ่งก็ส่งบัตรคืนเรซ
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“เอ่อ แล้วฉันต้องยื่นบัตรหรือเปล่า”
ฉันโพล่งถามอย่างสงสัย
“อ๋อ ไม่ต้องค่ะ ใช้แค่ของคนที่เปิดห้องก็พอค่ะ”
“ออ… เอ๊ะเดี๋ยวนะ เรซนี่ฉันนอนห้องเดียวกับนายเหรอ” ฉันคว้าท่อนแขนเรซที่กำลังจะเดินออกประตู
“อืม”
“เฮ้!”
“ถ้าไม่พอใจก็เปิดห้องใหม่”
เขาบอก ฉันมองสบสายตาคมกริบของเรซนิ่งครู่หนึ่ง กำลังจะหันกลับไปเสียงเรซก็ดักขึ้นมาซะก่อน
“ออกค่าห้องจัดการเอง ฉันไม่ออกให้”
“ห๊ะ?”
“คืนละห้าพันนิดๆ ห้องดีหน่อยก็หมื่นนึง แต่เธอคงไม่เดือดร้อนหรอก เอาเป็นว่าเอาที่เธอสะดวกแล้วกัน”
หน้าฉันแห้งตั้งแต่ได้ยินคำว่าคืนละห้าพันแล้ว ประสาทหรือไง ทำไมฉันต้องจ่ายค่าห้องแพงๆ ทั้งที่ไม่ได้เต็มใจมาเที่ยวแบบนี้ด้วย
เรซ! ไอ้บ้านั่นคิดจะแกล้งฉันหรือไง แล้วที่พูดเมื่อกี้ ที่บอกว่าฉันไม่เดือดร้อนน่ะหมายความว่ายังไง เข้าใจว่าฉันรวยหรือแค่ประชด โว้ย นี่ฉันจะบ้าตายจริงๆ แล้วนะ
“เรซ รอฉันด้วย!”
สุดท้ายฉันก็ต้องวิ่งตามหมอนั่นมาที่ห้องอย่างไม่มีทางเลือก เงินห้าพันไม่ใช่น้อยๆ นะ ใครจะโง่เสียเงินวะ บ้าเปล่า
“ให้เวลาครึ่งชั่วโมง”
“เดี๋ยวอะไรอีก”
เพิ่งจะเข้ามาในห้องแอร์ยังไม่ทันเย็นด้วยซ้ำหมอนั่นก็พูดขึ้นมาเหมือนกำลังจะออกไปข้างนอกอย่างงั้นแหละ
เรซมองกระเป๋าเดินทางที่ฉันหิ้วมาด้วย ก่อนย้ำออกมาชัดๆ
“ไมต้องพูดมาก รีบแต่งตัวซะ มีธุระต้องไปต่อ”
พูดเสร็จเขาก็ถอดเสื้อที่สวมแล้วเปิดกระเป๋าที่หิ้วมาด้วยค้นเสื้อยืดเท่ๆ ตัวใหม่ออกมาสวม
ฉันมองผิวขาวๆ ของเรซที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนจากเล็บแล้วใจคอไม่ดีแปลกๆ สงสัยว่าจะเป็นรอยที่เกิดจากเมื่อคืนหรือเปล่า หรือว่ามาจากคนอื่น…
“มัวทำอะไร รีบแต่งตัว หรือจะไปชุดนั้น”
“ห๊ะ? เอ่อ ฉันจะที่นี่ นายไปเถอะ ฉันอยากพักผ่อนมากกว่า”
ฉันบอกไปตามตรง รู้สึกเพลียจนอยากล้มตัวลงนอนซะเดียวนั้น แต่เรซไม่ยอมให้ฉันอยู่ห้องคนเดียว หมอนั่นใช้น้ำเสียงเข้าข่มจนฉันไม่กล้าขัดใจ สุดท้ายก็ต้องยอมออกมากับเขาจนได้
หมอนั่นขับรถพาฉันออกมาที่ร้านอาหารริมทะเล มีเพลงคลอเบาๆ กับลมเย็นๆ ช่วยทำให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวของฉันแจ่มใสขึ้นมานิดหน่อย
“เรซ”
ใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ตะโกนเรียก เรซหันไปมองแล้วเดินตรงเข้าไปหาทันที พอดูใกล้ๆ ฉันถึงรู้ว่าเป็นใคร
ฮาน… หัวหน้าทีม Red Sun ฉันจำได้เพราะคะนิ้งเคยเปิดรูปให้ดูสมาชิกในทีมผัวตัวเอง
“อยู่คนเดียวเหรอ”
เรซกวาดตามองไปรอบๆ ราวกับกำลังหาใครอยู่
“อืม แล้วนั่นพาใครมา” สายตาฮานชำเลืองมาที่ฉัน
“เพื่อนคะนิ้ง ติดรถมาด้วยเฉยๆ ไม่มีอะไรมาก แล้วนัดสปอนเซอร์เอาไว้เมื่อไหร่”
“พวกนั้นไปคุยที่ผับ แต่กูรำคาญเสียงเพลงในผับมันดัง คุยกันคงไม่รู้เรื่อง เลยนัดพวกมันไปที่ฮาล์ฟมูนปาร์ตี้ อย่างน้อยๆ ที่นั่นก็โล่งกว่า”
“อืม ตามนั้น”
ฉันไม่ได้ฟังที่เรซกับฮานคุยกัน เพียงแต่ความหิวทำให้ฉันต้องหาที่นั่งแล้วหยิบเมนูข้างๆ ฮานมาดู เห็นตรงหน้าเขามีจานข้าวผัดเลยเผลอพูดออกมาอย่างลืมตัว
“ข้าวผัดอร่อยหรือเปล่า”
“....” สองคนนั้นหันมามองฉันทันที
“หืม?” ฉันส่งสายตากลับไปให้เรซกับฮาน ทำไมต้องมองเหมือนฉันทำอะไรผิดแบบนั้น หรือฉันไม่มีสิทธิ์พูด ควรนั่งเงียบๆ แล้วรอให้พวกเขาคุยกันเสร็จก่อนงี้เหรอ
ไม่มีทาง ฉันหิวฉันก็จะกิน
“งั้นสั่งข้าวผัดดีกว่า ท่าทางกินง่าย นายเอาอะไรมั้ยเรซ จะได้สั่งพร้อมกัน”
“ไม่”
เขาตอบสั้นๆ แล้วหันไปคุยกับฮานต่อ ไม่หิวเหรอ? แปลก… ตั้งแต่มายังไม่ได้กินอะไรเหมือนกันไม่ใช่เหรอ เอ้อช่างเหอะ ฉันสั่งมากินคนเดียวก็ได้
แต่สักพัก เครื่องดื่มก็เริ่มถูกสั่งมาเต็มโต๊ะ แถมฮานยังหันมาพูดกับฉันแล้วชวนฉันชนแก้วอีก เล่นเอาฉันงงไปหมด หรือเพราะคุยเรื่องงานกับเรซเสร็จแล้วหรือเปล่านะ ก่อนหน้านี้ได้ยินพวกเขาพูดเรื่องสปอนเซอร์ เงินสนับสนุนโน่นนี่นั่นกับรายละเอียดแข่งรายการอะไรสักอย่าง ฉันได้ยินแค่ผ่านๆ น่ะ ไม่ได้ตั้งใจฟัง มือหนึ่งตักข้าวเข้าปาก อีกมือก็เลื่อนหน้าจอเพื่อเช็กข่าวในโซเซียลต่างๆ ก่อนจะถูกเสียงของฮานดึงดูดความสนใจไป
“เพื่อนคะนิ้งเหรอ เห็นแวบๆ ที่หัวหิน คนเดียวกันหรือเปล่า”
“อ้อ ใช่ค่ะ ชื่อเทียน”
“หืม แล้วทำไมมากับเรซล่ะ”
“แฮร่... เรื่องนั้น” ฉันยิ้มเจื่อนๆ ชำเลืองสายตาไปทางเรซเผื่อเขาจะอยากตอบ แต่เรซแค่หันมามองหน้าฉันแวบเดียวแล้วก็ละสายตาไปทางอื่น ไม่คิดจะช่วยแก้ต่างอะไรให้เลย
“เอ่อ คือเรซชวนมาน่ะ” ฉันพูดออกมาไม่เต็มเสียง จะแกล้งเงียบเหมือนเรซก็ใจไม่ด้านพอเพราะฮานเล่นจ้องเอาคำตอบแบบไม่ละสายตาเลย
“อ่อ เป็นงั้นหรอกเหรอ ดื่มเก่งหรือเปล่า” ฮานพยักหน้าหลังได้ฟังคำตอบ เขายิ้มให้ฉันอย่างเป็นกันเอง แล้วยกแก้วขึ้นขอชน
“ก็นิดหน่อย ดื่มเยอะๆ ก็เมาได้”
ฉันพูดขำๆ พลางยกแก้วขึ้นชน
“ดื่มเยอะๆ ใครบ้างจะไม่เมา”
“อื้มแล้วนี่จะไปไหนต่อหรือเปล่า” ฉันมองหน้าฮาน หลังจากจิบเหล้าไปครึ่งแก้ว
“เดี๋ยวไปคุยกับหุ้นส่วน พูดถึงก็ติดต่อมาพอดี”
ฮานหยิบโทรศัพท์ที่มีข้อความเด้งเตือนขึ้นมาดู ก่อนจะหันไปเรียกเรซ
“พวกนั้นมากันแล้ว”
“อืม เช็กบิลล์เลย”
เรซบอก ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปเป็นคนแรก เฮ้ยเดี๋ยวดิ… ฉันรีบลุกจากเก้าอี้ มองจานข้าวกับแก้วเหล้าตัวเองอย่างไม่แน่ใจว่าต้องหารหรือเปล่า แต่ว่าฮานก็หยุดความสงสัยของฉันด้วยการยื่นบัตรเครดิตให้พนักงาน
“ไปกันเถอะ”
เขาหันมาส่งยิ้มให้ฉันหลังเซ็นใบเสร็จ ฉันรีบพยักหน้าแล้วเดินตามเขาออกมาทันที แต่ฉันไม่ได้สนิทกับฮาน ถ้าเมื่อกี้คนจ่ายเป็นเรซฉันจะไม่คิดมากเลย
“ค่าอาหารนั่น เทียนต้องคืนมั้ยอ่ะ”
ฉันถามอย่างไม่แน่ใจ
“หืม? ใครเขาให้ผู้หญิงจ่ายค่าอาหารกันล่ะ” ฮานหันมาขยิบตาให้ฉันก่อนจะเดินแยกออกไปที่รถตัวเอง
ฉันอึ้งไปชั่วขณะ ถึงจะรู้ว่าฮานไม่ได้พูดเพื่อจะเอาใจฉันแต่มันก็ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจที่ได้เจอเขาที่นี่