สัมผัสร้าย 1 เอาเล่นๆ 1/2

1380 Words
“สาวๆ ลงไหนกัน” นิกเอ่ยถามหลังขับรถเข้าสู่เขตกรุงเทพมหานคร “อืม จอดใกล้ๆ BTS หรือ MRT ได้หรือเปล่า จะได้ต่อรถกลับบ้านง่ายๆ หน่อย” เค้กบอก นิกพยักหน้ารับทันที “แล้วเทียนล่ะ” “แป๊บนะ” ฉันกำลังรอพี่แสงตอบไลน์อยู่น่ะสิ เลยยังให้คำตอบนิกไม่ได้ แต่ว่าไลน์ไปครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่อ่านเลย ทำไรอยู่นะ ฉันตัดสินใจกดโทรหา รอสายอย่างลำบากใจเป็นครั้งแรก คือ… ถ้าฉันไม่ได้ทำผิดอย่างการทำสร้อยข้อมือหายหรือไปแอบมีอะไรกับคนอื่นมาก็คงไม่คิดมากระหว่างรอสายพี่แสงแบบนี้ สุดท้ายเขาก็ไม่รับสาย แปลก… หรือว่าพี่แสงจะระแคะระคายเรื่องฉัน ไม่สิ เป็นไปไม่ได้ ขนาดคนที่มาด้วยกันยังไม่รู้เลย พี่แสงจะรู้ได้ไง โธ่โว้ย หยุดคิดมากไม่ได้เลย จะบ้าตายอยู่แล้วทำไมไม่รับสายนะ ปกติไม่เคยหายแบบนี้ อีกอย่างต้องรู้สิว่าฉันจะกลับวันนี้ พี่แสงนะพี่แสง จนกระทั่งถึงจุดที่ยัยเค้กลง “ไปก่อนนะ ไว้เจอกันที่มอ ไปนะเทียน” “อ้อ อื้ม” ฉันพยักหน้าให้เค้กแล้วหันมามองหน้าจอมือถือด้วยใบหน้าเครียดๆ ต่อ “สรุปว่าลงไหนเทียน หรือจะให้ไปส่งที่หอ” “หืม เอ่อ… แล้วทิวล่ะลงไหน” “นิกจะไปส่งมันที่หอ พอดีแวะไปเอาของด้วย” นิกตอบ แล้วทิวก็พยักหน้ายืนยัน “อืม ลงที่เดียวกันก็ได้ หรือจะให้ไอ้นิกไปส่งที่หอเลย” “เอ่อ ไม่ต้องหรอก เกรงใจ” “แล้วแต่ จะให้ไปส่งก็ไปส่งได้” นิกแทรกขึ้นมา ฉันนิ่งครู่หนึ่ง ทำไมใจดีกันจัง ทีกับเค้กไม่เห็นออกตัวแบบนี้ แต่ไม่มีอะไรหรอกมั้ง คงเห็นว่าที่พักฉันอยู่ไม่ไกลกับทิวมาก “งั้นเทียนลงที่เดียวกับทิวก็ได้ เดี๋ยวต่อรถกลับห้องเอง” “ได้ๆ” “ขอบใจนะนิก ทิว ไว้เจอกันที่มอ” ฉันเอากระเป๋าที่หลังรถแล้วโบกมือให้เพื่อนก่อนลากกระเป๋าออกมาที่ถนนเพื่อรอแท็กซี่ แต่ยี่สิบนาทีผ่านไปยังไม่มีแท็กซี่ว่างผ่านมาสักคัน ระหว่างที่กำลังลังเลว่าจะเรียก Grap ดีมั้ยพี่แสงก็โทรกลับ “พี่แสง” (เทียนว่าไง อยู่ไหนละ) “อยู่กรุงเทพ พี่แสงยุ่งเหรอ ทำไมเทียนโทรหาแล้วไม่รับ” (พี่ติดธุระที่บ้านน่ะ แล้วนี่ถึงห้องแล้วเหรอ) “เปล่าค่ะ กำลังรอแท็กซี่” (อืม ถ้าอย่างงั้นเทียนนั่งแท็กซี่กลับห้องไปก่อน เดี๋ยวเย็นนี้พี่ไปหานะครับคนดี) ฉันกำลังจะโวยวาย แต่เสียงหวานๆ ของพี่แสงก็ทำเอาใจอ่อนยวบ งอแงแทบไม่ออกเวลาถูกเรียกว่าคนดี พี่แสงนะพี่แสงต้องรู้แน่ๆ ว่าทำฉันโกรธที่ไม่ยอมรับสายถึงได้ชิงพูดออกมาแบบนั้น “ก็ได้ค่ะ เจอกันเย็นนี้” เอี้ยด! จู่ๆ ก็มีรถมาจอดตรงหน้า ฉันเพิ่งจะวางสายจากพี่แสงยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น กระจกรถก็เลื่อนต่ำลงจนเห็นหน้าคนขับชัดเจน “เรซ” ฉันเลิกคิ้ว รู้สึกตกใจที่จู่ๆ หมอนั่นก็โผล่มาแบบนี้ เดี๋ยว… แล้วนี่ฉันจะใจสั่นทำไม “ขึ้นรถ” “ห๊ะ?” “....” หมอนั่นไม่พูดซ้ำ แต่เอื้อมมาเปิดประตูรถให้ฉันด้วยสีหน้านิ่งๆ พอฉันไม่ยอมขยับเขาก็ส่งสายตาดุๆ มาให้ “นายทำบ้าอะไร ทำไมฉันต้องขึ้น” บ้าหรือเปล่า ถึงเมื่อคืนจะร่านไปหน่อยแต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีสตินะ อยู่ๆ จะมาให้ขึ้นรถไปด้วยโดยไม่บอกอะไรสักคำ ใครมันจะขึ้นวะ “ขึ้นมา!” “เฮ้” “ให้ไว” “นี่” “อย่าให้ต้องพูดมาก” “ไอ้บ้า!” ปึ้ก แล้วฉันก็บ้าบอขึ้นรถมากับเรซจริงๆ พอได้สติก็ได้แต่นั่งกะพริบตาอย่างงงๆ ว่าเข้ามาในรถของเขาทำไม ตกลงว่าฉันยังสติดีอยู่หรือเปล่าเนี่ย อยากจะบ้า! “อะไรของนายเรซ ทำแบบนี้ทำไม” “ห้องอยู่ไหน” “ทำไม” “....” “นี่ ถ้านายไม่บอกเหตุผลแล้วฉันจะกล้าบอกเหรอว่าพักอยู่ที่ไหน” “จะไปส่ง” “ก็แค่นั้น เดี๋ยว… ทำไม นี่นาย จะไปส่งจริงเหรอ” “....” เรซเงียบกลับมาอีกรอบ ฉันได้แต่จ้องใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างกระสับกระส่าย งงไปหมด ไม่รู้ว่าเรซกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนหน้านี้เขายังทำเป็นไม่เห็นฉันอยู่ในสายตาอยู่เลยไม่ใช่เหรอ “เอ่อ เดี๋ยวจอดหน้าร้านสะดวกซื้อข้างหน้า เดี๋ยวฉันไปต่อเอง เรซ! นี่บอกให้จอดไง มันเลยแล้วนะ” ฉันโวยวายทันทีที่เขาเร่งเครื่องผ่านร้านสะดวกซื้อ “นี่นาย จะแกล้งฉันเหรอ จอดรถนะ ห้องพักฉันไม่ใช่ทางนี้...” ครืด! ครืด! มือถือหมอนั่นสั่น ทำให้ฉันหยุดพูดทันทีแล้วมองเขาคุยโทรศัพท์แทน ต่อให้ร้อนใจแค่ไหนก็ยังมีมารยาท อดทนรอจนเขาคุยโทรศัพท์เสร็จ “กูกำลังจะกลับ เพิ่งส่งลูกตาลเสร็จ ทำไม... สปอนเซอร์ใหม่? ที่ไหน เอองั้นเดี๋ยวกูไปกับฮานเอง” เรซวางสาย ดวงตาคมกริบชำเลืองมองฉันแวบสั้นๆ ราวกับกำลังใช้ความคิด แล้วจู่ๆ เขาก็กลับรถแถมยังเหยียบซะมิด รถพุ่งไปข้างหน้าอย่างกับจรวด รถวิ่งออกห่างชุมชนหอพักไปเรื่อยๆ ฉันมองไปรอบๆ อย่างร้อนรน “นายกำลังจะไปไหนเรซ” “ภูเก็ต” “อะไรนะ!” “....” “จอด! ฉันบอกให้จอดรถไม่ได้ยินเหรอ” “ไม่มีเวลา” “จะบ้าเหรอ จอดแป๊บเดียว จอดตรงนี้เลย ฉันไม่ได้ให้นายไปส่ง แค่จอดให้ฉันลงมันจะเสียเวลาอะไรนักหนา กรี๊ดไฟแดง! นายเพิ่งจะฝ่าไฟแดงนะเรซ” หัวใจฉันเต้นไม่เป็นส่ำ เมื่อกี้ถึงจะไม่มีรถสวนมาแต่หมอนั่นก็เร่งเครื่องยนต์ฝ่าไฟแดงชัดๆ นี่กำลังประชดฉันอยู่หรือไง ไอ้บ้าเอ๊ย กลัวนะเฟ้ย! “นี่ฟังที่ฉันพูดอยู่หรือเปล่า!” “เงียบหน่อย” “เรซ นายจะกวนประสาทฉันใช่มั้ย บอกให้จอดรถโว้ย” ฉันตะโกนสุดเสียง โกรธจนแทบจะควบคุมลมหายใจตัวเองไม่ได้ ระหว่างที่กำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยงโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายก็ดังขึ้น พอเอาขึ้นมาแล้วเห็นชื่อพี่แสงฉันยิ่งร้อนรนหนักกว่าเดิม “ค่ะพี่แสง…” ฉันกลั้นใจกดรับ ขณะเดียวกันในหัวก็คิดหาข้ออ้างไปต่างๆ นานา สลับกับมองถนนที่รถแล่นผ่าน เผลอแป๊บเดียวก็ออกนอกกรุงเทพแล้ว มั่นใจว่าเรซไม่เลี้ยวรถกลับไปส่งฉันแน่ๆ เพราะถ้าทำเขาทำไปนานแล้ว (พี่โทรมาถามว่าจะกินข้าวเย็นในห้องหรือออกมากินข้างนอก ถ้าจะกินที่ห้องเดี๋ยวซื้อเข้าไปให้) พี่แสงคนดี… ยิ่งพี่แสงเอาใจใส่ฉัยมากเท่าไหร่ฉันยิ่งรู้สึกผิดและโกรธคนข้างๆ มากขึ้นเท่านั้น ทำไมนะ ฉันชำเลืองมองเรซด้วยสายตาขุ่นเคือง ทำไมนายต้องทำให้ฉันวุ่นวายแบบนี้ด้วย “ไม่… ไม่ต้องค่ะพี่แสง คือเทียนไม่ได้อยู่ห้อง เทียน… น้องเทียนรถล้มค่ะแม่เพิ่งโทรมาบอกเทียนก็เลยรีบมา โทษทีนะคะที่ไม่ได้โทรบอกพี่แสง พอดีมันฉุกละหุกน่ะ” โธ่… ฉันกัดริมฝีปากแน่น รู้สึกผิดที่ต้องโกหกแบบนั้น ขอโทษแกด้วยนะธูปที่พี่เอาแกมาอ้าง (อ้าว… แล้วน้องเทียนเป็นอะไรมากหรือเปล่า อยู่โรงบาลไหนเดี๋ยวพี่ไปหา) อึก… ยุ่งอีกสิ “ไม่เป็นไรค่ะพี่แสง เทียนเอาอยู่ เทียนตั้งใจว่าจะกลับไปค้างบ้านกับแม่ด้วย” (งั้นเหรอ ก็ได้พี่แล้วแต่เทียน มีอะไรก็ติดต่อพี่มาแล้วกัน) “ค่ะพี่แสง” ฉันรู้สึกเศร้านิดๆ ที่ต้องวางสายแฟนไปทั้งแบบนี้ เฮ้อ… เพราะนายคนเดียวเลยเรซ ทำให้ฉันต้องรู้สึกผิดซ้ำผิดซ้อน โกหกพี่แสงไม่เท่าไหร่แต่ดันไปแช่งน้องตัวเองด้วยเนี่ยสิ ฉันจะบ้าตายจริงๆ แล้วนะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD