“จำเป็นที่แกต้องลากฉันมาด้วยไหม?” ฉันหันหน้าถามคนขับอย่างระอา เมื่อไอ้ปั้นถ่อไปลากฉันออกมาจากคอนโด ทั้งที่วันนี้เป็นวันหยุด แต่มันก็ไม่ยอมให้ฉันได้นอนอยู่เฉย ๆ
“จำเป็น” คนบอกจำเป็นทำสีหน้าจริงจัง
“จำเป็นยังไง ไหนพูด” จากที่หันไปแค่หน้า ตอนนี้ฉันเอี้ยวไปทั้งตัว อยากรู้นักว่าเหตุผลคืออะไร ที่ทำให้ฉันต้องจำใจนั่งอยู่บนรถกับมันในตอนนี้
“วันนี้พวกแม่งบอกจะพาแฟนไปเชียร์” พวกแม่งที่ว่าก็คือเพื่อนคณะวิศวะของเจ้าตัว
“แล้ว?”
“แกก็รู้ว่าฉันยังหาแฟนไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็เลยต้องเป็นหนูนิวที่มายังไงค่ะ” ไอ้ปั้นหันมายิ้มหวานอย่างประจบ ไม่พอแค่นั้นยังยื่นมือมาเกาคางจนฉันกัดฟันแยกเขี้ยวใส่
เรื่องของเรื่องคือปั้นกับเพื่อนนัดเตะบอลกัน แล้วทีนี้ทุกคนก็น่าจะเอาแฟนไปเชียร์ชิดติดขอบสนาม ดังนั้นคนที่ยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน ก็เลยต้องพกเพื่อนอย่างฉันมาแทน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียหน้า อย่างน้อยไม่มีแฟน ก็มีเพื่อนมาให้กำลังใจ
“ที่หาไม่ได้เพราะมัวมั่วอยู่รึเปล่า ถ้าอยากมีจริง ๆ ทำไมคนอย่างแกจะหาไม่ได้” ทำเป็นพูดว่ายังหาแฟนกับเขาไม่ได้ ทั้งที่สาวเข้าหาไม่เคยขาด
“เออน่า ขอมั่วก่อน จริงจังตอนไหนเดี๋ยวพี่บอก” ฉันเบ้ปากใส่ไอ้คนรักสนุก
คุยกันไปคุยกันมา รถก็จอดสนิทหน้าทางเข้าสนามบอล ที่นี่เป็นสนามหญ้าเทียมที่แบ่งออกเป็นทั้งหมดสี่สนามย่อย แต่ละสนามจะถูกกั้นด้วยตาข่ายสูง มีโต๊ะเก้าอี้ตั้งอยู่ข้าง ๆ สำหรับไว้นั่งชมนั่งเชียร์ มีเครื่องดื่มแล้วก็อาหารคอยบริการหากใครรู้สึกหิว
“คึกคักนะ” ฉันพูดขึ้นหลังจากเราเดินเข้ามาถึงด้านใน
“อือ ส่วนใหญ่ก็เด็กมอเราแหละที่มากัน” ฉันพยักหน้ารับรู้ เพราะจากที่เห็นก็พอคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง
“อ้าวนิว โดนไอ้ปั้นลากมาเหรอ”
“อือ เซ็งมาก” ฉันตอบอ้ายด้วยสีหน้าเอือม ๆ เจ้าตัวหัวเราะแล้วแนะนำแฟนให้รู้จัก น้องชื่อฝ้าย เรียนบริหารปีหนึ่งคณะเดียวกับฉันเอง
“หนูคิดมาตลอดเลยนะคะ ว่าพี่นิวกับพี่ปั้นเป็นแฟนกัน” หลังรู้ว่าฉันกับปั้นเป็นแค่เพื่อนสนิทกัน น้องฝ้ายก็ตาโตไม่อยากเชื่อ
น้องบอกไม่เคยเห็นปั้นไปไหนกับผู้หญิงคนอื่นเลยนอกจากฉัน เลยคิดว่าเราสองคนคบหากัน ฉันก็เลยบอกน้องว่าไม่โอกาสได้เห็นไอ้ปั้นควงใครหรอก เพราะรายนั้นน่ะเสือซุ่ม มันกลัวจะตายว่ารถไฟหลายขบวนของมันจะชนกัน ดังนั้นไม่ต้องคิดว่าจะเห็นมันควงใคร แต่ถ้าเห็น แสดงว่าวันนั้นมันเริ่มคิดจะจริงจัง
หมดเวลาในครึ่งแรก ฉันกับน้องฝ้ายก็ทำหน้าที่เป็นสาวเสิร์ฟ หยิบน้ำ หยิบฝ้าเย็นให้กับหนุ่ม ๆ บางคนมีแฟนบริการส่วนตัวพวกฉันก็ไม่ยุ่ง
“หนูนิว เช็ดหน้าให้พี่ปั้นหน่อยสิค่ะ”
“อย่าเยอะปั้น ถ้าไม่อยากเจอดี” ฉันชี้หน้าขู่คนยิ้มแป้น ชอบนักเวลาเห็นฉันแยกเขี้ยวใส่
“ก็มือเปื้อน เร็ว ๆ เช็ดให้หน่อย เนี่ย... เหงื่อจะไหลเข้าตาแล้ว” ฉันถอนใจแล้วฉีกผ้าเย็นไปซับเหงื่อให้ในที่สุด เช็ดไปก็ระอาไป มีเพื่อนเหมือนมีลูกไม่เกินจริง ทั้งไอ้บอสแล้วก็ไอ้ปั้น ดีหน่อยที่เหมือนฝันยังโอเค ไม่อย่างนั้นฉันคงกลายเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องเลี้ยงลูกถึงสามคน
“ทำไมพี่สองคนไม่คบกันเลยละคะ เคมีเข้ากันออก” น้องฝ้ายมองเราสองคนด้วยสายตาเป็นประกาย ทำเอาฉันกับปั้นขยับออกจากกันในทันที
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับน้องฝ้าย พี่ขนลุก” ไอ้ปั้นลูบแขนตัวเอง ทำสีหน้าหวาดผวาเมื่อมองมายังฉัน
“โลงผุอย่างมัน ไม่คู่ควรกับนางฟ้าอย่างพี่หรอก” พูดกับน้องฝ้ายแล้วหันไปถลึงตาคืนไอ้ตัวดี ทำเป็นกลัวฉันจนตัวสั่น ฉันต่างหากที่ต้องกลัวแก ไอ้คาสโนวา!
“ตีกันเก่งแบบนี้ ถ้าเป็นนิยายตอนจบต้องได้คู่กันแน่นอนค่ะ”
“โน!/โน!” ฉันกับไอ้ปั้นประสานเสียปฏิเสธออกมาพร้อมกันอย่างคนรับไม่ได้
ไม่ไช่ว่าปั้นมันไม่หล่อ มันเป็นคนที่หล่อมากคนหนึ่งเลย แต่ด้วยความที่รู้ใส้รู้พุงเป็นอย่างดี ทำให้รู้ว่าการเป็นแค่เพื่อนกันคือดีสุด
“อะไรก็ไม่แน่ไม่นอนหรอกนะคะ” น้องฝ้ายยังคงจิ้นฉันกับไอ้ปั้นอย่างต่อเนื่อง กระทั่งหมดเวลาพักนั่นแหละ น้องถึงละความสนใจจากเรื่องฉันเป็นนักฟุตบอลที่วิ่งลงสนามแทน
“ดูบอลเสร็จแล้วไปไหนต่อรึเปล่าคะพี่นิว” เหลือเวลาการแข่งอีกแค่ห้านาที น้องฝ้ายจึงผินหน้ามาถามกัน
“พี่นัดเพื่อนว่าจะไปเดินตลาดหลังมอน่ะ น้องฝ้ายไปด้วยกันไหม” เมื่อกี้ไอ้บอสส่งข้อความมา บอกว่าอยากไปตลาดนัดหลังมอที่จัดขึ้นทุกวันเสาร์ ฉันก็เลยรับปากว่าปั้นแข่งเสร็จจะให้มันขับรถไปส่ง แล้วจะแวะรับเหมือนฝันที่อาทิตย์นี้ไม่กลับบ้าน ถ้าเกิดน้องฝ้ายอยากไปด้วย ก็จะได้แนะนำให้เพื่อนสนิทได้รู้จัก น้องเป็นคนน่ารัก เพื่อนฉันน่าจะชอบ
“ฝ้ายอยากไปด้วยจัง แต่นัดเพื่อนที่ร้านหมูกระทะ” น้องฝ้ายทำหน้าเสียดาย “ไว้รอบหน้าฝ้ายขอไปด้วยนะคะ”
“โอเค” เราคุยกันไว้แค่นั้น เพราะเสียงเฮในสนามดึงดูดความสนใจ เป็นปั้นกับอ้ายที่ต่อบอลเข้าขาจนสามารถทำประตูได้ แล้วไม่นานเสียงนกหวีดก็ดังขึ้น เป็นอันว่าหมดเวลาการแข่งขัน วิศวะชนะศิลป์กรรมสามประตูต่อสอง
“เหนื่อย!” ปั้นทิ้งตัวแผ่หลาข้างสนามด้วยอาการหอบหายใจ ทั้งตัวเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ซึ่งเพื่อนในทีมก็ไม่ต่างกัน ทยอยเดินออกมาแล้วแผ่หลาลงกับพื้น
“คนเรานี่ก็แปลก ชอบทรมานตัวเอง” ฉันนั่งลงข้าง ๆ เพื่อนสนิท จากนั้นก็เอาผ้าเย็นซับเหงื่อตามกรอบหน้า เห็นสภาพน่าเวทนาแล้วสงสาร
“ได้เหงื่อ ได้สุขภาพไหมล่ะ” คนพูดยันตัวขึ้นแล้วดึงผ้าจากมือฉันไปเช็ดเอง
“ย่ะ แต่สภาพแกตอนนี้เหมือนคนใกล้จะตาย” หน้าแดงตัวแดง แถมยังหายใจหอบจนฉันกลัวว่ามันจะเป็นฮีทสโตรก
“เดี๋ยวก็หาย ช่วยหน่อย” ปั้นยื่นมือหา ฉันจึงส่งมือให้จับแล้วช่วยดึงไอ้คนตัวหนักให้ลุกยืน ด้วยความที่เรี่ยวแรงค่อนข้างต่าง ทำให้ฉันเซถอยหลัง ดีที่อีกฝ่ายเข้ามาประคองทัน ไม่อย่างนั้นฉันคงได้ลงไปนอนเกลือกกลิ้งกับพื้นหญ้า
“ขอล้างหน้าเปลี่ยนชุดแป๊บ”
“อือ” ฉันพยักหน้าแล้วออกมายืนรอหน้าทางออก ระหว่างนั้นก็ส่งข้อความหาเหมือนฝันว่าประมาณสิบนาทีจะไปรับ นางตอบกลับมาว่า ‘โอเค’ ฉันจึงส่งข้อความหาไอ้บอสว่าอีกสิบหานาทีให้ลงมารอล่างหอได้
“ป่ะ เดี๋ยววันนี้ป๋าจะเลี้ยงน้องนิวให้พุงกาง” ออกจากห้องน้ำมาก็ยกแขนหนัก ๆ พาดลงบนหัวไหล่
“ขอบคุณนะคะป๋า” ฉันประชดด้วยการจีบปากจีบคอพูด ไอ้ปั้นหัวเราะลั่น ฉันเองก็หัวเราะตาม
จังหวะที่เราสองคนกำลังจะเดินออกไป คนกลุ่มหนึ่งก็กำลังเดินเข้ามา สายตาฉันประสานกับหนึ่งคนในกลุ่มนั้น ในขณะเดินสวนกัน สายตาคู่คมที่เคยมองฉัน เปลี่ยนเป็นแขนของปั้นที่ยังคงพาดเกี่ยวบนไหล่