ครืน ครืน ครืน
เกิดแผ่นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงประหนึ่งดินแดนฝูหรงกำลังจะแยกออกจากกัน
“นะ...นี่ เกิดอะไรขึ้นกัน?” ลั่วชิงอีที่อยู่ในถ้ำหลังน้ำตกกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจ เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของผืนดิน
ลั่วชิงอีไม่รอช้า นางรีบเดินออกมาจากถ้ำหลังน้ำตกทันที ทว่าภาพแรกที่นางเห็นหลังเดินออกมาจากถ้ำก็คือ ท้องฟ้าที่แต่เดิมสดใส แปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มทะมึน ราวกับว่าท้องฟ้ามันกำลังจะแยกออกจากกัน
“นี่มันปรากฏการณ์อะไรกัน?”
ใบหน้างามประหนึ่งเทพธิดาแสดงความวิตกกังวลออกมา ดวงตาสีฟ้าทะเลมองไปยังลมปราณสองสายสีดำและสีแดงเลือดที่แผ่กระจายไปทั่วชั้นฟ้าของดินแดนฝูหรงด้วยแววตาตื่นตระหนก
ลั่วชิงอีพลางคิดไปต่างๆ นาๆ ในใจว่า ระ...หรือ นี่จะเป็นการต่อสู้ของเทพ?
.
.
3 วันผ่านไป
ปรากฏการณ์ที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งดินแดนฝูหรงก็หยุดลง พร้อมกับข่าวคราวที่ทำให้ทวีปเทียนฉี่และทวีปไห่หรงต้องหวั่นวิตก
โดยเนื้อหาของข่าวที่แพร่สะพัดก็คือ เทพอสูรโบราณและพรหมยุทธ์เทพมังกรเซียวฉู่เฮอ ปะทะกันสามวันสามคืน ไม่รู้ผลแพ้ชนะ ต่างฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บสาหัสกันทั้งคู่ แต่ทว่าพรหมยุทธ์เทพมังกรเซียวฉู่เฮอนั้นได้รับบาดเจ็บในครั้งที่ไล่ตามเทพอสูรโบราณเข้าไปในทวีปเทพอสูร เป็นหรือตายไม่ทราบ
ดังนั้น...ถ้าหากพรหมยุทธ์เทพมังกรสิ้นชีพในทวีปเทพอสูรจริงๆ เกรงว่าทวีปเทียนฉี่และทวีปไห่หรงคงถึงกัลปาวสานอย่างแน่นอน เพราะถ้าเทพอสูรโบราณฟื้นพลังกลับมาดั่งเดิมได้ คงไม่มีใครสามารถต่อต้านมันได้อีกแล้ว
.
.
ณ ราชวังสีทองอันวิจิตรแห่งหนึ่ง ที่รายล้อมไปด้วยภูเขาเหลือคณานับ
ด้านในห้องโถงของราชวังสีทอง มีเหล่าจอมยุทธ์จำนวนไม่น้อยกำลังยืนถกเถียงกันอย่างอลม่านวุ่นวาย โดยหัวข้อที่พวกเขาต่างยกขึ้นมาถกเถียงกันก็คือ เหตุการณ์เมื่อสามวันก่อน การต่อสู้ของเทพอสูรโบราณและพรหมยุทธ์เทพมังกรเซียวฉู่เฮอจากหมู่บ้านเทพวารี
“พวกเราจะทำอย่างไรกันดี? ตอนนี้หมู่บ้านเทพวารีและเหล่าพรหมยุทธ์หลายสิบคน กำลังมาขอคำอธิบายจากสภาฝูหรงของเรา...”
“จะกลัวพวกมันไปใย? พวกเราคือสภาฝูหรงผู้ทรงอำนาจบนดินแดนแห่งนี้ เหตุใดเราจะต้องกลัวพวกมัน?”
ใช่แล้ว! วังสีทองวิจิตรแห่งนี้ คือสภาฝูหรงอันทรงเกียรติ ขุมกำลังอันดับหนึ่งของมวลมนุษย์ เป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของดินแดนฝูหรงหากไม่นับกองทัพเทพอสูร
“พวกเจ้าจะตื่นตระหนกไปใย? เซียวฉู่เฮอ...เป็นหรือตายไม่ทราบผล หมู่บ้านเทพวารีก็เหลือเพียงจู่เซียน เตียวหยุน และหมิงหยุน กับแค่พรหมยุทธ์กระจอกๆ ไม่กี่สิบคน จะกลัวไปใย?” ชายผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สีทองลวดลายมังกรกลางห้องโถงกล่าวขึ้นด้วยเสียงทรงอำนาจประดุจราชันย์
ชายผู้นั้นมีลักษณะสง่างามประหนึ่งเซียน ท่าทางของเขาดูละม้ายคล้ายจักรพรรดิผู้หยิ่งยโส แววตาสีน้ำเงินราวกับห้วงจักรวาลจ้องลงมายังเบื้องล่างอย่างอหังการ
.
.
สามวันมานี้ หลังจากวันอันแสนวุ่ยวายได้ผ่านพ้นไป
ลั่วชิงอีเมื่อเห็นเหตุการณ์อันน่าตะลึงตลอดสามวันมานี้ นางก็รับรู้ได้ว่าดินแดนฝูหรงต้องเกิดอะไรบางอย่างขึ้นบนดินแดนอย่างแน่นอน พอไปหาข่าวในเมืองฟ้ากระจ่างก็ทราบได้ว่าปรากฏการณ์ที่ทำให้สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งทวีปนั้นคือ การต่อสู้ระหว่างพรหมยุทธ์เทพมังกรและเทพอสูรโบราณ การต่อสู้ของพวกเขาแทบจะทำให้ใจกลางดินแดนฝูหรงพังพินาศ ทวีปทั้งสี่เกิดความโกลาหลขึ้นอย่างฉับพลันจากพลังของพวกเขาทั้งสองคน
เมื่อทราบดังนั้น ลั่วชิงอีก็มีความมุ่งมั่นมากกว่าเดิม หากนางยังไม่รีบแข็งแกร่งขึ้น ในภายภาคหน้าหากกองทัพเทพอสูรบุกทวีปเทียนฉี่ขึ้นมา ในตอนนั้นตัวนางเองจะต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากอย่างแน่นอน
หากอ่อนแอก็จะเป็นได้แค่เหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง!
โดย 3 วันมานี้ ลั่วชิงอีหลอมโอสถลมปราณระดับต่ำไปหลายสิบเม็ด และก็ดูดซับลมปราณจากโอสถลมปราณที่หลอมขึ้นมา จนระดับลมปราณของนางเลื่อนเข้าสู่ขอบเขตทะเลวิญญาณขั้นที่ 9 เป็นที่เรียบร้อย
“จุดชีพจรเปิดเพิ่มอีก 6 จุด นับว่าพอรับได้ ก่อนอื่นคงต้องไปล้างเนื้อตัวก่อน” หลังจากทะลวงระดับมาได้แล้วนั้น ลั่วชิงอีก็เปิดจุดชีพจรเพิ่มได้อีก 6 จุด เป็น 21 จุดจากทั้งหมด 36 จุด ทำให้ร่างกายขับของเสียออกมาจำนวนมาก ดังนั้นลั่วชิงอีจึงลงไปอาบน้ำยังธารน้ำเบื้องล่างน้ำตกพร้อมกับผลัดเปลี่ยนอาภรณ์
หลังจากอาบน้ำและกินอาหารเสร็จสรรพ ลั่วชิงอีก็เดินไปดูอาการของเจ้าเสี่ยวหลิง สัตว์อสูรของมู่อวิ๋นหลง ซึ่งอาการบาดเจ็บของมันนั้นดีขึ้นกว่าเมื่อสามวันก่อนอยู่มากนัก
ลั่วชิงอีเอาโอสถฟื้นฟูร่างกายให้มันกินพร้อมกับช่วยเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เจ้าเสี่ยวหลิง จากนั้นนางก็เริ่มดูดซับลมปราณจากโอสถลมปราณอีกครั้ง
หนึ่งวัน สองวัน ...ห้าวันผ่านไป กิจวัตรประจำวันของลั่วชิงอีห้าวันมานี้ อาบน้ำ กินข้าว รักษาเสี่ยวหลิง ดูดซับลมปราณ…
จนถึงวันที่หก เจ้าเสี่ยวหลิงก็หายเป็นปกติ ลั่วชิงอีจึงบอกให้มันบินกลับไปหานายของมันเอง ทว่ามันหาได้บินกลับไปหามู่อวิ๋นหลงไม่!
ดูเหมือนเจ้านกอินทรีย์สายฟ้านี่...จะติดลั่วชิงอีจอแจเลยทีเดียว บางครั้งมันก็บินออกไปหาอาหารแต่ก็กลับมาหานางอยู่ดี ซึ่งตัวลั่วชิงอีที่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันดี? จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย…
ในที่สุดเวลาก็ล่วงผ่านมาจนถึงวันที่สิบสอง ในที่สุดลั่วชิงอีก็เพิ่มระดับลมปราณมาจนถึงปราณวิญญาณขั้นที่ 9 ได้สำเร็จ โดยใช้โอสถลมปราณระดับต่ำไปมากกว่า 30 เม็ด ทำให้ร่างกายของลั่วชิงอีในขณะนี้แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าจอมยุทธ์แดนพิภพเร้นลับขั้นที่ 3 เสียอีก
“ได้เวลาใช้โอสถลมปราณระดับกลางแล้ว” หลังจากลั่วชิงอีเพิ่มระดับจนมาถึงคอขวดของขอบเขตวิญญาณแล้ว ในยามนี้นางจําเป็นต้องใช้โอสถลมปราณระดับกลางมาช่วยในการบรรลุขอบเขตพลังใหม่
ผ่านไปอีกสิบวัน กับการดูดซับโอสถลมปราณระดับกลางทั้งหมด 30 เม็ด ทําให้ในที่สุดลั่วชิงอีก็สามารถทะลวงผ่านขอบเขตวิญญาณ อีกทั้งยังบรรลุเข้าสู่ขอบเขตแดนพิภพเร้นลับขั้นที่ 7 ได้สำเร็จ พร้อมกับเปิดจุดชีพจรในร่างกายได้ทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อย
“คงต้องเข้าไปในเมืองหาซื้อสมุนไพรระดับกลางมาเพิ่มซะแล้ว” ลั่วชิงอีที่ตอนนี้ใช้สมุนไพรระดับกลางไปจนหมดแล้วนั้น นางก็เตรียมพร้อมที่จะเข้าไปยังในเมืองเพื่อหาซื้อสมุนไพรมาเพิ่ม
“ทว่าก่อนอื่นคงต้องหลอมโอสถไปขายก่อน...” ลั่วชิงอีในยามนี้ที่เหลือเงินอยู่ไม่มาก นางจึงนำสมุนไพรระดับสูงออกมา พร้อมกับทำการหลอมโอสถลมปราณระดับสูงในทันที
ในยามนี้...ลั่วชิงอีไม่จำเป็นต้องใช้เตาหลอมโอสถอีกแล้ว เป็นเพราะว่าในตอนนี้นางสามารถใช้เปลวเพลิงจากเคล็ดวิชาลมปราณเซียนเมฆาได้แล้ว
.
.
ใช้เวลาไม่นาน ลั่วชิงอีก็ทำการหลอมโอสถลมปราณระดับสูงที่มีความบริสุทธิ์ 10 ส่วน จำนวน 10 เม็ด ได้เป็นผลสำเร็จ เชื่อได้เลยว่าถ้าหากโอสถเหล่านี้หลุดเข้าไปในตลาด ทั่วทั้งทวีปเทียนฉี่คงได้เกิดความโกลาหลครั้งยิ่งใหญ่อีกหน
“เสี่ยวหลิง ข้าจะเข้าไปในเมืองสักหน่อย เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่?”
ลั่วชิงอีหลังจากเตรียมความพร้อมเสร็จแล้วนั้น นางก็หันไปกล่าวกับเจ้าเสี่ยวหลิงที่กำลังแทะเล็มเนื้ออันโอชะอย่างเอร็ดอร่อย
เสี่ยวหลิงในตอนนี้โตขึ้นกว่าเมื่อก่อนอย่างมาก ร่างกายของมันใหญ่โตพอที่จะให้ลั่วชิงอีนั่งบนหลังของมันได้แล้ว
พรึบ พรึบ พรึบ
เจ้าเสี่ยวหลิงกระพือปีกตอบรับด้วยอาการดีใจที่จะได้ออกไปข้างนอกพร้อมกันกับลั่วชิงอี
สาเหตุที่เจ้าเสี่ยวหลิงโตไวขนาดนี้ เป็นผลมาจากที่มันได้รับการเอาใจใส่เลี้ยงดูอย่างดีจากลั่วชิงอี
เจ้าเสี่ยวหลิงนั้นได้กินทั้งโอสถบำรุงรักษาร่างกายและโอสถลมปราณระดับสูงมากมาย ทำให้มันบรรลุระดับแดนนภาไร้ขอบเขตขั้นที่ 4 เป็นที่เรียบร้อย อาจเป็นเพราะเหตุผลนี่หรือเปล่า? ที่ทำให้มันไม่ยอมจากลั่วชิงอีไปไหน...
“เช่นนั้นเราไปกันเถอะ”
.
.
ลั่วชิงอีในตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนหลังของเจ้าเสี่ยวหลิงที่กำลังบินโฉบไปโฉบมาอย่างดีอกดีใจ
“เจ้าจะบินดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง?…” ลั่วชิงอีกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงตำหนิ หลังจากที่เจ้าเสี่ยวหลิงทำท่าทีคล้ายกับว่าเป็นเด็กน้อยที่พึ่งออกมาเดินเล่นข้างนอกกับพ่อแม่เป็นครั้งแรก
เอ๊ะ…หรือว่ามันจะคิดว่าข้าเป็นแม่ของมันกัน? ลั่วชิงถึงกับกุมขมัมเลยทีเดียว ที่จู่ๆ ความคิดแปลกๆ นี้ก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของนางอย่างฉับพลัน
.
.
ผ่านไปเพียงแค่หนึ่งก้านธูป
ลั่วชิงอีก็มาถึงยังบริเวณกำแพงเมืองฟ้ากระจ่างแล้ว เมื่อมาถึงนางจึงบอกให้เจ้าเสี่ยวหลิงร่อนลงที่ข้างกําแพงเมืองทันที
ระหว่างทางลั่วชิงอีก็ไม่ลืมที่จะแปลงโฉมเป็นหญิงสาวในชุดคลุมสีดำพร้อมสวมผ้าคลุมครึ่งหน้าดั่งเช่นในยามปกติที่นางเข้าเมือง
“เจ้ารออยู่แถวนี้ก่อนเดี๋ยวข้ากลับมา”
ลั่วชิงอีที่ไม่อยากเป็นจุดสนใจ นางจึงกล่าวบอกเจ้าเสี่ยวหลิงให้รออยู่แถวนี้ก่อน เพราะการมีสัตว์อสูรระดับปราณเขตแดนนภาไร้ขอบเขตติดตามเข้าไปภายในเมือง เกรงว่าคงได้สร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ในเมืองฟ้ากระจ่างเป็นแน่
พรึบ พรึบ พรึบ
เจ้าเสี่ยวหลิงคอตกทันที เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วชิงอีเมื่อครู่ ทว่ามันก็จำใจยอมรับและบินไปหลบยังป่าใกล้ๆ ทางเข้าประตูเมืองในทันที
หลังจากเข้าเมืองมาแล้ว ลั่วชิงอีก็มุ่งตรงไปยังหอการค้าจินหลงทันที ทหารยามที่จดจำลักษณะการแต่งกายของลั่วชิงอีได้ เมื่อเห็นหญิงสาวในชุดคลุมดำกำลังจะเดินเข้าไปในหอการค้า พวกเขาจึงกล่าวคํานับอย่างนอบน้อม
“ยินดีต้อนรับขอรับ ท่านเฟิ่งฮวง”
กงซุนอี้เฟิงที่เห็นลั่วชิงอีในชุดคลุมดำกำลังจะเดินเข้ามาด้านในหอการค้า เขาจึงรีบเดินมาต้อนรับนางในทันที
“เฟิ่งฮวง?” ลั่วชิงอีกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงงุนงง ใบหน้างามประหนึ่งเทพธิดาหันซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นมีใครยืนอยู่แถวนี้ เห็นชัดเลยว่ากงซุนอี้เฟิงผู้นี้กำลังพูดถึงตัวนาง ทว่า ‘เฟิ่งฮวง’ เป็นผู้ใดกัน?
“ท่านไม่ทราบ? หลังจากที่หอการค้าจินหลงของเราขายโอสถลมปราณที่ท่านนํามาขายให้แก่ทางเรา ผู้คนทั่วทวีปเทียนฉี่ล้วนตื่นตระหนกอย่างมาก กระทั่งตระกูลโบราณทั้งสี่รวมไปถึงเก้าสำนักใหญ่แห่งทวีปเทียนฉี่ก็ยังออกตามหาท่าน”
“แต่ทว่าก็ไม่มีขุมอำนาจใดเลยที่พบตัวท่าน ผู้คนทั่วทั้งทวีปเทียนฉี่จึงมอบสมญานามให้ท่านว่า ‘เทพโอสถเฟิ่งฮวง’ ตามสัญลักษณ์บนโอสถของท่านขอรับ...” กงซุนอี้เฟิงกล่าวอธิบายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ที่แท้เป็นเช่นนั้น” ลั่วชิงอีที่ได้ฟังที่มาที่ไปของนาม ‘เฟิ่งฮวง’ ใบหน้างามสะพรั่งพยักหน้ารับด้วยความพึงพอใจ
“ท่านเฟิ่งฮวง...ต้องการให้ข้าน้อยเปลี่ยนสมญานามของท่านหรือไม่?”
“เรียกตามที่เจ้าต้องการเถอะ” ลั่วชิงอีที่ไม่ได้ไม่ชอบคำเรียกนี้ นางจึงกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“รับทราบขอรับ ไม่ทราบว่าวันนี้ท่านเฟิ่งฮวงมีสิ่งใดให้หอการค้าของเรารับใช้?” กงซุนอี้เฟิงที่ได้ฟังคำตอบจากลั่วชิงอี เขาก็ยิ้มรับและกล่าวถามกลับ
ทว่า...ในขณะที่ลั่วชิงอีกำลังจะกล่าวตอบออกไป ก็มีเสียงแสบหู เสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงนั้นดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของลั่วชิงอี
“เจ้าหนะ…รีบหลบไปซะ...”
“คุณหนูลั่ว ได้โปรดอย่——” กงซุนอี้เฟิงที่ได้ยินเสียงตวาดดังลั่นของหญิงนางหนึ่ง เขาก็รีบกล่าวขึ้นด้วยความวิตก พลางสังเกตอากัปกิริยาของลั่วชิงอีไปด้วยเพราะเกรงว่าจะทำให้นางเกิดความไม่พอใจ
ทว่ากงซุนอี้เฟิงถึงกับต้องหยุดชะงัก ใบหน้าหล่อเหลาพลันตะลึงงึงงัน เมื่อเห็นอากัปกิริยาที่เปลี่ยนไปของลั่วชิงอี
“คุณหนูลั่ว…”