บทที่ 2 ชะตากรรม

1660 Words
“น่ารักมาก” แสนลักษณ์เอ่ยลอยๆ พลางถอนใจด้วยความเสียดาย ไม่น่ารู้จักเธอในช่วงเวลาเร่งด่วนแบบนี้เลย เขาคิด แต่จังหวะเดียวกันนั้นรถของเขาก็แล่นมาจอดตรงหน้าพอดี ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เห็น ว่าแล้วเขาจึงเปิดประตูขึ้นรถไปนั่งด้านหลัง จากนั้นลูกน้องจึงขับรถออกไปจากหน้าร้าน “ไปจอดที่ไหนมาทำไมไม่เห็น” “ผมขับรถอ้อมน่ะครับ มันไม่มีที่จอด กะว่าอ้อมแล้วพ่อเลี้ยงน่าจะซื้อเสร็จพอดี” “มองหาก็ไม่เห็นรถ ไม่มีเงินจ่ายเขาเลย” “ห๊ะ! ได้ไงครับ” “ได้ไงเหรอ เขาไม่มีทอนไง” “แล้วจ่ายเงินยังไงครับ” “มีเด็กๆ เขาจ่ายแทนน่ะ มันไม่แพง เขาเลยเลี้ยง” “อย่าบอกนะครับว่าเด็กที่พ่อเลี้ยงนั่งคุยด้วย” “ฉันเห็นแกเพิ่งขับรถมาจอดนะ” “แหม ผมก็มองตลอดแหละ ว่าแต่เด็กๆ ในชุดนักเรียน ม.ปลายนี่น่ารักจังเลยนะครับ คิดถึงตอนเป็นวัยรุ่น” คเชนทร์แกล้งถามเพื่อหยั่งเชิง “อืม หนูวี เธอชื่อวี น่ารัก หน้าเก๋โดดเด่น มีน้ำใจ สดใส” แสนลักษณ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงลอยๆ เพ้อๆ เหมือนอยากจะเห็นเธออีกสักครั้ง           “หืม ฟังน้ำเสียงแล้ว ท่าทางจะเพ้อนะครับเนี่ย อย่าชอบเด็กเลยครับ เอาแต่ใจเก่ง” คเชนทร์แสร้งห้ามเพื่อหยั่งเชิงความคิดของเจ้านายหนุ่ม           “ฉันพูดแบบนั้นเหรอ” เจ้านายหนุ่มถามกลับพลางขมวดคิ้ว น้ำเสียงข่มเข้มขึ้นทันที           “แววตาพ่อเลี้ยงก็บอกแบบนั้นนะครับ”           “ท่าทางไม่ใช่คนเอาแต่ใจหรอก ไม่น่าใช่ แต่น่ารัก น่ารักมาก” น้ำเสียงของเขาชื่นชมเด็กสาวคนนั้นมาก เรียกได้ว่าประทับใจเลยจะดีกว่า           “แรกพบทำให้พ่อเลี้ยงประทับใจขนาดนี้เลยเหรอครับ”           “ไม่เป็นฉันไม่รู้หรอก รอยยิ้ม น้ำเสียง ใครจะไม่ประทับใจ คนอะไรน่ารัก เสียดายนะ” พูดไปพลางเขาก็ถอนหายใจไปพลาง “เดี๋ยวผมให้คนสอดส่องให้ครับ ผมจำหน้าได้ หน้าเก๋มากทำให้โดดเด่น”           “ก็ไหนแกบอกว่าขับรถอ้อม ทำไมเห็น”             “คือ เอ่อ ผมขับรถไปจอดอีกฝั่งครับ พอดีรถอื่นน่าจะบัง พ่อเลี้ยงเลยไม่เห็น แล้วค่อยอ้อมมาหาพ่อเลี้ยง แต่ความโดดเด่นของพ่อเลี้ยงก็ทำให้เห็นชัดเจน สาวน้อยคนนั้นก็เหมือนกัน”             “ฉันไม่ได้จะอะไรแบบนั้นกับเด็กๆ หรอก แค่ชื่นชมว่าน่ารักเท่านั้นเอง หรือ ต่อให้อยากตามก็ตามตัวยากแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นใครอยู่ที่ไหน” มาถึงตอนนี้เขาก็มีน้ำเสียงหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด แบบนี้น่าจะเรียกว่าประทับใจแรกเห็นจริงๆ สินะเนี่ย             “อย่ามาพูดเลยครับว่าไม่อะไรแบบนั้นกับเด็กๆ มันไม่มีข้อห้าม” ผู้ช่วยหนุ่มรู้ทัน พร้อมกับยกโทรศัพท์ขึ้นมาให้เห็น ว่าได้แอบถ่ายรูปสาวน้อยคนนั้นเองไว้เรียบร้อย ทั้งที่เจ้านายหนุ่มไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าชอบหรือไม่ชอบ           “แสนรู้” เจ้านายว่าแต่ก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจทว่าต้องเก็บอาการ           “ขอบคุณครับคุณแสนลักษณ์ที่ชม”           “หึๆ เรากลับกันเถอะ”           “ครับผม ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะให้คนสืบให้” ผู้ช่วยหนุ่มบอกอีกครั้ง เรียกได้ว่ารู้ใจเจ้านายเหลือเกิน           “แค่สืบนะ อย่าไปเกาะติดชีวิตเขา จนรู้สึกแล้วกลายเป็นหวาดกลัวแทน”           “ครับพ่อเลี้ยง” คเชนทร์รับคำพร้อมกับยิ้ม จากนั้นก็ไม่มีการพูดคุยกันอีกเลย คเชนทร์ปล่อยให้เจ้านายได้คิดอะไรเงียบๆ เผลอๆ อาจจะคิดถึงเด็กสาวคนนั้นอยู่ก็เป็นได้ ด้วยความที่รู้ใจเหลือเกิน คเชนทร์จึงได้ส่งภาพของเธอคนนั้นให้แสนลักษณ์ผ่านทางไลน์ทันที จนเจ้านายถึงกับมองหน้า           “แสนรู้อีกแล้วนะเรา” แสนลักษณ์เอ่ยปากแซวกวนๆ           “หึๆ ถูกใจไหมล่ะครับ” คเชนทร์ถามแต่พ่อเลี้ยงหนุ่มไม่ตอบได้แต่เมินหน้าออกนอกรถ แล้วยิ้มมุมปากด้วยความพอใจ           การเดินทางกลับในวันนี้ ช่างเป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจของเขาในรอบหลายปี ไม่เคยประทับใจกับอะไรแบบนี้มานานแล้ว ทำไมจึงได้รู้สึกว่าเด็กๆ กระตุ้นให้ความรู้สึกของเขามันตื่นเต้น เหมือนได้กลับมาเป็นหนุ่มน้อยอีกครั้ง มันเรียกว่าอะไรนะ เขาถามตัวเองพลางนึกถึงหน้าของเธอ แล้วทำให้ยิ้มได้อยู่ตลอด บ้าเหลือเกิน พ่อเลี้ยงแสนลักษณ์ จดจำความน่ารักของสาวน้อยมนัสวีคนนั้น เอาไว้ในใจได้เป็นอย่างดี ทั้งรูปร่างหน้าตาน่ารัก ใบหน้าเก๋เอามากๆ มีสันกรามราวกับนางแบบ น้ำเสียงราวกับแมวน้อยขี้อาย แต่คำพูดคำจามีความมั่นใจ จนเขารู้สึกประทับใจ แต่มันเป็นการเจอกันโดยบังเอิญ ที่เขาไม่สามารถรั้งเอาไว้ได้เลย ช่างน่าเสียดายนัก             ช่วงเวลาเดียวกันนั้น สาวน้อยที่สละเงิน 35 บาท เพื่อจ่ายค่าน้ำแดงโซดาให้กับหนุ่มใหญ่คนนั้น เธอคือมนัสวี เพิ่งเรียนจบ ม.6 หมาดๆ ไปโรงเรียนในวันสุดท้ายวันนี้ พอออกจากโรงเรียนเธอก็แวะไปซื้อน้ำแล้วเดินทางกลับบ้าน โดยบ้านไม่ได้อยู่ห่างจากโรงเรียนสักเท่าไหร่ เดินเท้าใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีโดยประมาณก็ถึงบ้าน           บ้านทรงไทยยกพื้นสูง จนสามารถมีพื้นที่เอาไว้เป็นที่นั่งเล่น และห้องครัว พร้อมกับโต๊ะอาหาร บ้านหลังนี้เป็นมรดกของบิดา ซึ่งได้เสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่มนัสวีอายุได้ 2 ขวบ ตอนนั้นเธอยังไม่รู้เรื่องสักเท่าไหร่หรอก โดยท่านได้ทิ้งสมบัติอันมีค่านี้เอาไว้ให้ดูต่างหน้า และมีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น ไม่มีมรดกเป็นเงินทอง เว้นเสียแต่ว่าเธอคือสิ่งมีค่าที่เป็นเนื้อหนัง ที่พ่อใหม่และแม่ของเธอชอบ           “เถลไถลที่ไหน กลับไม่ตรงเวลา” เสียงของมารดาดังขึ้นขณะที่มนัสวีกำลังเดินเข้ามาในบริเวณบ้าน           “ไม่ได้เถลไถลที่ไหนค่ะ แค่สอบเสร็จแล้วเดินไปซื้อน้ำหน้าโรงเรียน แดดแรงก็หลบ แล้วค่อยกลับ”           “แหม วันนี้มีความแดดแรง ปกติไม่เห็นแกบ่น”           “มันก็มีสักวันที่หนูอยากบ่นบ้าง” พูดจบเธอก็เดินขึ้นบ้าน โดยที่บันไดทางขึ้นนั้นอยู่ด้านนอกบ้าน จากนั้นก็เดินผ่านมารดาไปยังห้องนอนของตัวเอง           “เดี๋ยว เมื่อเช้าแม่บอกแกแล้วใช่ไหม ว่าคืนนี้มีงานเลี้ยงกินข้าวของท่านทรงกรช”           “บอกแล้ว แต่มันเกี่ยวอะไรกับหนู”           “อ้าว ก็แม่บอกแล้วว่าจะพาแกไปแนะนำให้ท่านเห็นไง จะได้ฝากฝังงานที่บ้านท่านได้”           “ไปเป็นเด็กรับใช้ หนูไปทำงานโรงงานดีกว่า”           “นี่ งานโรงงานจะได้เงินสักเท่าไหร่กันเชียว จบแค่ ม.6 ทำบ้านท่านไม่ลำบาก ได้เงินเดือนตั้ง 2 หมื่น ถ้าทำดีท่านก็ให้พิเศษ” ทำไมมนัสวีจะไม่รู้ว่าทำงานอะไร           “หนูไม่อยากทำ หนูจะไปทำสวนผลไม้ หรือไม่ก็โรงงาน”           “อยู่บ้านท่าน โอกาสจะได้เป็นคุณนายเลยนะยัยวี” เสียงของพ่อเลี้ยงดังขึ้น จากทางห้องของมารดา           “วีไม่ชอบคนแก่คราวพ่อ อ้วนเตี้ยล่ำ หาผัวน่ะวีหาเอง”           “ถ้าแกไม่ได้ฉันจัดการให้ล่ะก็ ป่านนี้จะได้เรียนจบ ม.6 ไหม ก็เพราะได้เงินจากพวกผู้ใหญ่พวกนี้ ลำพังสมบัติพ่อแกจะมีอะไรเหลือให้นอกจากบ้านหลังนี้”               “ไม่ใช่เพราะวีเหรอ ที่นั่งให้ไอ้พวกตาแก่ทั้งหลายแตะอั๋งน่ะ เพราะวีเป็นคนหาเงิน ไม่ใช่น้า”           “ยัยวี อย่ามาพูดกับน้าชิตแบบนี้ เพราะน้าชิตเราถึงได้มีกินมีใช้ ไม่ใช่เพราะน้าชิตเหรอที่แนะนำแกให้ทำงานนั่งดริ้งค์ กับพวกนายๆ เขาน่ะ”           “วีไม่ถือว่าเป็นบุญคุณ” พูดจบเธอก็เดินกลับเข้าห้องทันที ทว่าวิชิตพ่อเลี้ยงกลับไม่พอใจที่มนัสวีต่อต้าน จึงตามไปจิกผมแรงๆ แล้วกระชากเหวี่ยงกลับออกมา           “โอ๊ย! น้าชิต!”           “มึงจะไปหรือไม่” วิชิตบอกพร้อมกับจิกผมเธออยู่           “ไม่ไป อยากได้เงินทำไมไม่ให้แม่ไปเองล่ะ” เธอเถียงกลับ เท่านั้นแหละ คนเป็นแม่ก็เดินดุ่มๆ พร้อมกับเหวี่ยงฝ่ามือตบที่ใบหน้าของบุตรสาวแรงๆ จนสะบัด           เพียะ! มนัสวีล้มลงไปกองกับพื้น แล้วก็นั่งนิ่ง ก่อนจะค่อยๆ หันกลับมามองหน้า           “มึงเป็นลูก อย่าเถียง รู้จักไหมคำว่ากตัญญูน่ะ กูให้กำเนิดมึง โตมาจนป่านนี้ หน้าตาสะสวยผิวพรรณดี ก็เพราะกู มึงอย่ามาพูดไม่เข้าหูอีก ไม่งั้นกูตบเลือดกลบปากแน่”           “จะให้วีหาเงินให้มากแค่ไหน แม่กับน้าถึงจะพอใจ ให้ติดเอดส์ตายก่อนหรือยังไง”           “อีวี!” เพียะ! มารดาเหวี่ยงมือตบไปที่แก้มข้างเดิมอีกครั้ง           “พูดอีกคำกูจะให้น้าชิตจัดการ มึงไปเตรียมตัว แต่งตัวสวยๆ ชุดที่กูซื้อให้ ใส่ซะ”           “กูจะบอกให้เอาบุญ มีเด็กๆ อีกเยอะที่อยากมีโอกาสแบบมึง ที่ได้เข้าใกล้ผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นเด็กดีเผลอๆ เดือนละ 3-4 หมื่นจะไปไหนเสีย” วิชิตเอ่ยขึ้นพลางกัดฟันแน่น           “ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ กูบอกให้ลุกขึ้น” มารดาตะคอกในคำสุดท้าย ก่อนจะกระชากมนัสวีให้ลุก แล้วผลักเข้าห้องไปเลย มาถึงตอนนี้วิชิตก็หันกลับมาตำหนิเมีย           “ไปตบมันทำไม”                    “ฉันเป็นแม่มันนะ แล้วดูมันว่าฉัน”           “เสื่อมราคาหมด ปากแตก เป็นรอยฝ่ามือ ราคาตกกันพอดี โง่จริงๆ เลย คราวหน้าอย่าทำอีก” สิ้นคำวิชิตก็เดินเข้าห้องเพื่อจะได้เตรียมตัวเช่นกัน          
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD