“พวกมันทั้งหมดสมควรตาย” เมื่อเหวินอี้คิดเช่นนั้นจึงจัดการพวกมันเกือบปางตาย และให้เฟิงหู่พาสาวรับใช้ของเหม่ยอิงกลับมาที่จวนอ๋อง พร้อมกับให้คนลากพวกมันมาขังไว้ที่คุกชั้นใต้ดิน หลังจากที่พาเหม่ยอิงเดินทางกลับมาที่จวน เขาก็ให้พ่อบ้านลู่ตามหมอหลวงมาดูอาการ แต่หมอหลวงบอกว่าอาการของคุณหนูใหญ่ไม่เป็นอะไรมาก แค่ตื่นตกใจกลัวมากจนสลบไปเท่านั้น เพียงทานยาบำรุงหัวใจและเลือดลมก็จะดีขึ้นเอง ถึงแม้หมอหลวงจะบอกเช่นนั้นแต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกกังวลใจเหมือนเป็นคนป่วยเสียเอง เฟิงหู่เห็นท่านอ๋องแปดนั่งเหม่อลอย สีหน้าคล้ายสับสนร้อนใจจึงรีบรายงานทันทีเพื่อให้ท่านอ๋องแปดคลายความกังวลพระทัย
“คุณหนูเซี่ยอาการดีขึ้นแล้ว ตอนนี้ยังไม่ตื่นพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเฟิงหู่พูดจบ ท่านอ๋องแปดก็เดินนำไปที่ชั้นใต้ดินในจวนอ๋องเพื่อมุ่งหน้าไปยังคุกลับทันที ที่คุกลับใต้ดิน ชายฉกรรจ์ทั้งสามคนถูกจับล่ามโซ่อยู่ภายในคุกอับชื้น แสงสว่างไม่เพียงพอเท่าที่ควร เมื่อท่านอ๋องแปดเสด็จมาถึง ชายทั้งสามจึงถูกพาตัวออกมาที่ด้านนอก ซึ่งมีท่านอ๋องแปดนั่งรออยู่ที่เก้าอี้กลางคุกใต้ดิน ชายฉกรรจ์ทั้งสามนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าท่านอ๋องแปดพร้อมกับก้มหน้าไม่ยอมสบตาแม้แต่น้อย ร่างกายของชายทั้งสามสะบักสะบอมไร้เรี่ยวแรง
เหวินอี้จ้องหน้าชายทั้งสามเขม็ง สายตาเรียวยาวดุดันไม่มีแววล้อเล่น
“ใครส่งพวกเจ้ามา” ท่านอ๋องพูดไต่สวนเสียงดังลั่น แต่ก็คงดังไปไม่ถึงด้านบน เพราะคุกลับแห่งนี้สามารถเก็บเสียงได้เป็นอย่างดี และคนร้ายทั้งสามก็ยังไม่ยอมปริปาก พวกมันก้มหน้านิ่งตัวสั่นคล้ายรู้สึกหวาดกลัว
เฟิงหู่เห็นอย่างนั้นจึงพูดเสริมขึ้นว่า
“หากพวกเจ้าบอกว่าใครเป็นคนบงการอยู่เบื้องหลัง ท่านอ๋องแปดย่อมไม่เอาผิดพวกเจ้าแน่”
เมื่อได้ฟังคำขององครักษ์หนุ่ม คนร้ายทั้งสามก็แสดงอาการประหม่าขึ้นมาทันทีด้วยความกลัว คนร้ายคนหนึ่งที่อยู่ทางซ้ายมือรีบชิงพูดขึ้นมาก่อนเพื่อเอาตัวรอด
“ฮูหยินใหญ่สั่งมาขอรับ” คนร้ายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทา อ๋องแปดและเฟิงหู่หันมองสบตากันทันทีที่ได้ยินคำสารภาพนั้น ต่างคนต่างตกอยู่ในห้วงของความคิด
‘เหตุใดฮูหยินใหญ่ถึงจะต้องส่งคนมาทำร้ายลูกของตัวเอง เรื่องนี้ช่างไม่ธรรมดาเสียแล้ว’ ท่านอ๋องแปดจึงลุกขึ้นยืนเดินเข้ามาใกล้ ๆ ชายผู้นั้นพร้อมกับถามซ้ำอีกครั้ง
“หากเจ้าโป้ปดข้า จะไม่ได้กลับออกไป รู้ใช่หรือไม่” อ๋องแปดสบตากับชายผู้นั้น แววตาจริงจังของชายหนุ่มดูน่ากลัวจนคนร้ายพยักหน้าเร็วถี่รัวด้วยความหวาดกลัวจับใจ
“จริงขอรับ ข้าไม่กล้าโป้ปดท่าน” เสียงของคนร้ายทั้งสามคนพูดพร้อมกันทันที หลังจากที่คนร้ายพวกนั้นสารภาพจนหมดสิ้น ท่านอ๋องและองครักษ์ก็กลับออกมาจากคุกใต้ดิน
ตอนนี้เข้าสู่ต้นยามซื่อ ดวงอาทิตย์เกือบตั้งฉาก เหม่ยอิงที่ตื่นขึ้นมาก็ลุกขึ้นนั่ง นางมองไปรอบห้องที่ไม่คุ้นตา
“ที่นี่คือที่ใดกัน” เหม่ยอิงก้มมองดูเสื้อผ้าที่ไม่ใช่ชุดเดิม ตอนนี้นางอยู่ในชุดสีชมพูอ่อนดูสวยงามราวกับเทพเซียน ด้วยความสงสัย ท่านอ๋องแปดกำลังเดินไปที่เรือนรับรองตามลำพัง มองไปเห็นคุณหนูใหญ่ตระกูลเซี่ยกำลังเดินออกมาจากห้องนอนจึงเดินไปหยุดที่ด้านหลังของร่างบาง เขาเว้นระยะออกห่างมาเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามหญิงสาวขึ้น
“เจ้าตื่นแล้วหรือ” ท่านอ๋องยืนเอามือไพล่หลังแลดูสง่างามสมดั่งฐานะ เขาสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ ใบหน้าหมดจดหล่อเหลาสมคำเลื่องลือ
เหม่ยอิงสะดุ้งตกใจ ‘ผู้ใดกัน อยู่ดี ๆ ก็โผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียง’ หญิงสาวจึงรีบหันหน้าไปมองผู้ที่ถามทันที แต่แล้วความตกใจก็ยังไม่สิ้นสุดเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงทุ้มนั้นคือใคร
“ทะ ท่านอ๋องแปด เหตุใดถึงเสด็จมาที่นี่กันเพคะ” เหม่ยอิงเผลอมองสบตาคนตัวสูงกว่า นัยน์ตาหงส์เบิกกว้างอ้าปากค้างแลดูน่าเกลียดไม่น้อย แต่ในสายตาของชายหนุ่มหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ แม้ใบหน้าจะไร้เครื่องประทินโฉม แต่นางก็ยังคงความงามตามแบบธรรมชาติสร้างมาให้อย่างหมดจด เหวินอี้ยกยิ้มที่มุมปาก นัยน์ตาเรียวรีฉายแววกรุ้มกริ่มในทันที สายตาคมจดจ้องนัยน์ตาหงส์จนทำให้หญิงสาวรู้สึกประหม่าอยู่ไม่น้อย แก้มเนียนใสขึ้นสีแดงระเรื่อ นางพยายามชายตาหันมองไปทางอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการสบตากับร่างสูงตรงหน้าเพราะรู้ว่าตนเองมิอาจสู้สายตาคมนี้ได้จนเกิดอาการจิตใจไม่อยู่กับเนื้อตัว
“เมื่อคืนข้าบังเอิญผ่านไปเจอเจ้าถูกทำร้ายนอนสลบอยู่ที่ข้างทางในระหว่างที่ข้ากำลังจะกลับจวน เลยถือวิสาสะพาเจ้ามาพักผ่อนเสียที่นี่ก่อน คุณหนูใหญ่คงจะไม่ว่าอันใดข้าใช่หรือไม่” ท่านอ๋องแปดบอกเหตุผลให้คุณหนูใหญ่รับรู้เผื่อว่านางอาจจะเข้าใจผิด เพราะการที่สตรีที่ยังไม่ออกเรือนออกมานอนค้างอ้างแรมนอกจวนนั้นดูไม่งามนัก อาจถึงขั้นผิดธรรมเนียมปฏิบัติเลยก็ว่าได้ แม้จะมาค้างอ้างแรมที่เรือนของคู่หมั้น แต่ทั้งสองก็ยังไม่ได้จัดพิธีการให้ถูกต้อง ก็ยิ่งดูไม่ค่อยเหมาะเท่าไรนัก หากเรื่องนี้มีคนภายนอกรับรู้ เหม่ยอิงนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน เท่าที่นางจำได้ก่อนจะหมดสติไป นางสบตากับชายคนหนึ่งที่รู้สึกคุ้นเคยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ‘หรือว่าท่านอ๋องจะเป็นคนผู้นั้น’ หญิงสาวได้แต่สงสัยแต่ไม่กล้าเอ่ยถามออกไป
“ขอบพระทัยท่านอ๋องแปดอย่างยิ่งเพคะ หากไม่ได้ท่านอ๋องไม่รู้ว่าตอนนี้เหม่ยอิงกับฉิงเจียจะเป็นเช่นไรบ้าง” เหม่ยอิงรีบย่อกายทำความเคารพท่านอ๋องแปดด้วยความนอบน้อมทันที
ชายหนุ่มยิ้มรับและรู้สึกพึงพอใจ เขาน้อมรับในความขอบคุณนั้น แต่สิ่งที่เขาอยากได้จากนางไม่ใช่คำขอบคุณ หากแต่เป็นอย่างอื่น “ถ้าหากไม่รบกวนคุณหนูเซี่ย เจ้าอยู่ทานอาหารกลางวันเป็นเพื่อนข้าก่อนได้หรือไม่” ชายหนุ่มเอ่ยปากชวนหญิงสาว
ภาพชายหญิงทั้งสองที่ยืนพูดคุยกันคล้ายกำลังสนิทสนมอยู่ในสายตาขององครักษ์หนุ่มและสาวรับใช้ของทั้งคู่
“แม่นาง เจ้าอย่าเพิ่งเข้าไปรบกวนท่านอ๋องกับคุณหนูใหญ่ตอนนี้เลย” เฟิงหู่เอ่ยห้ามสาวรับใช้ของคุณหนูใหญ่ไว้เมื่อเห็นว่านางกำลังเดินตามหาคุณหนูในระหว่างทางที่เดินเข้ามาที่เรือนรับรอง แล้วก็เห็นท่านอ๋องแปดกำลังพูดคุยกับคุณหนูเซี่ย ฉิงเจียจึงได้แต่ก้มหน้าลงเล็กน้อย ยอมทำตามคำขอขององครักษ์คนสนิทของท่านอ๋อง แล้วมองไปยังทั้งสองที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ช่างดูเหมาะสมกันเหมือนดั่งกิ่งทองใบหยก
เหม่ยอิงเงยหน้าขึ้นสบตาของท่านอ๋องแปด สายตาคมที่จ้องมองมาทำให้นางรู้สึกแปลก ๆ
‘หรือท่านอ๋องแปดจะสนใจนางขึ้นมา’
แม้นางอยากจะรีบกลับจวนเสนาบดี
‘ไม่รู้ป่านนี้ท่านแม่จะเป็นห่วงมากหรือไม่ และตอนนี้ท่านพ่อคงรู้แล้วว่าข้าหนีออกจากจวนไปเที่ยวเล่น ไม่ว่าจะกลับช้าหรือเร็วก็มีหวังโดนลงโทษหนัก ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้’ ทำให้เหม่ยอิงไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปฏิเสธท่านอ๋องแปด ไม่ใช่เพราะเกรงใจ หากแต่เป็นเพราะบุญคุณที่ได้ช่วยชีวิตนางกับฉิงเจียไว้ จะให้เอ่ยตัดรอนก็ดูจะเสียมารยาทและดูอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ