พรีม
“เจ็บตรงไหนให้ผมพาไปส่งโรงพยาบาลหรือเปล่า”
“เจ็บไปทั้งตัวเลยค่ะคุณหมอถ้างั้นรบกวนคุณหมอพาไปส่งโรงพยาบาลด้วยนะคะ”
ฉันส่งสายตาหวานฉ่ำไปให้ เขาว่ากันว่าเจอกันครั้งแรกเป็นเรื่องบังเอิญ เจอครั้งที่สองก็แค่บังเอิญแต่ถ้าเจอกันสามครั้งติดๆ มันต้องเป็นเนื้อคู่กันแล้วนะ
“รู้สึกเจ็บตรงไหนบ้าง”
“เจ็บข้อเท้าค่ะ ก้นก็เจ็บค่ะ แขนกับขาก็เจ็บเจ็บไปหมดเลยค่ะ”
ฉันพยายามทำหน้าตาให้น่าส่งสารเข้าไว้
“เดี๋ยวผมช่วยพยุงไปที่รถ”
ฉันพยักหน้าทันทีค่ะโอกาสที่ฉันจะได้ใกล้ชิดเขาอยู่ตรงหน้ามีหรอที่ฉันจะปล่อยให้หลุดมือ
“โอ๊ยยย”
“เจ็บตรงไหน”
“ที่เท้าค่ะ โอ๊ยยย”
คราวนี้ฉันรู้สึกเจ็บจริงๆ ไม่รู้ว่าเท้าฉันแพลงไปแล้วหรือเปล่าเพราะเมื่อกี้ตอนที่ลุกขึ้นยืนมันก็รู้เรื่องทันที
“เข้าใจแล้ว”
เขาพยักหน้า เข้าทางฉันล่ะ
“งั้นคุณหมอช่วย……”
“อดทนหน่อยนะผมจะค่อยๆ พยุงไปที่รถ”
ฉันอ้าปากค้างกลางอากาศเพราะที่ฉันกำลังจะพูดคือฉันจะให้เขาช่วยอุ้มฉันไปที่รถต่างหากแต่ไหนเลยคุณหมอหน้าน้ำแข็งนี่ถึงยังยืนกรานที่จะพยุงฉันเล่า
พอพาฉันขึ้นมาบนรถได้เขาก็ตั้งหน้าตั้งตาขับรถอย่างเดียว แต่จะว่าไปเขาก็ดูจะรวยเอาการเลยนะรถรุ่นที่ฉันนั่งอยู่ไม่น่าจะต่ำกว่ายี่สิบสามสิบล้านอย่างต่ำแต่ก็ช่างเถอะฉันไม่ได้สนใจฐานะของเขาสักนิดเพราะที่ฉันสนใจคือหน้าตาอันหล่อเหลาและออร่าหลัวในอานาคตของเขาต่างหาก
“ผมประสานกับหมอกระดูกที่โรงพยาบาลไว้ให้แล้วไม่ต้องเป็นห่วงนะผมจะรับผิดชอบทุกอย่าง”
น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขึ้นหลังจากที่ปล่อยให้บรรยากาศที่นั่งรถมากับสาวสวยอย่างฉันเงียบมาพักใหญ่ๆ บอกเลยว่าสีหน้าของเขาเมื่อกี้จริงจังมากค่ะ ฉันชักอยากรู้แล้วสิว่าตอนที่เขาขอผู้หญิงแต่งงานจะจริงจังขนาดไหนกัน
“จำได้หรือเปล่าว่าฉีดยากันบาดทะยักล่าสุดตอนไหน”
“เอ๊ะ! เอ่อ ตอน…..”
ฉันอ้ำอึ้ง ฉีดไปตอนไหนใครจะไปจำได้ อีกอย่างอะไรที่เกี่ยวกับเข็มฉีดยาฉันไม่จำให้รกสมองหรอก
“ตกลงจำได้มั้ย”
เขาย้ำคำถามขณะที่สายตายังจดจ่ออยู่กับถนน
“ตอนหกขวบมั้งค่ะ”
ฉันตอบให้จบๆ ไปแต่จำได้ลางๆ ว่าตอนนั้นเสียงแหกปากร้องไห้ของฉันกังวานไปทั้งโรงพยาบาล
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ”
เขาหันมาถามฉันต่อ ใจคอจะไม่ชวนคุยเรื่องอื่นเลยหรือไง
“หลังจากนั้นจำไม่ได้ค่ะแต่บาดทะยักเขาฉีดกันแค่นั้นไม่ใช่หรอคะ”
“หลังจากฉีดครบตอนอายุหกขวบบาดทะยักจำเป็นต้องฉีดกระตุ้นทุกๆสิบปี”
“อ๋อ”
ฉันพยักหน้า
“อาจจะต้องฉีดยากันบาดทะยักด้วยนะเพราะแผลที่เข่าอาจจะมีแบคทีเรียเข้าไป”
“คะ อะไรนะคะฉะ….ฉีดยาหรอคะ”
หน้าสวยๆของฉันซีดขึ้นมาทันทีค่ะ
เขาพยักหน้าแต่ฉันนี่สิแค่คิดฉี่ก็แทบราด
“เอ่อ…..ฉันไม่ได้เป็นอะไรแล้วฉันไม่ไปโรงพยาบาลแล้วนะคะ”
“ไม่ได้ต้องไปทำแผลก่อนแล้วก็ต้องดูข้อเท้าด้วย”
“แต่ฉันไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ไม่ต้องไปโรงพยาบาลก็ได้ค่ะเดี๋ยวฉันไปทำแผลที่บ้านเองก็ได้”
ฉันรีบพูด
“แผลขนาดนี้ทำแผลเองไม่ได้เดี๋ยวจะติดเชื้ออีกอย่างข้อเท้าคุณจำเป็นต้องให้หมอดูให้”
เขาพูดได้อย่างใจเย็นทั้งที่ฉันกลัวจะแย่อยู่แล้ว
“แต่ว่า……”
ฉันจะปฏิเสธแต่จังหวะนั้นเขาก็เลี้ยวรถเข้ามาในโรงพยาบาลทันทีที่จอดรถเขาก็เดินอ้อมมาฝั่งที่ฉันนั่งอยู่
“ลงมาสิ”
“ไม่ค่ะ”
ฉันส่ายหน้ารัวๆ
“ลงมา”
สั่งฉันอีกรอบแต่ฉันก็ส่ายหน้าให้เขาอยู่ดี
“ทำไม คุณกลัวต้องได้จ่ายค่ารักษาเองหรอ ถ้าเป็นเรื่องนี้ไม่ต้องห่วงนะผมบอกแล้วไงว่าผมจะรับผิดชอบทุกอย่างรวมทั้งค่ายาด้วย”
“เปล่าค่ะไม่ใช่แบบนั้น”
“ถ้าไม่ใช่ก็ลงมาสิคุณหมอที่ผมติดต่อไว้รออยู่”
“ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะคือฉันจะไปโรงพยาบาลที่ฉันรักษาอยู่”
ตายแล้ว นี่ฉันพูดอะไรออกไปโรงพยาบาลที่ฉันรักษาอยู่ก็คือที่นี่ไง
“คนไข้เป็นอะไรมาหรอคะคุณหมอ”
มีพยาบาลเดินเข้ามาถามพร้อมกับรถเข็นหนึ่งคัน
“รถชนแต่ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ”
“งั้นเดี๋ยวหวานพาคนไข้ไปทำแผลเองค่ะ”
“ไม่ต้องค่ะ”
ฉันขยับตัวหนีพยาบาลอย่างไว
“อยู่เฉยๆ นะคะเดี๋ยวดิฉันจะพาไปทำแผล”
ฉันส่ายหน้ารัวๆ ต่อให้เอาช้างมาฉุดฉันก็ไม่มีทางลงไปจากรถเด็ดขาด ให้ตายฉันก็ไม่ลง
“คะ…..คุณหมอ”
ฉันเบิกตาโตด้วยความตกใจเพราะตอนที่ฉันปฏิญาณกับตัวเองอยู่ๆ เขาก็เข้ามาอุ้มฉันลงจากรถ
“ให้คนไข้นั่งรถเข็นเถอะค่ะคุณหมอ”
“ไม่เป็นไร ผมรบกวนช่วยเอาอุปกรณ์ทำแผลเข้าไปในห้องทำงานผมด้วยนะ”
พูดจบเขาก็อุ้มฉันเดินผ่านพยาบาลคนนั้นทันทีค่ะเมื่อกี้ยอมรับว่าฉันตกใจมากเพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะอุ้มฉันลงมาจากรถแบบนั้นแต่ในความตกใจตอนนี้ฉันก็เอามือคล้องคอเขาไว้เรียบร้อย ความกลัวเมื่อกี้ก็หายไปหมดเพราะหน้าอกของคุณหมอทั้งกว้างทั้งอุ่น
เจ้าของร่างสูงก้าวขายาวๆ ผ่านสายตาของทุกคนมาที่ชั้นสองแล้วตรงมาที่ห้องๆ หนึ่งซึ่งสายตาฉันก็ไวพอที่อ่านทัน
นายแพทย์ภีมรภัทร อธิพัฒน์พลากร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแผนกศัลยกรรมทรวงอก
แปลว่าเขาพาฉันมาที่ห้องทำงานของเขาจริงๆหรอ
เข้ามาในห้องได้เขาก็ให้ฉันนั่งลงที่เก้าอี้ของเขาค่ะเพราะในห้องนี้มีแค่โต๊ะตัวเดียวข้างๆ มีของโบราณวางอยู่บนชั้นสามสี่ชิ้นแล้วก็ คะ….โครงกระดูกสามตัวเรียงกัน สาบานได้มั้ยว่าที่นี่คือห้องทำงานของคนเป็นหมอไม่ใช่พิพิธภัณฑ์เก็บกระดูกคนหรือของโบราณอะไรทำนองนั้น
“ได้แล้วค่ะคุณหมอ”
“ขอบคุณครับ”
พยาบาลคนเมื่อกี้เข้ามาพร้อมกับรถเข็นที่มีอุปกรณ์ของหมอเต็มไปหมด
“คุณหมอจะทำอะไรคะ”
เขาคุกเข่าลงค่ะ
“ก็ดูแผลไง”
พูดจบก็เอาน้ำเกลือมาล้างแผลที่เข่าฉันที่มีเลือดไหลออกไม่หยุด
“โชคดีที่แผลไม่ลึกเท่าไหร่ ผมขออุปกรณ์ทำแผลด้วยครับ”
“นี่ค่ะคุณหมอ”
พยาบาลส่งอุปกรณ์ทำแผลให้จากนั้นเขาก็ลงมือทำแผลให้ฉัน ถึงฉันจะเป็นคนกลัวเข็มฉีดยาขึ้นสมองแต่พวกยาล้างแผลที่ทำให้แสบๆ สบายมากที่สำคัญคุณหมอก็มือเบามากค่ะ
พอทำแผลที่เข่าให้ฉันเสร็จก็ดูเท้าให้ฉันต่อ
"ข้อเท้าบวมแต่อาการไม่รุนแรงประคบเย็นก็น่าจะดีขึ้น"
พูดแล้วก็ลุกไปที่กล่องพลาสติกสีขาวที่วางอยู่ทำอะไรสักอย่างก่อนจะเดินกลับมาพร้อมน้ำแข็งกับผ้าผืนนึง
"อาจจะเจ็บหน่อยนะ"
พูดแล้วสายตาก็จดจ่ออยู่ที่ข้อเท้าของฉันขณะที่มือนึงจับข้อเท้าฉันไว้อีกมือจับผ้าเย็นๆ ประคบลงมาอย่างเบามือส่วนฉันก็ซี้ดปากเบาๆ
“ผมขอวัคซีนกันบาดทะยักด้วยนะ”
เขาหันไปสั่งพยาบาล
“ต้องฉีดยาด้วยหรอคะ”
ตอนนี้หัวใจฉันตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเรียบร้อยแล้ว
“ถึงแผลจะไม่ลึกแต่วางใจไม่ได้แล้วเมื่อกี้ผมก็เช็คประวัติการฉีดวัคซีนของคุณแล้วคุณฉีดครั้งสุดท้ายตอนอายุหกขวบดังนั้นผมจำเป็นต้องกระตุ้นวัคซีนไม่งั้นแผลของคุณอาจจะเป็นบาดทะยักได้”
ตกลงว่าที่เขาหันหน้าเข้าหาคอมพิวเตอร์เมื่อกี้ก็เพื่อดูประวัติการฉีดยาของฉันหรอ แง คนใจร้าย
“ไม่ค่ะฉันไม่ฉีดนะคะ”
ฉันถอยออกมาจากเก้าอี้ที่อยู่ตรงหน้าเขา
“วัคซีนมาแล้วค่ะคุณหมอ”
พยาบาลคนนี้ก็ช่างเข้ามาได้ถูกจังหวะจริงๆ แล้วมิทราบว่าใครจะฉีดกันยะเอามาทำไม
“ช่วยดึงแขนเสื้อขึ้นด้วย”
เขาสั่งฉันด้วยสีหน้าเรียบเฉยมากทั้งที่ตอนนี้ฉันกลัวจนขรี้หดตดหาย
“บอกแล้วไงคะว่าฉันไม่ฉีด”
ฉันจะลุกออกไปแต่เขาก็ดึงมือฉันไว้ก่อนจะปล่อย
“กลัวเข็มหรอ”
“คือ……ค่ะ”
ฉันพยักหน้า ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้คนที่อยู่ตรงหน้าฉันคือคนที่ฉันอยากได้เป็นพ่อของลูกป่านนี้ฉันคงร้องไห้ไปแล้ว
“ไม่ต้องกลัวนะคะคุณหมอของเรามือเบามากเลยค่ะ”
พยาบาลช่วยพูดอีกแรงแต่ความกลัวของฉันมันไม่เกี่ยวว่ามือเบาไม่เบานิ
“ฉันไม่ฉีดได้มั้ยคะให้ยาอะไรฉันไปกินหรือทาก็ได้ขอแค่ไม่ฉีดยาก็พอ”
ฉันทำตาปริบๆ หวังจะให้คุณหมอยอมใจอ่อน
“ผมทำแบบนั้นไม่ได้หรอกคุณจำเป็นต้องฉีดวัคซีนไม่อย่างนั้นอาจจะเป็นบาดทะยัก”
คำก็บาดทะยักสองคำก็บาดทะยักใจคอเขาจะกดดันฉันด้วยใบหน้าเย็นชาไปถึงไหน ฉันอยากรู้เหมือนกันว่าในชีวิตเขาไม่เคยกลัวอะไรเลยหรือไงถึงไม่เข้าใจความกลัวของคนอื่น
“แต่คนไข้คะ”
“เดี๋ยวตรงนี้ผมจัดการต่อเองคุณพยาบาลไปทำงานต่อเถอะครับโทษทีนะที่วันหยุดแท้ๆแต่ผมมารบกวนแบบนี้”