บทที่6

1450 Words
“อ้าว คุณหมอวันนี้เลิกงานเร็วเหรอครับ” “ครับ” ผมตอบลุงยามที่แกยืนยิ้มให้ “ขี่ระวังๆ หน่อยนะครับเมื่อวานก็มีพวกเด็กแว๊นมันขี่เบียดเลนจนจักรยานของคุณยายร้านค้าตรงข้ามล้มเจ็บหนัก” ลุงแกเล่าทั้งเป็นห่วงป้าทั้งโมโหให้เด็กพวกนั้น "ครับลุง” ผมตอบลุงยามแล้วขี่จักรยานผ่านหน้าแกออกมา เมื่อก่อนนี้ผมขับรถราคาสิบล้านแต่ตอนนี้ผมไม่มีรถแพงๆให้ขับแล้วจะมีก็แค่จักรยานคันหนึ่งที่เอาไว้ขี่ไปท่าเรือเพื่อต่อไปบ้านผม ตอนนี้ผมอาศัยอยู่ที่บ้านไม้ริมคลองแห่งหนึ่งในละแวกเศรษฐกิจแต่ก็เป็นแค่บ้านไม้หลังเล็กๆ ไม่ได้มีราคาอะไรนอกจากว่าจะขายให้พวกนายทุนซึ่งผมไม่มีทางขายสมบัติชิ้นสุดท้ายไปเด็ดขาด แต่จะว่าไปผมผูกพันกับบ้านหลังนี้มากกว่าบ้านหลังใหญ่โตที่ถูกยึดไปซะอีกแต่ก่อนครอบครัวผมอาศัยอยู่ที่นั่นผมเกิดและโตที่บ้านหลังนั้นมันเป็นบ้านที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยรุ่นคุณยายแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วพ่อผมเริ่มมีฐานะมั่นคงธุรกิจไปได้สวยท่านก็เลยซื้อบ้านหลังใหม่ซึ่งก็คือหลังที่ผมบอกว่าถูกธนาคารยึดนั่นแหละครับ โชคดีที่ตอนนั้นแม่ผมไม่ยอมให้ขายบ้านหลังนั้นไม่งั้นวันที่ไม่เหลือสมบัติอะไรติดตัวพวกเราพ่อแม่ลูกก็คงจะไม่มีแม้แต่บ้านให้ซุกหัวนอน "กลับมาแล้วเหรอคุณหมอภีม" "กลับมาแล้วครับ" ผมเข้าไปกอดและหอมแก้มผู้เป็นแม่เหมือนที่ทำทุกวัน บางคนอาจจะอายที่ต้องแสดงความรักกับคนในครอบครัวแต่สำหรับผมไม่เลย ผมจะทำทุกวันให้มีค่ามากที่สุดเพราะผมรู้แล้วว่าชีวิตของคนเราไม่แน่นอน ดูอย่างพ่อผมสิใครจะไปคิดว่าจากนักธุรกิจร้อยล้านที่มีแต่คนนับหน้าถือตาวันหนึ่งจะกลายมาเป็นผู้ป่วยติดเตียงที่พอไม่มีเงินไม่มีทรัพย์สมบัติก็ไม่มีใครอยากจะคบหา "วันนี้พ่อทานข้าวเยอะไหมครับ" ผมนั่งลงถามแม่ที่กำลังนั่งร้อยพวงมาลัยอยู่มันเป็นสิ่งที่แม่ผมได้รับมาจากคุณยายและเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้วันๆหหนึ่งของแม่ผมผ่านไปได้ "ก็เหมือนทุกวันนั่นแหละ" "งั้นผมไปดูพ่อก่อนนะครับ" พูดแล้วผมก็เข้ามาหาพ่อในบ้าน อย่างที่บอกว่าพ่อผมเป็นผู้ป่วยติดเตียงท่านไม่สามารถช่วยเหลืออะไรตัวเองได้ ผมพยายามหาทางรักษาและไปหาหมอที่ดีที่สุดแต่อาการก็ไม่ดีขึ้นมาหมอทุกคนรวมทั้งผมลงความเห็นว่าที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้เกิดจากอาการป่วยทางใจ “พ่อต้องทานข้าวเยอะๆ นะครับตอนนี้ผมเก็บเงินได้บ้างแล้วอีกหน่อยบ้านเราก็จะไม่มีหนี้” ผมนั่งลงข้างเตียงบอกท่านอย่างมีความหวัง ถึงธนาคารจะยึดบ้านและทรัพย์สินไปหมดแต่เราก็ยังเป็นหนี้อยู่หลายล้านทุกวันนี้ผมเลยต้องขยันทำงาน ผมรับเคสผ่าตัดทุกเคสจะยากจะง่ายผมไม่เคยเกี่ยงหรือแม้กระทั่งรับแลกเวรกับหมอด้วยกัน หลายครั้งที่ผมไม่มีวันหยุดเพื่อที่ผมจะได้มีเงินมาใช้หนี้ให้หมดเร็วๆ วันต่อมา “ผมไปก่อนนะครับ” ผมเข้าไปหอมแก้ม “วันนี้ไม่เข้าโรงพยาบาลไม่ใช่เหรอจะไปไหน” แม่ผมคงเห็นการแต่งตัวเลยเดาออกว่าวันนี้ผมหยุด “ไปเอารถให้ไอ้เอสครับมันไม่ว่างไปเอา” ผมนั่งลงแล้วหอมแก้ม “แม่ว่าภีมซื้อรถสักคันดีมั้ยลูกไปไหนมาไหนจะได้สะดวก” แม่เคยบอกให้ผมซื้อรถหลายครั้งแล้วแต่ผมคิดว่ามันไม่จำเป็นเพราะถ้าผมจะเอาเงินไปซื้อรถมาขับผมเอาเงินไปจ่ายธนาคารไม่ดีกว่าเหรอ “ไม่เป็นไรครับทุกวันนี้ผมก็ไม่ได้ลำบากอะไร ผมไปก่อนนะครับเดี๋ยวสาย” พูดจบผมก็เดินเลียบคลองออกมาซึ่งท่าเรืออยู่ไม่ไกลจากบ้านผมเท่าไหร่ “ผมมารับรถแทนเพื่อนครับ” ทันทีที่มาถึงร้านผมก็เดินไปบอกเจ้าของร้าน ที่จริงรถเพื่อนผมไม่ได้เป็นอะไรมันแค่อยากเปลี่ยนนู่นอยากเปลี่ยนนี่ เอาง่ายๆ อยากเสียเงิน “อ้อ เอสโทรมาบอกผมแล้วล่ะ” รู้สึกเจ้าของร้านจะเป็นรุ่นพี่ของเพื่อนผมอีกที พอทุกอย่างเรียบร้อยผมก็ขับรถออกมาจากร้านผมกะว่าจะขับไปทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลแล้วให้มันไปเอาเอง อีกด้าน วันนี้ฉันไม่ได้ไปมหาวิทยาลัยเพราะต้องทำงานส่งอาจารย์ ฉันออกมาวาดรูปที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งกับยัยมีนอาจารย์สั่งงานเอาไว้ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วและจะครบกำหนดส่งพรุ่งนี้เราสองคนเลยออกมาแต่เช้า “น้องพอร์ชพี่พรีมขอยืมจักรยานปั่นไปร้านค้าตรงโน้นได้มั้ยคะ” ฉันนั่งลงถามเด็กประถมคนนึงก่อนหน้านี้เด็กคนนี้เข้ามาคุยกับฉันเราเลยสนิทกันไปเรียบร้อยแล้วเพราะฉันเป็นคนรักเด็กค่ะโดยเฉพาะเด็กผู้ชาย “ได้ครับพี่พรีมคนสวย” “เข้าใจพูดนะเนี่ยเราแบบนี้สงสัยพี่พรีมคงต้องเหมาขนมมาทั้งร้าน” “ดีครับ” “งั้นไปนั่งรออยู่กับพี่มีนเลยนะเดี๋ยวพี่พรีมรีบกลับมา” น้องพอร์ชวิ่งไปหายัยมีนฉันก็ปั่นจักรยานออกมาแต่จักรยานมันก็คันเล็กไปหน่อยสำหรับฉันแล้วฉันก็ไม่ได้ปั่นมานานแล้วตอนนี้สภาพฉันปั่นจักรยานเลยไม่ต่างจากเด็กที่พึ่งหัดปั่นใหม่ๆ “ว๊ายยย!!” ฉันกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจเพราะทันทีที่ฉันเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นรถคันหนึ่งอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว โครม!!! ฉันหักหลบรถคันนั้นทำให้จักรยานกับฉันล้มไม่เป็นท่าแถมก้นฉันยังระบมไปหมดแขนกับขาก็ถลอกปอกเปิก “เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ” เจ้าของรถหรูลงมาถามอาการฉัน “ก็เจ็บน่ะสิถามได้ขับรถไม่ดูคนหรือไง” ทั้งเจ็บทั้งโมโหฉันเลยตอบเจ้าของรถไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่น่าฟังเท่าไหร่ คอยดูนะฉันจะแจ้งตำรวจจับให้เข็ดโทษฐานที่ขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือและทำให้สาวสวยอย่างฉันเจ็บตัว “ลุกไหวไหมครับ” แต่พอฉันเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบว่าคนที่ฉันพึ่งโมโหใส่คือคุณหมอสุดหล่อของฉัน โลกกลมหรือพรหมลิขิตไว้เนี่ย “คุณ” คุณหมอสุดหล่อมองหน้าฉันอึ้งๆ ตอนนี้เขานั่งอยู่ตรงหน้าฉันใกล้มากๆ ด้วย อร๊ายยย เขินอ่ะ “คุณหมอ” น้ำเสียงฉันเปลี่ยนไปทันที เมื่อกี้ใครโมโห ใครจะเอาเรื่อง ไม่มี๊ ระหว่างที่ผมขับรถออกมากำลังจะเลี้ยวออกจากซอยอยู่ๆ ก็มีผู้หญิงปั่นจักรยานปาดหน้ารถทำให้ผมต้องหักหลบกะทันหันแล้วคู่กรณีของผมดันเป็นนักศึกษาอารมณ์ร้ายซะด้วยสิเพราะทันทีที่ผมลงไปถามเธอก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจทั้งที่ตัวเองเป็นคนตัดหน้าผมแท้ๆ “คุณ…..” พอนักศึกษาคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาผมถึงรู้ว่าเธอเป็นคนเดียวกับที่ผมบังเอิญไปเจอตอนถูกโจรปล้นวันก่อนและเป็นคนเดียวกันกับที่ปวดท้องไปโรงพยาบาลเมื่อวาน “คุณหมอ” น้ำเสียงและท่าทีของเธอเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เดาจากสายตาที่มอง Ferrari Portofino ราคาเกือบสามสิบล้านของเพื่อนผมคงจะเกิดเปลี่ยนใจกะทันหันเพราะคิดว่าผมเป็นคนมีเงิน “เจ็บตรงไหนให้ผมพาไปส่งโรงพยาบาลหรือเปล่า” ผมถามในฐานะคู่กรณีที่ถือว่ามีความผิดร่วมกันและในฐานะของหมอคนหนึ่ง “เจ็บไปทั้งตัวเลยค่ะคุณหมอถ้างั้นรบกวนคุณหมอพาไปส่งโรงพยาบาลด้วยนะคะ” เธอส่งสายตาหวานฉ่ำมาให้ผมทำให้ผมเริ่มจะระแวงขึ้นมา มีความเป็นไปได้สูงว่าเธออาจเป็นผู้หญิงประเภทที่ชอบใช้ความสวยของตัวเองอ่อยผู้ชายรวยๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD