“ใจลอยจังเลยคิดถึงหนุ่ม ๆ อยู่เหรอ” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยพลางหย่อนตัวนั่งลงตรงที่ว่างข้างฉัน
“เปล่าค่ะแต่กำลังคิดว่าจะขอพ่อออกไปอยู่คนเดียวดีไหม”
“ขอเหตุผลดี ๆ สักข้อสิเผื่อพ่อจะใจดีอนุญาต”
“อยากลองใช้ชีวิตค่ะ” พ่อเงียบแล้วมองหน้าฉันอยู่แบบนั้น “อยากอยู่คนเดียว อยากทำอะไรด้วยตัวเองแบบไม่ต้องมีใครช่วยหรือให้กำลังใจ”
“เพียงฝัน พ่อไม่ได้เลี้ยงให้หนูโตมาลำบากหรือฝึกความอดทนเพื่อพิสูจน์รักแท้หรือตามหาชายในฝันนะ เราหมดศรัทธากับความรักได้เราเสียศูนย์ได้แต่ต้องตั้งหลักให้ได้ด้วยเช่นกัน จงเป็นผู้หญิงที่เก่ง! หาเงินเก่งเอาตัวรอดเก่งพึ่งพาตัวเองเก่งแล้วเชื่อไหมว่าโลกจะโคจรคนที่ใช่มาตอนที่หนูคิดจะอยู่คนเดียวนี่แหละ ทุกคนมีจังหวะชีวิตเป็นของตัวเอง อย่าเร่งรีบกับความสัมพันธ์ อย่าเร่งรีบที่จะตัดสินอะไรก็แล้วแต่แค่ในช่วงเวลาหนึ่ง ก็เหมือนกับเรามีเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ในมือแต่ดันไปถูกใจอีกสิบเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่งเจอนั่นแหละ เราทิ้งเก้าสิบแล้วเลือกสิบได้นะถ้าไอ้เก้าสิบนั้นไม่ใช่ความเข้าใจไม่ใช่ความสบายใจก็ทิ้งมันไปเถอะ คนเราไม่ได้มีเวลาให้คิดให้ตัดสินใจนานขนาดนั้นหรอก” ทุกคำพูดคือคำสอนและความหวังดีค่ะ ถึงตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าตัวเองควรเริ่มต้นจากอะไร
“เข้าใจแล้วค่ะ แต่ที่บอกว่าอยากลองใช้ชีวิตอันนี้หนูพูดจริงนะ”
“อยากออกนอกกรอบว่างั้นเถอะ”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่หนูไม่เหลวไหลแน่นอนสัญญาค่ะ”
“ไม่ต้องสัญญาหรอกชีวิตวัยรุ่นมีแค่ครั้งเดียวอยากทำอะไรก็ทำเลย ชีวิตเราใช้ให้คุ้มแต่เราต้องมีสตินะ จำไว้ว่าการป้องกันมันง่ายการกว่าแก้ไขเสมอ” มือหนาโยกศีรษะฉันก่อนจะเดินเข้าบ้านพักไป นี่แหละค่ะคือวิธีสอนในแบบของพ่อ
ฉันแยกตัวออกมานั่งคนเดียวแล้วหยิบมวลบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบพลางใช้ความคิดไปด้วย ขณะเดียวกันก็ฟังเสียงกีต้าร์กับเสียงร้องเพลงของบ้านพักข้าง ๆ ไปด้วยก็เพราะดีได้บรรยากาศไปอีกแบบ ฟิลคนเหงาเหมาะสำหรับสาวช้ำรักอย่างฉัน
“ทิ้งบุหรี่แล้วมานั่งด้วยกันได้นะครับ” ใครคนหนึ่งเอ่ยพร้อมกับฉีกยิ้มให้ฉัน ก็พวกพี่บ้านข้าง ๆ นั่นแหละค่ะ ฉันไม่ได้ตอบอะไรแค่ประมวลผลความคิดตัวเองว่าจะยังไงดี นั่งกับคนแปลกหน้าก็คงไม่แย่หรอกมั้ง
คิดได้แบบนั้นก็ดีดบุหรี่ในมือทิ้งแล้วเดินไปนั่งข้างเขา
“ขอบคุณนะคะเรื่องที่หน้าห้องน้ำ”
“จำได้ ?”
“อืม แค่เมาไม่ได้ความจำเสื่อมนี่คะ”
เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกแค่อมยิ้มให้ฉันจากนั้นเพื่อนเขาก็พูดขึ้นแทน
“แนะนำตัวอย่างเป็นทางการนะครับพี่ชื่อโฮปนะไอ้นี่ชื่อยิวและที่อยู่ข้างเราออกแบบครับ”
“ค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่พี่ชายหนูคำรามใส่แบบนั้น”
“ฮ่า ๆ พี่ไม่ถือสาหรอกน้องสาวน่ารักขนาดนี้ก็ต้องหวงเป็นธรรมดา”
“เปล่าหรอกค่ะเขาหัวร้อนกับแฟนเขาต่างหากเลยพาลไปเรื่อย”
“ฮัลโหลครับบ้านพักตัวเองอยู่นี่” เสียงเอ้ตะโกนมาทำให้ทุกคนหันไปสนใจมัน “เผลอไม่ได้เลยนะมึง”
“คนมันสวยช่วยไม่ได้”
“กูจะบอกลุงเก้าว่ามึงหว่านเสน่ห์เรี่ยราด”
“เชิญ!”
“แม่ง... ไร้เยื่อใยชะมัด” บ่นพึมพำแล้วนั่งเล่นเกมส์ต่อ คนอื่นเขาเข้าไปในบ้านหมดแล้วค่ะมีมันกับฉันนี่แหละที่ยังนั่งเล่นกันอยู่
“แฟนเราเหรอ”
“เพื่อนค่ะ” เขาถามตรง ๆ ฉันก็ตอบตรง ๆ เช่นกัน
“กูเพิ่งรู้ว่ามึงมีความกล้าขนาดนี้” พี่ยิวเอ่ยก่อนจะมองฉันกับพี่ออกแบบด้วยสายตาอะไรไม่รู้ “ไม่เห็นกับตากูไม่เชื่อนะเนี่ยว่ามึงมีมุมแบบนี้กับเขาด้วย”
“เงียบปากน่ะ” พี่ออกแบบพูดออกไปอย่างไม่ใส่ใจมากนักจากนั้นเขาก็หันไปเล่นกีต้าร์ต่อ แอบกระซิบหน่อยว่าร้องเพลงโคตรเพราะแต่ละเพลงก็คือร้องไห้ไม่ไหวเลยเหมือนเตรียมมาซ้ำเติมคนอกหักอย่างฉันโดยเฉพาะเลยแฮะ
แค่เพียงไม่นานเอ้มันก็หยิบกีต้าร์มาเล่นด้วยค่ะทำตัวกลมกลืนประหนึ่งว่าสนิทกันแต่ความจริงไม่ใช่เลยแค่ร่วมวงสนทนาตามมารยาทเท่านั้นเอง
“เพลงนี้มึงชอบนี่เล่นดิ”
“...”
“เฮ้ย!”
“อะไร ?”
“มึงน่ะอะไร เหม่ออะไรอีก”
“โทษทีกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ”
“เฮ้อ...ช่างเถอะ! เพลงนี้มึงชอบไม่ใช่เหรอเล่นดิเดี๋ยวกูจะตั้งใจฟัง”
“ไม่ล่ะ ตอนนี้ไม่ชอบแล้ว” เป็นเพลงรักค่ะเมื่อก่อนฉันฟังมันแบบไม่รู้เบื่อเลยแต่ว่าตอนนี้กลับเฉย ๆ ไปแล้ว
“อ๋อ... ที่เขาบอกว่าเรามักซ่อนใครบางคนไว้ในเพลงเพลงหนึ่งใช่ไหม ?”
“...”
นานหลายนาทีที่ความเงียบเข้าปกคลุม อาจเป็นฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ล่ะมั้งที่ทำให้ฉันซึมไปชั่วขณะ
“เพิ่งโสดเหรอครับ” พี่โฮปเอ่ยพลางคลี่ยิ้มบาง ๆ ให้ฉัน “ไม่มีใครซ่อนใครไว้ที่ไหนหรอกเดี๋ยววันหนึ่งมันก็ลืมเอง”
“วันหนึ่งนี่มันวันไหนล่ะคะ” เบื่อนะ เหนื่อยด้วยที่บางครั้งก็ยังนึกถึงสิ่งที่ทำร่วมกัน เข้าใจแล้วว่าความผูกพันมันน่ากลัวกว่าความรัก
“ไม่รู้สิ อาจจะวันนี้ของปีหน้าหรือปีต่อไปก็ได้ ว่าแต่เราคิดไว้หรือเปล่าว่าจะครองความโสดไปถึงเมื่อไหร่”
“จนกว่าจะเจอคนที่รักหนูมาก ๆ นั่นแหละ”
“จะเจอได้ไงมึงเล่นไม่เปิดใจให้ใครเลย” เอ้พูดแทรกขึ้นพลางส่ายหน้าให้อย่างเอือมระอา “คนเข้าหามันเยอะแยะพี่แต่มันไม่สนใจเองแหละ ปักใจอยู่ได้กับแค่คนคนเดียว”
“ไม่ได้ปักใจแต่กูกำลังรักษาตัวเองอยู่ บางที...”
“เราเศร้าได้นะแต่อย่าเศร้าจนลืมไปว่าโลกนี้ยังมีของอร่อยให้กิน มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนุก ไหนจะคนรอบข้างเราอีก”
“ในขณะที่เราเป็นแบบนี้เขาคนนั้นอยู่ที่ไหนเหรอ ทุกข์ด้วยไหม หรือกำลังยิ้มหัวเราะกับใครอยู่”
“จัดการความรู้สึกให้เร็วแล้วหันมาโฟกัสอนาคตตัวเองดีกว่านะ”
“...”
ไม่คิดมาก่อนเลยว่าคำพูดของคนแปลกหน้าจะทำให้รู้สึกดีขึ้นมาหลายเท่าตัว พวกพี่เขาดูเป็นผู้ใหญ่กันมากเลยค่ะทั้งให้กำลังใจและให้คำแนะนำ ไม่มีการซ้ำเติมหรือมองความเจ็บปวดของฉันเป็นเรื่องไร้สาระ
นั่งเล่นกันไปเรื่อยจนเวลาล่วงเลยมาถึงตีสองพี่ยิวกับพี่โฮปก็เข้าบ้านพักไปเหลือฉันกับเอ้และพี่ออกแบบ เขาพูดน้อยมากค่ะไม่เหมือนตอนเจอกันสองคน
“ไปยังกูจะหลับแล้วเนี่ย” น้ำเสียงงัวเงียเอ่ยพลางรั้งแขนฉันไปด้วย
“ไปก่อนเลยกูจะคุยธุระกับพี่เขา”
“กูจะฟ้องพี่กำปั้น”
“เออ”
คล้อยหลังเอ้ฉันก็หันมาสนใจใครอีกคนที่กำลังมองฉันอยู่
“หนูนิสัยไม่ดีหรอกพี่อย่ามายุ่งกับหนูเลย” ฉันเลือกที่จะพูดออกไปตรง ๆ เพราะไม่อยากให้ใครมาเสียเวลาด้วย
“เหรอ... พี่ชอบเด็กดื้อซะด้วยสิ” นอกจากจะไม่สนใจคำพูดของฉันแล้วเขายังลูบศีรษะฉันอย่างถือวิสาสะอีกต่างหาก
“ไม่มีใครเคยบอกเหรอคะว่าห้ามลูบหัวคนอื่น”
“แล้วไม่มีใครเคยบอกเหรอครับว่าเขาลูบแค่เฉพาะกับคนที่ตัวเองชอบ”
“...”
“ไปนอนเถอะดึกมากแล้ว” เขายังคงพูดพร้อมรอยยิ้มและแสดงออกชัดเจนว่าต้องการจีบฉันแต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังยืนยันคำเดิม
“เชื่อเถอะว่าหนูนิสัยไม่ดีหรอก หรือจะพูดกันตามตรงหนูอยากอยู่คนเดียว”
“ก็อยู่ไปสิพี่ไม่ได้บังคับนี่ว่าเราต้องอยู่ด้วยกันแค่อย่าลืมว่าพี่รอจีบอยู่ก็พอ”
“นี่แหละที่เขาเรียกว่าจีบอยู่” เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกแค่อมยิ้มให้เท่านั้นเอง ถึงจะชัดเจนแต่เขาก็ไม่ได้เข้าใกล้ฉันไปมากกว่านี้เลยนะคะ ที่สำคัญเขาไม่สนใจด้วยว่าตอนนี้สภาพจิตใจฉันมันโอเคหรือเปล่า เขาสนใจแค่ความโสดของฉันเท่านั้นเอง คนที่โตแล้วเขาจีบกันแบบนี้เหรอหรือว่าฉันเจอของแปลก ?