Episode-๑๐ กำแพงในใจ

1702 Words
หลายวันผ่านไป หลังจากทริปครอบครัวจบลงฉันก็หางานทำ เป็นพนักงานต้อนรับร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าค่ะ มาด้วยกันกับเอ้แต่ว่าเขารับแค่คนเดียวเอ้มันเลยไปสมัครร้านที่อยู่ข้าง ๆ แทน “ร้านมึงเป็นไง” “ก็ดีนะ ผู้จัดการร้านก็ดีแต่จะมีบางคนที่ทำตัวแก่กะโหลกกะลาอยู่” “แบ่งพักแบ่งพวกเหรอ” “เปล่า ชอบทำตัวขวางโลกอะ อายุงานมากกว่าเลยต้องข่มให้คนอื่นกลัว” “ฮ่า ๆ เหมือนร้านกูเลย ช่างแม่งเหอะไปหาอะไรกินกันดีกว่า” กอดคอแล้วเดินเล่นกันตามประสาก่อนจะแวะเข้าร้านปิ้งย่าง “ความจริงกูไม่ต้องมีแฟนก็ได้นะเนี่ยเพราะมีมึงคนเดียวก็แทบจะเป็นทุกอย่างในชีวิตอยู่แล้ว” ฉันว่าพลางมองอาหารในจานตัวเองซึ่งมีแต่ของโปรดทั้งนั้นก็มันนั่นแหละที่ตักให้ “เรื่องง่าย ๆ ถ้าคนคนนั้นไม่รู้มึงก็อย่าลำบากเอามันมาเป็นแฟนเลยกับอีแค่ชอบกินอะไรไม่ชอบกินอะไรเพราะกูก็ใส่ใจให้ได้เหมือนกัน” “รักนะคะสามีในอนาคต” “ขนลุก! ไปไกล ๆ” “ฮ่า ๆ” เรื่องที่ขอออกมาอยู่ข้างนอกพ่ออนุญาตค่ะ แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรและเข้าใจเจตนาของฉัน เหลือแต่พี่ชายฉันนี่แหละที่ยังไม่กล้าขอ ตั้งแต่เล็กจนโตเราสองคนแทบจะเป็นเงาตามตัวกันด้วยซ้ำไม่ว่าฉันจะผิดหรือถูกเขาก็อยู่ข้างฉันเสมอปกป้องตลอดแม้ว่าฉันจะทำผิดก็ตาม ไม่รู้ว่าในสายตาคนอื่นมองเขายังไงแต่สำหรับฉันเขาเป็นพี่ชายที่ดีมาก “จริงสิ วันนี้กูเจอพี่คนนั้นด้วย เขามากินข้าวที่ร้าน” “คนไหน” “ชื่ออะไรนะ ... คนนั้นที่เล่นกีต้าร์ด้วยกัน พี่ออกแบบ ใช่! กูจำได้ละ” “แล้ว ?” “ไม่มีอะไรแค่พูดให้ฟังเฉย ๆ โลกกลมเนอะบังเอิญเจอเขาที่นี่อีก” “ก็เขาอยู่แถวนี้” ได้ยินแบบนั้นมันจึงวางตะเกียบลงแล้วหันมาสนใจฉันด้วยท่าทีจริงจัง “ไม่มีอะไรเขาเป็นลูกค้าประจำของพ่อกู” “มีสิ! เล่ามาอย่าให้กูต้องสืบ” “เล่าอะไรก็มันไม่มีอะไร” “ต่อหน้าทำเป็นไม่รู้จักอย่าให้กูรู้นะว่าลับหลังแอบไปเดทกัน” “ปัญญาอ่อน” “เดี๋ยวก็รู้! เจอคนดูแลเข้าหน่อยมึงอาจจะแพ้ก็ได้” “แพ้อะไร ?” “ไม่บอกไปหาคำตอบเอาเอง” ฉันไม่ได้ตอบอะไรและไม่ได้สนใจคำพูดของมันสักเท่าไหร่ “เดี๋ยวนะ! เป็นลูกค้าประจำแล้วทำไมไม่เห็นลุงเก้าทักเลย” “ไม่รู้ดิ มึงอยากรู้ก็ไปถามพ่อกูเองแล้วกัน” แยกกันกับเอ้ฉันก็กลับบ้านตามปกติ แต่ไม่ปกติตรงที่พี่ปั้นนั่งรออยู่ก่อนแล้วนี่แหละ “...” “ไม่เห็นต้องทำหน้าดุขนาดนี้” “เรามีเรื่องต้องคุยกันนะ” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยก่อนจะเดินนำฉันไปยังห้องตัวเอง “คุยกันดี ๆ นะใช้เหตุผลไม่ใช่ข้ออ้าง” พ่อพูดขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของพี่ปั้น “ทุกอย่างเป็นไปตามการตัดสินใจของหนูอยู่แล้วแต่พี่เราก็สำคัญเพราะฉะนั้นอย่าผิดใจกันแค่เรื่องไม่เป็นเรื่อง” “ค่ะ” สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเปิดประตูเข้าไป บอกตามตรงว่าประหม่ามากกว่าตอนถูกเรียกเข้าห้องปกครองซะอีก “มานั่งนี่จะยืนอีกนานไหม” “อย่าดุสิหนูกลัวนะเนี่ย” “ยังไม่ได้ดุเลย” นานหลายนาทีที่ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างพวกเรา ... “ในบ้านไม่มีความสุขเหรอ” “มีความสุขค่ะ” “อบอุ่นไหม” “อบอุ่นค่ะ” “แล้วทำไมถึงอยากออกไปอยู่ข้างนอกล่ะ” “อยากลองใช้ชีวิตคนเดียวค่ะ” “ขอเหตุผลจริง ๆ” “อยากอยู่คนเดียวค่ะ อยากอยู่ในที่ที่ไม่เคยอยู่ไปในที่ที่ไม่เคยไป บางทีตรงนั้นอาจจะมีความสุขรอหนูอยู่ก็ได้” ฉันบอกออกไปตามความต้องการของตัวเองแล้วก็หวังให้คนตรงหน้าเข้าใจ “การเปิดใจรับสิ่งใหม่ ๆ มันอาจจะทำให้หนูยิ้มได้มากกว่านี้ก็ได้” เสียงถอนหายใจดังขึ้นพร้อมกับอ้อมกอดที่คุ้นเคย “ใช้ชีวิตคนเดียวมันเหนื่อยนะเพียงฝันแต่ในเมื่อมันเป็นความต้องการของเราพี่ก็ห้ามอะไรไม่ได้ ทำในสิ่งที่อยากทำ ค้นหาตัวเองให้เจอแล้วอย่าลืมเอาเสียงหัวเราะกลับมาด้วยนะ พ่อกับแม่อายุมากขึ้นทุกวันคงไม่ได้อยากเห็นเราจมอยู่กับความรู้สึกเดิม ๆ นานนักหรอก” “เข้าใจแล้วค่ะ วันไหนเหนื่อยหนูจะโทรมาบ่นให้พี่ฟังนะ” “เปลี่ยนจากเสียงบ่นเป็นเสียงหัวเราะเหมือนเดิมจะขอบคุณมากครับ” “ค่ะ” หลังจากคุยกันเข้าใจสามวันหลังจากนั้นฉันก็ย้ายออกมาค่ะ เป็นหอพักธรรมดานี่แหละไม่เล็กเกินไปและไม่ใหญ่เกินไป “ดูแลตัวเองให้ดีนะ” “อย่าขาดการติดต่อด้วย” “มีอะไรก็โทรมา” “เข้าใจแล้วค่ะ แต่ว่าห้ามบอกใครนะคะว่าหนูอยู่ที่ไหน” ความจริงฉันไม่อยากให้ใครรู้เลยสักคนด้วยซ้ำแต่เห็นแก่ความห่วงใยและความรักนี้แล้วมันทำไม่ได้ค่ะเพราะนี่คือคนในครอบครัวไม่ใช่คนอื่น “ออกไปเที่ยวไหนก็บอกหน่อยนะไม่ใช่หายเงียบไปเลย” พี่ปั้นยังคงย้ำประโยคเดิมจนฉันแปลกใจ “พี่พูดอย่างกับหนูจะหายไปไหนอย่างนั้นแหละ” “หนูไม่หายไปไหนหรอกแต่หนูจะเสพติดการอยู่คนเดียวมากกว่า เสียงเพลงเป็นแบบนั้นมาแล้วครั้งหนึ่งพี่ไม่อยากเห็นภาพซ้อนหรอกนะ” “ไม่ต้องห่วงค่ะหนูสร้างกำแพงเสร็จเมื่อไหร่จะรีบย้ายกลับเลย” ฉันยังคงฉีกยิ้มสู้ทั้งที่ในใจมันโหวงเหวงไปหมด เคยอยู่คนเดียวซะที่ไหนล่ะ “สร้างไปก็เท่านั้นแหละสักวันหนึ่งก็ต้องมีคนปีนขึ้นไปอยู่ดี” “ปีนมาเลยค่ะถ้าข้ามกำแพงมาได้หนูจะพิจารณาเป็นกรณีพิเศษ” “หึ!” คล้อยหลังทุกคนฉันก็จัดข้าวของให้มันเข้าที่เข้าทาง อยากจะร้องไห้แค่แขวนเสื้อผ้าใส่ตู้ก็เหนื่อยแล้วค่ะปกติแม่ทำให้ไง ที่ที่ฉันอยู่เป็นหอพักในตัวเมืองใกล้ที่ทำงานและก็ใกล้วิทยาลัย กว่าจะทำอะไรเสร็จก็เกือบเย็นนั่นแหละ ออกไปหาอะไรกินทำนั่นทำนี่ยังไม่ทันข้ามวันก็สัมผัสได้ถึงคำว่าเหนื่อย! ตื่นเช้าก็ต้องรีบแต่งตัวและโหนรถเมล์ไปทำงานเพราะไม่ได้เอารถยนตร์มาใช้ไม่เข้าเลยจริง ๆ ว่าทำไมต้องทำให้ตัวเองลำบากด้วย ที่พ่อกับแม่ไม่ห้ามเพราะเขารู้สินะว่าฉันจะเจออะไรบ้างถึงได้ปล่อยตามใจ แต่ก็อย่างว่าแหละฉันมันรั้นต้องเจอกับตัวเองถึงจะรู้สึก หนึ่งเดือนผ่านไป ฉันเสพติดการอยู่คนเดียวอย่างที่พี่ปั้นบอกนั่นแหละ เช้าทำงานเย็นกลับห้อง เช้าไปเรียนเย็นกลับห้องไม่สุงสิงกับใครใช้ชีวิตคนเดียวประหนึ่งว่าโลกใบนี้มีแค่ฉัน ไม่สิ! บางวันก็ยังออกเที่ยวกลางคืนอยู่แต่ไม่บ่อยเหมือนเมื่อก่อนอย่างเช่นวันนี้ “ไม่รับวะกูเห็นโทรหลายครั้งแล้ว” เอ้เอ่ยเมื่อเห็นมือถือฉันมีสายเรียกเข้า “แก๊งคอลเซ็นเตอร์มั้ง” ตอบออกไปอย่างไม่ใส่ใจมากนักแล้วเก็บมือถือใส่กระเป๋า แค่เพียงไม่นานเฟรมกับปริ้นก็มาค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าสนิทกันตอนไหนรู้ตัวอีกทีมันก็อยู่กับฉันทุกที่เหมือนเอ้นั่นแหละ “กูไปห้องน้ำแป๊บนะ” “เออ” กว่าจะถึงห้องน้ำฉี่แทบราดค่ะเพราะคนเยอะ ทำธุระส่วนตัวเสร็จกำลังจะเดินกลับแต่ก็ถูกใครบางคนรั้งไว้ซะก่อน “เจอกันบ่อยขนาดนี้ต้องเป็นพรหมลิขิตแล้วแหละ” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยพลางอมยิ้มให้เล็กน้อย “พรหมไม่ได้ลิขิตค่ะแต่บ้านพี่อยู่แถวนี้” “มากับใครเหรอ” “เพื่อน” “พี่ก็มากับเพื่อนเหมือนกัน” “ไม่ได้ถาม” “อยากบอกครับ” เขาว่ายิ้ม ๆ แล้วพูดต่อ “โทรไปไม่รับเลยนะ” “คะ ?” ถึงกับทวนคำพูดอีกครั้งแล้วกดโทรออกไปเบอร์ที่โทรมาบ่อย ๆ แต่ฉันไม่ได้รับเพราะคิดว่าเป็นเบียร์ แน่นอนว่ามือถือของคนตรงหน้ามีสายเรียกเข้าและปลายสายก็คือเบอร์ฉันเอง “พี่มีเบอร์หนูได้ยังไง” “ลักจำมา” “นิสัย!” “ถ้าขอจะให้เหรอ” “ให้หรือไม่ให้ก็ควรขอนี่คะ” “งั้นขอครับ” ฉันเงียบแล้วมองคนตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า “ว่ายังไง ?” “จำได้ว่าหนูพูดกับพี่ชัดเจนแล้วนะคะ” “ใช่ไง หนูบอกว่าไม่ให้พี่ยุ่งแต่ไม่ได้บอกว่าไม่ให้จีบนี่” “พี่นี่แปลกคนดีแฮะ” “ต้องลองทำความรู้จักกันก่อนนะถึงจะรู้ว่าแปลกไหม” “หนูนิสัยไม่ดีนะแล้วอย่าหาว่าไม่เตือน” “ไม่เป็นไรพี่เอาอยู่” “...” “เจอกันครั้งต่อไปไม่เอาหน้าห้องน้ำแบบนี้แล้วนะถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้รับสายบ้าง” ใช่ค่ะฉันไม่เคยรับสายเลยเพราะก่อนหน้านี้เบียร์เปลี่ยนเบอร์โทรมาตลอดฉันจึงรับเฉพาะแค่คนรู้จัก แยกกันกับเขาฉันก็กลับมาหาเพื่อนตามเดิม ส่วนพี่ออกแบบเขาเดินไปอีกด้านหนึ่ง “หายไปเป็นชาติกูนึกว่าหลับคาห้องน้ำไปแล้ว” เฟรมโวยวายยกใหญ่เมื่อฉันมาถึง “หรือแอบไปเจอผู้ชายในฝันมา” “อือ!” “สาธุ... กูขอให้เป็นแบบนั้นจริง ๆ เพี้ยง!!” ไม่พูดเปล่าเอ้มันยังยกมือท่วมหัวอีกด้วย “มึงอยากให้กูสละโสดขนาดนั้นเชียวเหรอ” “เออ หล่อรวยนิสัยดีด้วยจะดีมากมึงจะได้เลิกทำตัวอยู่นอกโลกสักที” “สัส!” ... : ฮ่า ๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD