สถานที่ที่ขุนพลพานางวันทองไปไม่ใช่ที่ไหน มันคือร้านหนังสือเก่าที่เขามาเยือนเมื่อวานนี้ วันนี้เขาเลือกที่จะขับรถมาแม้ว่ามันจะอยู่ใกล้ๆ
ใจเขาร้อนเกินกว่าจะมาเดินทอดน่องสบายๆ เหมือนทุกวันได้แล้ว ต้องมาถึงให้ไวที่สุด!
ทว่าก็ต้องพบกับความสับสนมึนงงเมื่อเห็นว่าสถานที่ที่เป็นร้านหนังสือเมื่อวานกลายเป็นที่รกร้าง
ใช้คำว่าที่รกร้างเลย แม้แต่ซากตึกอะไรก็ไม่มี ไม่มีแม้กระทั่งเพิงหมาแหงน
เขาเดินวนไปมาอยู่ตรงพื้นที่นั้นอยู่หลายรอบทีเดียว พลางยกมือขึ้นยีเส้นผมจนยุ่งเหยิง
“หายไปไหนวะ!”
พอมั่นใจแล้วว่าสถานที่ตรงนี้ไม่เคยมีการก่อสร้างใดๆ มาก่อน เขาพลันสบถออกมา นางวันทองที่ยืนมองอยู่ข้างหลังร้องถามอย่างเป็นห่วง
“หัวเสียเรื่องกระไรหรือเจ้าคะคุณพี่”
ขุนพลหันไปมอง เห็นหน้าสวยๆ แล้วถอนหายใจ
แม่คนนี้ทำให้เขาหนักใจจริงๆ นะ เมื่อกี้ตอนที่มาถึง เขาให้เธอรออยู่ในรถ แต่เธอก็พยายามจะลงจากรถมาให้ได้ ทว่าติดตรงที่เปิดประตูรถไม่เป็น เลยร้องโวยวายเป็นการใหญ่ จนคนที่ผ่านไปผ่านมาเห็นเข้าต้องเข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ด้วยคิดว่าเขาเป็นโจรปล้นสวาทที่ฉุดคร่าผู้หญิงขึ้นรถมา
เออ เขาเริ่มใช้คำโบร่ำโบราณตามนางวันทองแล้ว
ส่วนเรื่องนั้นดีนะที่เคลียร์ได้ ไม่อย่างนั้นเขาได้ไปงานงอกบนโรงพักแน่นอน
“ว่าอย่างไรเจ้าคะ คุณพี่หัวเสียเรื่องกระไร”
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ!”
เขาเผลอเสียงดังใส่อีก ยอมรับเลยว่าเขาเครียด แต่แล้วพลันรู้สึกผิดที่พาลใส่หญิงสาวทั้งๆ ที่เธอไม่ได้ผิดอะไร ยิ่งเห็นสีหน้าบูดบึ้งของเธออีกระลอก เขาก็พรูลมหายใจยาว
“อย่ามาขึ้นเสียงกับน้องนะเจ้าคะ”
โดนดุมาแล้ว เขากำลังจะขอโทษ แต่ว่า...
“ฮึ! พวกผู้ชายก็เป็นเสียอย่างนี้ หัวเสียสิ่งใดมาก็มาลงที่ผู้หญิง น้องใคร่รู้นักว่าเป็นกระไรกันนักถึงได้ประคองอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ประหนึ่งหมาบ้า”
อา...นี่อย่างไรล่ะ อิทธิฤทธิ์นางวันทอง เขาตระหนักขึ้นมาได้ว่านอกจากจะแสนงอนแล้ว ยังจะขี้ประชดประชัน ปากคอเราะรายอีกด้วย
โดนเข้าไปหนึ่งดอกแล้วล่ะไอ้ขุนพล...
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะพาลใส่” เขาร้องบอก
นางวันทองค้อนประหลับประเหลือก ใบหน้าเชิดขึ้น
อีกครั้ง
“ขอโทษรึ?”
“อืม”
“ขอโทษทำไมเจ้าคะ”
“เอ้า ทำผิดก็ต้องขอโทษสิ”
“แต่ชายหาได้ยอมขอโทษหญิง”
“ไม่ใช่กับผมแล้วกัน ผมผิด ผมก็ขอโทษ เอาเป็นว่าผม
ขอโทษที่พาลนะ”
ขุนพลว่าเร็วๆ ไอ้เรื่องที่เขาบอก ไม่ใช่การฝืนกระทำแต่อย่างใด เขาเป็นคนอย่างนี้อยู่แล้ว อะไรที่เขาผิด เขายอมเอ่ยปากขอโทษง่ายๆ อีโก้อะไรไม่มีกับชาวบ้านหรอกต่อให้เป็นคนเก่งแค่ไหนก็ตาม
มีแต่นางวันทองเท่านั้นล่ะที่ทำตัวไม่ถูก เธอมองเขานิ่ง
“แต่ศักดิ์ศรีของคุณพี่...” จากนั้นก็เงียบ ไม่พูดอะไรต่อ
ขุนพลพอเข้าใจว่าสังคมที่นางวันทองอยู่เป็นอย่างไร
สังคมชายเป็นใหญ่ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ผู้หญิงจะตกอยู่ใต้อำนาจของผู้ชายทั้งสิ้น ผู้ชายไม่มีวันผิด และผู้หญิงจะผิดเสมอแม้เป็นฝ่ายถูกกระทำก็ตาม
“ผมไม่สนใจเรื่องนั้นหรอก ผม...เฮ้อ...คุณไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอที่มาอยู่ในที่ที่ไม่ใช่บ้านคุณแบบนี้”
ไม่รู้จะจัดการกับความสับสนของตัวเองอย่างไรดี เห็นนางวันทองนิ่งได้นิ่งดี เขาก็อดที่จะถามไม่ได้
นางวันทองเม้มริมฝีปากครู่หนึ่ง ก่อนตอบ
“น้องกลัวเจ้าค่ะ บ้านเมืองที่นี่ไม่คุ้นตาน้องเลย ประหลาดกว่าเมืองสุพรรณฯ อยู่โข เกวียนไร้โคควายเทียมก็ช่างวิ่งเร็วนัก ชาวบ้านแต่งตัวพิลึกพิลั่น แม้แต่คุณพี่เองก็พิลึก น้อง...กลัว...”
ที่พิลึกน่ะ เธอต่างหาก!
แต่ขุนพลไม่พูดหรอก ไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะพูด แล้วคำถามเมื่อกี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะถามด้วย เพราะปลายประโยค นางวันทองเสียงสั่นเครือมากทีเดียว ก่อนที่ความหวาดกลัวของเธอจะพรั่งพรูออกมาเป็นหยดน้ำตาที่ไหลหลั่งอาบใบหน้า จากหยดแหมะสองแหมะ ตอนนี้ระเบิดร้องไห้โฮเลย
งานเข้าแล้วไอ้ขุนพล!
“เฮ้คุณ ร้องทำไม” เขารีบปรี่เข้ามาหา
นางวันทองยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาเป็นพัลวันพลางว่าละล่ำละลัก
“น้อง...ฮึก...น้องกลัว...กลัวเหลือเกิน...”
“กลัวอะไร ไม่มีอะไรต้องน่ากลัวเลย” น้ำเสียงเขาอ่อนโยนขึ้นกะทันหัน แต่เอาจริงๆ นะ เขาทำตัวไม่ถูกเลยตอนนี้
“กลัว...กลัวไปหมดทุกสิ่งเจ้าค่ะ...ฮึก...ทุกอย่างน่ากลัวนัก” แทนที่ปลอบแล้วจะเงียบ ดันร้องดังกว่าเดิมอีก “มาโผล่ที่เรือนคุณพี่อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แล้วยังจะมิรู้อีกว่าน้องอยู่ที่ใด คุณพี่ก็ดุน้อง หิวก็หิว น้อง...ฮึก...น้อง...ฮือ...”
คนที่ผ่านไปมาพากันมองเป็นทิวแถว ใส่ชุดไทยมาเดินเตร่ก็ว่าประหลาดแล้ว ยังร้องไห้ลั่น ยิ่งดูเป้นจุดสนใจมากขึ้นไปใหญ่ ขุนพลเลิ่กลั่กไปหมด
ไม่ได้การละ ต้องปลอบจริงจังแล้ว!
“ชู่ว์ ไม่ร้องๆ ไม่ต้องกลัว โอเคไหม ผมอยู่นี่ แล้วนี่หิวใช่ไหม ไปกินอะไรกันไหมครับ แถวนี้มีก๋วยเตี๋ยวร้านอร่อยอยู่ ผมไปกินประจำเลย อยากกินไหม”
ไม่คิดไม่ฝันว่าต้องมาปลอบอะไรใครแบบนี้ แฟนกันก็ไม่ใช่ ความสัมพันธ์อิหลักอิเหลื่อ ไม่รู้จะอธิบายกับคนอื่นอย่างไร เอาแค่บอกตัวเอง ยังบอกไม่ได้เลยว่าเป็นอะไรกับนางวันทอง
ทว่ามันไม่สำคัญเท่ากับการที่คำพูดนั้นทำให้นางวันทองหยุดร้องไห้ได้ เช็ดน้ำตาเร็วๆ พลางมองเขาด้วยสายตาสงสัย
“ก๋วย...กระไรนะเจ้าคะ”
“ก๋วยเตี๋ยว...ไม่รู้จักล่ะสินะ”
นางวันทองพยักหน้ารับตาใส
จู่ๆ ก็เอ็นดูเธอขึ้นมาแฮะ “โอเค งั้นไปกินก๋วยเตี๋ยวก่อนแล้วกัน ผมก็หิวแล้ว”
“แต่คุณพี่ยังจัดการธุระหาได้เสร็จสิ้น...”
“เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลังได้ ผมยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำยังไงต่อ ท้องอิ่มเมื่อไรคงคิดออก กองทัพต้องเดินด้วยท้อง” ว่ายาวเชียว ไม่ใช่อะไร กลัวโดนนางวันทองสำแดงอิทธิฤทธิ์ใส่อีก กลัวที่สุดคือบ่อน้ำตาแตกจนคนมองนี่แหละ
“ได้เจ้าค่ะ คุณพี่สมเป็นทหารนัก ใช้คำเปรียบเปรยได้ฉลาดเฉลียวยิ่ง”
นางวันทองเห็นดีด้วย ขณะที่ขุนพลรู้สึกแปลกอยู่พอสมควร
เขาไม่ใช่ทหารสักหน่อย กองทัพต้องเดินด้วยท้องมันเป็นวลีที่ใครก็พูดกัน หมายถึงถ้าคิดอะไรไม่ออก ให้ไปหาอะไรกินก่อน เดี๋ยวค่อยกลับมาคิดใหม่ แต่เธอคงไม่เข้าใจ อีกอย่างเขารู้สึกว่าเธอกำลังพยายามเอาใจเขาอยู่
ประจบ...ต้องใช้คำนี้
ทว่าเขาไม่คิดอะไรแล้ว กระเพาะเริ่มร้องประท้วง เขาคงต้องใช้กลยุทธ์กองทัพต้องเดินด้วยท้องแล้วจริงๆ
ท้องอิ่มเมื่อไร ค่อยว่ากัน...