บทนำ
ความจริงแล้ว ‘ขุนพล’ เป็นนักบริหารที่ดีทีเดียว เป็นผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มองตลาดของธุรกิจที่ตัวเองทำอยู่ได้เด็ดขาด กระแสไหนจะมาจะไป เขาดูออกหมด จนเป็นที่ไว้วางใจของผู้หรับผู้ใหญ่ในครอบครัวที่ทำธุรกิจค้าขายสินค้านำเข้าและส่งออกหลายตัวให้เป็นผู้ดำเนินการในส่วนต่างๆ อย่างเต็มที่ ต่างจากลูกหลานคนอื่นที่ไม่เอาอ่าวได้เท่าเขา หากแต่ความวุ่นวายของธุรกิจและการที่ต้องทำงานกับคนหมู่มาก ทำให้เขาเบื่อหน่ายเหลือเกิน เขาเป็นคนชอบอ่านหนังสือ เรียกว่าชอบเป็นชีวิตจิตใจเลยก็ว่าได้ วันไหนไม่ได้อ่าน จะมีอาการลงแดงเหมือนขาดยา อาการนี้มากพอๆ กันกับอาการตอนไม่ได้ซื้อหนังสือนั่นล่ะ เวลาเครียดๆ ทีไร เขาจะผ่อนคลายด้วยการอ่านหนังสือ ไม่ก็เพิ่มจำนวนหนังสือในกองดองเป็นงานอดิเรก
ยิ่งระยะหลังๆ มีความเครียดจากการทำงานมากขึ้น กองดองของเขายิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่าทวี เว้นเสียเวลาชั่วโมงในการอ่านหนังสือนั่นล่ะที่ถูกเบียดเบียนไป งานยุ่งเกินกว่าจะมีเวลาให้ส่วนนั้น
เช้าประชุม เย็นประชุม ครั้นมีเวลาเหลือมากพอ ร่างกายกลับเหนื่อยล้าจนไม่สามารถทำในสิ่งที่ตนเองรักได้
เขารักวรรณศิลป์ ไม่ได้รักการบริหาร อยากเรียนภาษาด้วย แต่ดันถูกทางบ้านบังคับสมัยยังเด็กให้ไปเรียนบริหาร ซ้ำยังต้องกลับมาทำงานบริหารอีก เบื่อจะตายอยู่แล้ว!
ขุนพลไม่อาจทนได้อีกต่อไป เขาเป็นเด็กดีของครอบครัวมานานมากพอแล้ว วันดีคืนดีจู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาก่อกบฏ โบ้ยหน้าที่ของตนให้บรรดาญาติพี่น้องวัยไล่เลี่ยกันไปเสียอย่างนั้น
อย่ามาบอกว่าญาติพี่น้องของเขาไม่เอาอ่าว ธุรกิจครอบครัวใหญ่ขนาดนั้น แต่ละคนถูกบังคับไปเรียนบริหารกันเป็นทิวแถว ที่พวกผู้ใหญ่บอกว่าคนอื่นๆ ไม่เอาอ่าวน่ะ ไม่ใช่เลย แค่คนอื่นๆ ไม่ได้ถูกใช้งานหนักเท่าเขาต่างหาก!
ขุนพลไม่คิดว่าตัวเองเก่งกว่าใคร แต่รู้ว่าตัวเองถูกคาดหวังมากกว่าใครเพราะเขาดันเป็นคนมองธุรกิจแตกฉาน เรื่องนั้นมันก็ดีต่อธุรกิจของครอบครัว ทว่าไม่ดีต่อสุขภาพจิตของเขาเลย สุดท้ายแล้วเขาก็หยุดงานทุกอย่าง แยกตัวออกมาซื้อบ้านอยู่คนเดียวย่านปริมณฑล ดำเนินชีวิตตามอย่างที่ต้องการท่ามกลางเสียงคัดค้านของผู้ใหญ่
เขาอยากเป็นครูสอนภาษาไทย…
เป็นความฝันอันสูงสุดเลยทีเดียว และเขาทำตามความฝันนั้นได้เสียด้วย เพราะถึงจะจบบริหารมา แต่ดีกรีความเป็นนักเรียนนอกก็ทำให้โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งรับเขาเข้าทำงานโดยไม่สนว่าปริญญาของเขาจะเป็นสาขาอะไร เพียงแค่เขาเอ่ยปากว่าอยากสอนภาษาไทย ทั้งยังไม่เรียกเงินเดือนแพง ทางโรงเรียนก็รับเข้าทำงานทันทีด้วยยังขาดครูภาษาไทยสำหรับชั้นประถมอยู่
ผิดจากที่คิดไปหน่อยตรงที่เขาอยากจะสอนมัธยม เด็กระดับนั้นมีเรียนวรรณคดีวิจักษ์ ความยากมันมากกว่าระดับประถม แต่ช่างเถอะ ได้สอนก็ดีแล้ว
ชายหนุ่มสอนมาได้เทอมหนึ่งแล้ว เขาปรับเปลี่ยน พัฒนาการสอนอยู่ตลอดเวลา สอนดีไม่ดี ดูจากเด็กๆ ที่ติดเขากันเกรียวได้เลย เพราะถึงเนื้อหาที่สอนจะเข้มข้น ทว่าความขี้เล่น รวยมุกตลกโปกฮา ก็ทำให้การเรียนเรื่องน่าเบื่อเป็นเรื่องสนุกขึ้นมาได้ ขุนพลไม่หยุดพัฒนาแค่นั้นแน่ กำลังใจมาเต็มเปี่ยม เขาต้องพัฒนาตัวเองต่อไป ไม่ใช่เพื่อเด็กนักเรียนเท่านั้น แต่เพื่อสนองนี้ดตัวเขาล้วนๆ
วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เขามีไฟในการทำงานเต็มเปี่ยม ทว่าออกจะเซ็งสักหน่อยที่จู่ๆ ทางโรงเรียนก็เรียกประชุมและประกาศกันทั่วหน้าว่าให้เริ่มทำงานที่บ้านได้ตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป
ใช่...หมายถึง WFH ที่ย่อมาจาก work from home ด้วยภาวะโรคระบาดที่ติดต่อกันอย่างง่ายดายในศักราชนี้น่ะ สำหรับครูอย่างเขาแล้ว การทำงานที่บ้านมันคือการสอนออนไลน์นั่นเอง
เขาไม่เห็นด้วยเท่าไรหรอก รู้ดีว่าการสอนออนไลน์มันลดทอนพลังในการเรียนและการสอนของครูและนักเรียนลงมากโข หากแต่ไม่มีทางเลือก ไหนจะปัจจัยเรื่องอื่นๆ อีก เช่นการเข้าไม่ถึงอุปกรณ์สื่อสาร อินเทอร์เน็ต อะไรต่างๆ ดีที่เขาสอนโรงเรียนเอกชน เด็กส่วนใหญ่ค่อนข้างมีฐานะ ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องนี้สักเท่าไร ซึ่งถ้าเกิดเด็กคนไหนในคลาสเขามีปัญหา เขาพร้อมที่จะมอบอุปกรณ์เหล่านั้นเป็นทุนการศึกษาเลยล่ะ
เอาเถอะ คิดวุ่นวายไปก็เท่านั้น เขาทำได้อย่างเดียวในตอนนี้คือการทำอย่างไรก็ได้ให้คลาสของเขาไม่น่าเบื่อ ดึงดูดความสนใจของนักเรียนให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะบทเรียนใหม่ที่เขากำลังจะสอน
เรื่อง...ขุนช้างขุนแผน
ชายหนุ่มคิดครุ่นไม่ตกว่าจะปรับเนื้อหาอย่างไรให้นักเรียนเข้าใจง่ายและใช้เวลาในการเรียนสั้นที่สุด เนื้อหาเรื่อง
ขุนช้างขุนแผนค่อนข้างน่าเบื่อมากทีเดียว ไม่ใช่ว่าไม่สนุกอะไรหรอกนะ เขาไม่ชอบตัวละครเอกสองคนอย่างขุนแผนและขุนช้างน่ะ เหตุผลที่ไม่ชอบก็…
ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นร้านหนังสือเก่าที่อยู่ข้างทางเสียก่อน ขุนพลชะงักขาที่กำลังเดินไปตามฟุตปาธทันที ปกติเส้นทางนี้ไม่มีร้านหนังสือนี้นี่นา เขาเดินไปกลับจากโรงเรียนไปบ้านทุกวัน ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
เขาไม่มาอธิบายหรอกนะว่าการที่เดินไปกลับบ้านกับโรงเรียนเป็นเพราะบ้านของเขาอยู่ใกล้ที่ทำงาน ห่างกันไม่ถึงสองกิโลเมตร เขาเลยไม่ใช้รถ เดินเอาเพื่อจะได้ออกกำลังกายนิดๆ หน่อยๆ ทุกวันด้วย เอาแต่ยืนนิ่ง จ้องมองไปยังร้านหนังสือในห้องแถวชั้นเดียวเล็กๆ ด้วยความสงสัย
น่าแปลก...มาเปิดตั้งแต่เมื่อไร บนที่เปลี่ยวๆ แบบนี้ด้วย แถมยังดู...เก่า
ไม่อยากใช้คำว่าโทรม ความจริงแล้วร้านหนังสือร้านนี้ไกลจากคำว่าเก่าอยู่มากโข
กระนั้นขุนพลก็ไม่ได้คิดครุ่นอะไรมาก เขาเป็นหนอนหนังสืออยู่แล้วนี่ ไม่ว่าจะหนังสือเก่าหรือใหม่ ล้วนแล้วอ่านได้ทั้งสิ้น มีร้านหนังสือเก่ามาเปิดแถวนี้ก็ดี เขาขอเข้าไปดูหน่อยแล้วกันว่ามีขุนทรัพย์อะไรซ่อนอยู่บ้าง เผื่อจะได้ติดไม้ติดมือกลับบ้านสักเล่มสองเล่ม
ขายาวก้าวเข้าไปในร้าน สายตากวาดมองบรรดาหนังสือที่กองเป็นตั้ง มือเลือกเล่มนั้นเล่มนี้พลิกอ่านปกหน้าปกหลังดูไปมา หนังสือส่วนใหญ่เป็นหนังสือที่เขาไม่รู้จักมาก่อน บางเล่มตีพิมพ์ก่อนเขาเกิดด้วยซ้ำ เดาเอาว่าคงจะเป็นหนังสือไม่ดัง หรือไม่ก็เป็นของนักเขียนไม่ดัง อีกทั้งเนื้อหายังดูไม่น่าสนใจ
สงสัยเขาจะมาเสียเที่ยวแล้ว
“ไม่มีอะไรน่าสนใจเหรอพ่อหนุ่ม?”
ไม่ทันที่ขุนพลจะตัดสินใจก้าวออกจากร้าน เสียงแหบทุ้มของใครบางคนก็ดังขึ้น ดวงตาหลังเลนส์แว่นสายตามองไปตามต้นเสียง พลันพบว่าเป็นเสียงของชายชราผมสีดอกเลา นุ่งเพียงผ้าลายเสือตัวเดียว โผล่หน้าออกมาจากโต๊ะที่ดูแล้วน่าจะเป็นเคาน์เตอร์คิดเงิน
"ครับ ผมยังไม่มีเล่มไหนถูกใจน่ะ" ตอบกลับอย่างสุภาพที่สุด การพลาดโอกาสในการขาย ทำให้เจ้าของธุรกิจเล็กๆ ผิดหวังได้ง่ายดายเลยนะ
"อ้อเหรอ แล้วสนใจหนังสืออะไรอยู่ล่ะ" อีกฝ่ายถามกลับ ดูเหมือนจะไม่ยอมปิดการขายง่ายๆ
"ผมสนใจหนังสือพวกตำนานพื้นบ้านไทย ไม่ก็พวกวรรณคดีไทยน่ะครับ" ในเมื่อไม่ยอมปิดการขายง่ายๆ เขาก็บอกความต้องการไปละกัน เผื่อว่าจะมี
"อ้อ ไม่มีหรอก มาเสียเที่ยวแล้วล่ะพ่อหนุ่ม" พูดเหมือนกับที่ขุนพลคิดไว้ในใจก่อนหน้านี้เลย
ขุนพลไม่ได้ว่าอะไร เขาพยักหน้าน้อยๆ เตรียมจะหันหลังหมุนตัวออกจากร้าน ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อหูได้ยินเสียงตึงตังตามหลังมา
หนังสือตั้งหนึ่งที่วางอยู่บนชั้นอะไรสักอย่างร่วงกราวไม่มีปี่มีขลุ่ย เจ้าของร้านชรายืนอยู่ตรงนั้นพอดี ขุนพลรีบก้าวเข้าไปหา ถามด้วยความเป็นห่วง
"เป็นอะไรไหมครับคุณตา?"
"ไม่เป็นไรๆ ข้าไม่ได้บาดเจ็บอะไร ว่าแต่เอ็งเถอะ เรียกข้าว่าตาเลยเรอะ!?" น้ำเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย ใบหน้าย่นยู่ บ่งบอกว่าไม่พอใจกับสรรพนามนั้นหน่อยๆ
"ขอโทษครับคุณลุง แต่ไม่เป็นอะไรแน่นะครับ?" ขุนพลไม่ได้สนใจ คนตรงหน้าแก่จนเรียกตาได้เลยนี่นา แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ชอบ เขาเรียกลุงก็ได้
"บอกว่าไม่เป็นไรไง บ๊ะ! เอ็งนี่เซ้าซี้จริงเชียว!"
ขุนพลไม่อยากถือสาอะไรหรอก แต่คุณตา...อืม คุณลุงคนนี้ดูผิดไปจากตอนแรกเหลือเกิน เห็นท่าทางใจดี ไม่คิดว่าจะ
ขี้หงุดหงิดด้วย คงหงุดหงิดเพราะของร่วงล่ะมั้ง ที่สำคัญ พูดจาสำนวนแปลกๆ แฮะ เหมือนหลุดออกมาจากยุคสมัยโบราณ
สักยุค
"ไม่เป็นไรก็ดีแล้วครับ งั้นผมช่วยเก็บนะ"
ไม่รอให้อนุญาต ขุนพลก็นั่งย่อลงยองบนพื้น เก็บหนังสือที่กระจัดกระจายขึ้นมาตั้งบนโต๊ะเคาน์เตอร์เสียแล้ว รู้ว่าอีกฝ่ายเก็บไม่ไหวหรอก สภาพดูแล้ว นั่งก็โอย ลุกก็โอยอย่างแน่นอน
"ขอบใจมาก ดูเจ้าสำอางอย่างเอ็ง แท้จริงก็มีน้ำใจเหมือนกันนะ"
ขุนพลคลี่ยิ้ม ถึงคำพูดจะดูแปลกๆ แต่เขาจะถือว่าเป็นคำชมแล้วกันนะ
"ไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ" พลันเขาก็ทำท่าจะจากไปอีกครั้ง
ทว่าการหันหลังของเขาครั้งนี้ก็เป็นอันต้องชะงักงัน
อีกครา ไม่ใช่เพราะหนังสือหล่นอีก แต่เป็นเพราะคุณตาคนนี้แหละ!
"ก่อนจะไป ข้าวานเอ็งสักอย่างสิ"
"ครับ?"
"ช่วยเอื้อมหยิบหนังสือในตู้นั้นให้ที ข้าเอื้อมไม่ไหว หลังมันตึง" พยักพเยิดไปยังชั้นที่บรรจุหนังสือข้างใน มันเป็นชั้นติดผนังที่มีหนังสือกองโตวางอยู่บนนั้นนั่นล่ะ ส่วนไอ้เรื่องหลังตึงนั้นไม่น่าจะใช่ แก่จนกระดูกคดโค้งแล้ว เหยียดตัวไม่ได้มากกว่า
"เอาเล่มไหนครับ"
"เล่มทางขวา เออๆ นั่นแหละ"
เจ้าของร้านร้องบอก ขุนพลไม่เห็นว่ามันเหนือบ่ากว่าแรง เปิดประตูตู้ หยิบเอาหนังสือเล่มที่คนอาวุโสกว่าต้องการออกมาให้ หากแต่ระหว่างที่ทำอย่างนั้น เขาก็เหลือบไปเห็นสันหนังสือที่ปกทำจากหนังวัวอย่างดีสีน้ำตาลเข้ม เย็บกี่เข้าเล่มด้วยมือ บนสันสลักตัวหนังสือสีทอง บอกชื่อหนังสือแต่ละเล่มเข้าให้
มันเป็นหนังสือวรรณคดี!
รับรู้ได้โดยทันที เพราะตัวหนังสือบนสันนั้นล้วนแล้วเป็นชื่อนางในวรรณคดีทั้งสิ้น ทั้งวันทอง ผีเสื้อสมุทร กากี
อืม...บางคนก็ไม่ใช่นางเอกของเรื่อง บางคนก็ไม่ได้มาจากวรรณคดี เป็นตำนานพื้นบ้าน แต่เขาจะถือว่าเป็นวรรณคดีไปแล้วกัน
"ขอบใจมาก เอ็งกลับไปได้ละ หมดธุระแล้ว" ออกปากไล่หน้าตาเฉย
หากแต่ขุนพลหยุดยืนนิ่ง
"หนังสือพวกนั้นไม่ขายเหรอครับ?" รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ ถูกเก็บอย่างดีขนาดนั้น แถมแต่ละเล่มใหม่เอี่ยมอ่อง ฝุ่นสักนิดก็ไม่จับ ดูท่าเจ้าของจะหวงมาก
"ไม่ขาย" เป็นจริงอย่างที่คิดเมื่อ 'เจ้าของหนังสือ' ปฏิเสธ
"ทำไมล่ะ มันก็เก่าแล้วไม่ใช่เหรอครับ"
"เก่าเก็บ ไม่ใช่สภาพเก่า" เจ้าของร้านเถียง "หากข้าจะขาย ข้าขายให้เอ็งตั้งแต่ที่ได้ยินเอ็งบอกว่ากำลังหาหนังสืออะไรแล้ว" พลันเสริมมาอีก
นั่นก็จริงอยู่ ขุนพลไม่แปลกใจหรอก แต่เขาเป็นนักธุรกิจมาก่อน เป็นนักต่อรองตัวยง เมื่ออยากได้สินค้าสักชิ้น เขาย่อมต้องมีวิธีพูดเพื่อให้ได้มาอยู่แล้ว
"แต่ผมให้ราคาสูงได้นะครับ คุณตาจะได้เอาไปปรับปรุงร้านให้น่าเข้ามากขึ้น ลูกค้าจะได้เยอะขึ้น เพิ่งเปิดร้านใหม่ไม่ใช่เหรอ การเรียกลูกค้าด้วยการจัดร้านดีๆ มันสำคัญนะครับ"
"อุบ๊ะ! ตามารดาเอ็งสิ!" ถึงกับตบเข่าฉาด ไอ้ที่ชายหนุ่มพูดมาก่อนหน้าไม้ได้เข้าหูสักนิด
"โอเคครับคุณลุง ผมขอโทษครับ" ขุนพลยกมือทั้งสองข้างขึ้นในอากาศเป็นเชิงยอมแพ้ "แต่ที่ผมพูดเรื่องจัดร้าน ผมพูดจริงนะครับ ผมเรียนบริหารธุรกิจมา ผมเลยอยากแนะนำให้ในฐานะ...ลูกค้าที่เข้าร้าน" อ้างไปเลยแล้วกัน ประเมินจากสายตา ร้านสภาพอย่างนี้คงไม่ค่อยมีใครเข้ามาสักเท่าไรหรอก คำพูดของเขาอาจทำให้คนทำธุรกิจสนใจได้
“แล้วยังไง?” เจ้าของร้านเหล่มอง สายตาไม่ได้ระบายคำถามอย่างที่ปากเอ่ย
“ก็...ผมแค่อยากเสนอว่าถ้าคุณลุงขายหนังสือพวกนั้นให้ผม ผมจะทำแผนธุรกิจของร้านคุณลุงให้น่ะครับ” ขุนพลไม่รอช้าที่จะบอก
แต่แล้วก็ได้รับสายตาเรียบเฉยกลับมาอีก
“ไม่ล่ะ ข้าไม่สน” ปฏิเสธชัดเจนเสียด้วย
“แต่…”
“กลับไปได้แล้วพ่อหนุ่ม ไม่มีเหตุผลอะไรที่เอ็งจะอยู่ที่นี่แล้ว”
ขุนพลได้แต่อ้าปากพะงาบๆ ทำไมเขาจะไม่มีเหตุผลที่อยู่ต่อล่ะ มีสิ! หนังสือพวกนั้นไง!
“เดี๋ยวสิครับคุณลุง แผนธุรกิจของผม ผมรับประกันเลยนะว่ามันช่วยร้านคุณลุงได้”
“ข้าไม่สน! กลับไปได้แล้ว!”
“ขอร้องล่ะครับ ผมทำแผนธุรกิจให้ฟรีๆ ก็ได้ ขายให้ผมสักเล่มก็ยังดี”
ขุนพลไม่เคยตื๊ออะไรใครอย่างนี้มาก่อนเลย แม้แต่คู่ค้าทางธุรกิจสำคัญของครอบครัวก็ตามที เขาถือว่าการต่อรองกับคนที่ไม่สนใจเป็นเรื่องเสียเวลา แต่กับเรื่องนี้...เรื่องของหนังสือที่เขาอยากได้ เขาต้องตื๊อเอาจนได้แหละ
“ขายให้สักเล่ม?”
ดูเหมือนจะได้ผลแฮะเพราะจู่ๆ ชายชราก็เลิกคิ้วสูง
“ครับ สักเล่มนึง” ขุนพลย้ำ
อีกฝ่ายไม่ตอบรับอะไร ยกแขนขึ้นเท้าสะเอวข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างลูบปลายคางตัวเอง
“นะครับ หนังสือพวกนั้นมันสวยมาก ผมรู้ว่าคุณลุงดูแลเป็นอย่างดี แล้วผมก็เสียมารยาทมากทีเดียวที่มาขอซื้ออย่างนี้ แต่...” สูดหายใจเข้าปอดเฮือกหนึ่ง ก่อนว่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมอยากได้จริงๆ ครับ”
ความเงียบงันเข้าปกคลุมระหว่างชายต่างวัยทั้งสองทันที ขุนพลอึดอัดไม่น้อย บอกตามตรงว่าเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้อยากได้หนังสือพวกนั้นนัก โอเค...นอกจากมันจะเป็นวรรณคดีแล้ว มันยังสวย เป็นหนังสือเก่าที่จัดทำอย่างละเอียด เผลอๆ จะไม่ได้ตีพิมพ์ด้วยเครื่องจักร แต่เขียนด้วยมือด้วย ดูอย่างไรก็เลอค่า แล้วก็ยัง...
...มีแรงดึงดูดอย่างประหลาด
ขุนพลรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เขาอยากได้จนไม่อาจถอนความตั้งใจเลยล่ะ
“จะขายให้ก็ได้ แต่เล่มเดียวนะ”
ชายหนุ่มแทบจะร้อง ‘เยส!’ ออกมา ในที่สุดเจ้าของก็ใจอ่อน
“เลือกเอาแล้วกัน อยากได้เล่มไหนก็เอาไป เอาเล่มที่อยากได้ที่สุด”
“ได้ครับ”
“แต่มีเงื่อนไขข้อนึง”
ขุนพลชะงักอีกระลอก นี่เขาต้องชะงักอีกกี่รอบกันนะ?
“อะไรเหรอครับ”
“ถ้าเลือกไปแล้ว มันกลายเป็นของเอ็งแล้ว เอ็งห้ามเอามาคืน...เด็ดขาด”
“ทำไมเหรอครับ”
“ไม่ต้องถามมาก จะเอาไหม ถ้าไม่เอาก็กลับไปซะ”
เอาสิ เอา! ถึงเงื่อนไขจะแปลกๆ ก็เถอะ
“งั้นผมเลือกเลยนะครับ”
ไม่มีเหตุผลที่จะต้องคุยอะไรอีกต่อไปแล้ว พอเห็นเจ้าของร้านพยักหน้า ขุนพลก็ไล่สายตาไปตามสันหนังสือที่วางเรียงรายอยู่ในตู้ ก่อนสะดุดตาเข้ากับหนังสือเล่มหนึ่ง จนเขาหยิบมันออกมา
“วันทอง เอาเล่มนี้ล่ะ!”
ไม่ใช่ขุนพลที่พูด เป็นเจ้าของร้านที่พูด ขุนพลตาเหลือกทันที
“แต่ผมยังไม่ได้...”
“เลือกแล้ว เล่มนั้นไง”
“แต่...”
“วางเงินไว้แล้วไปได้ ข้าจะปิดร้านแล้ว”
ขุนพลเงอะงะไปหมด ไม่รู้จะทำอย่างไรดี แต่เห็นสายตาของคนอาวุโสกว่าที่มองมาเป็นเชิง ‘ถ้าไม่วางเงินแล้วไปสักที ข้าจะเปลี่ยนใจไม่ขายให้แล้วนะ’ เขาจึงไม่พูดอะไร นอกจากล้วงเอาแบงก์เทาออกจากกระเป๋าเงินแล้ววางเอาไว้บนโต๊ะเคาน์เตอร์
“เอ้า ไปได้แล้ว อย่ามัวพิรี้พิไร” ชายชราโบกมือไล่
ขุนพลยกมือไหว้แล้วจากมา หากทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็รู้สึกว่าสิ่งที่ตนทำนั้นไม่ถูกต้องเอาเสียเลย แต่เมื่อหันหลังกลับไป หมายจะขอโทษที่ทำเสียมารยาทสักหน่อย ประตูร้านหนังสือนั่นก็ถูกปิดลงเสียแล้ว
เอาเถอะ ไว้เขาค่อยมาขอโทษวันหลังแล้วกัน ไหนๆ ก็เดินผ่านทางนี้ทุกวันอยู่แล้ว มีขนมติดไม้ติดมือมาฝากหน่อยก็ดี เผื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่ขุ่นเคืองเขานานนัก
ส่วนเขา...แค่ได้หนังสือมาก็แฮปปี้แล้ว