แพงที่เดินเรียบ เงียบ เบา ยายน้อมซึ่งอยู่ในวัยชรา แทบไม่ทันได้สังเกตสังกาถึงการมาของหลานสาว
“จ๊ะเอ๋!...” เสียงทักทายดังลั่นทั้งที่เจ้าตัวยังยืนหลบอยู่หลังประตู สาวน้อยยื่นใบหน้าเพียงครึ่งออกมาทักทายยายน้อม
“ว้าย !...ไอ้นั่นฉันหล่น…อกอีแป้นจะแตก” ยายน้อมอุทานลั่น ด้วยความตกใจ ก่อนจะยิ้มออกมา เมื่อดวงตาฟ่าฟางที่ก้มมองลอดแว่น สะดุดเข้ากับใบหน้าของหลานสาวที่ยายน้อมเฝ้ารอคอยด้วยความคิดถึงตลอดมา
“นั่นดาวจริงๆใช่ไหม?” ยายน้อมละล่ำละลัก ละจากเชี่ยนหมากตรงหน้า พยายามจะก้าวลงมาหาร่างระหงของหลานสาว แต่ช้ากว่าดาวเรียงที่เป็นฝ่ายรี่เข้าไปโอบกอดยายน้อมเสียเอง
ผู้หญิงที่เพิ่งลงไปเปิดประตูให้เมื่อครู่ ยืนมองหญิงสาวต่างวัยสวมกอดกันกลม ภาพนั้นทำให้ถึงกับน้ำตาไหล
ดาวเรียงร้องไห้ออกมา เช่นเดียวกับหญิงชรา ไม่อาจกลั้นน้ำตาที่รินพร่างออกมาเป็นสาย
“คิดถึงยายเหลือเกิน” หล่อนกล่าวทั้งเสียงสะอื้น
กลิ่นไอดินและสายหมอกยามเช้าโชยมาแตะจมูกของหญิงสาว ความทรงจำเก่าๆกำลังต้อนรับเธอกลับบ้าน ยืนยันด้วยกลิ่นหมาก กลิ่นเสื้อผ้า กลิ่นกายของผู้หญิงชราคนหนึ่งที่เลี้ยงดูราวกับเป็นแม่บังเกิดเกล้าของเธอ ความทรงจำเก่าๆกำลังกระตุ้นต่อมน้ำตาให้ไหลบ่าออกมาเป็นสาย
“ดาวของยาย...อย่าร้องไห้สิลูก”
ยายน้อมปลอบหลานสาว ทั้งที่หยาดน้ำตายังคลอเคลีย ราดเรี่ยอยู่ที่เบ้าตาตัวเอง
“ร้องไห้เพราะคิดถึงยายน้อมค่ะ” หญิงสาวปาดน้ำตา ก้มลมหอมแก้มเหี่ยวย่นของยายน้อมฟอดใหญ่
“ยายอยู่ตรงนี้แล้วนี่ไง...” กล่าวจบยายน้อมก็ถอยห่างออกไปเพียงน้อย เพื่อจะมองใบหน้าของหลานสาวให้ชัด ถนัดถนี่
“ดาวคิดถึงยายค่ะ”
“คิดถึงยายก็มาหายาย...ยายรออยู่ตรงนี้ และจะรอตลอดไป รู้ไหมว่ายายคิดถึงเอ็งใจจะขาด จะไปหาที่กรุงเทพฯรึ!...สังขารก็ไม่เอื้ออำนวย จะลุกก็โอย จะนั่งก็โอย ร่วงโรยไปตามสภาพอย่างที่เอ็งเห็นนี่แหละ” ยายน้อมกล่าวเหมือนรำพึงชีวิต สองมือกร้านของยายน้อม กอบใบหน้าของหลานสาวเบาๆ โน้มใบหน้าเข้ามามองจนชัด
“จะมา…ทำไมไม่บอกยายก่อน”
“ถ้าบอกก่อนจะได้ฟังเสียงอุทานของยายหรือจ๊ะ” หญิงสาวว่า
ประโยคนั้นเรียกรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นตรงมุมปากที่แลเห็นริ้วรอยย่นของยายน้อม ดาวจำคำอุทานที่ไม่เหมือนใครของยายน้อมได้ไม่เคยลืม ทุกครั้งที่ตกใจ ยายน้อมมักจะอุทานออกมาว่า ‘ว้าย!...ไอ้นั่นฉันหล่น’ ดาวยังเคยกระเซ้าบ่อยๆว่า ‘ไอ้นั่นของยายน่ะ!...มันอะไรกันนะ?’ และยายน้อมก็อายจนหน้าแดงทุกครั้งไป ก่อนจะไปล่ไปว่า ‘ช่างมันเหอะ!...อย่ารู้เลย’ นึกมาถึงตรงนี้ทีไร ดาวก็หัวเราะออกมาทุกที
“มันน่าตีนัก...ชอบแกล้งยาย” มื้อกร้านที่แลเห็นเส้นเป็นปูดโปน จับต้องไปที่เนื้อตัวของหลานสาวเบาๆ ราวกับสำรวจความเปลี่ยนแปลงจากความเปล่งปลั่งที่เห็น ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงตัดพ้อและแววตาน้อยใจฉายชัด
“สองปีแล้วสินะที่ยายไม่เห็นหน้าเอ็ง... ยายคิดว่าชีวิตนี้…เอ็งจะไม่กลับมาหายายซะแล้ว”
“ดาวขอโทษ” หญิงสาวยกมือไหว้ทั้งน้ำตา หญิงชราเอื้อมมือที่สั่น โอบรับกระพุ่มมือน้อยๆของหลานสาว
“ยายไม่เคยโกรธเอ็ง…ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันไหน ยายก็ไม่โกรธ”
กล่าวจบ สองยายหลานก็โผเข้ากอดกันกลมอีกครั้ง
เมื่อคลายกอดจากยายน้อม ดาวหันมาสวมกอดกับลำเจียกที่ยืนน้ำตาซึมอยู่ข้างๆทันที
ดาวรักลำเจียกเหมือนพี่สาวคนหนึ่ง ลำเจียกเป็นญาติทางฝ่ายสามีของยายน้อม สามีของยายน้อมพาลำเจียกซึ่งเป็นหลานกำพร้าทั้งพ่อและแม่มาเลี้ยงดูด้วยความสงสาร ตั้งแต่เด็กๆ ครั้นภายหลังจากสามีของยายน้อมเสียชีวิต ยายน้อมก็รับหน้าที่เลี้ยงดูลำเจียกเรื่อยมา
ลำเจียกช่วยแบ่งเบาภาระงานเรือนของยายน้อมด้วยความแข็งขัน เป็นเหมือนพี่สาวที่ช่วยดูแลดาวกับเดือนมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ เรื่องความสนิทสนมคุ้นเคยกัน คงไม่ต้องสงสัย ยืนยันด้วยภาพที่ทั้งสอดสวมกอดกันกลมด้วยความคิดถึงและรักใคร่
ภายหลังจากทักทายกันอยู่พักใหญ่ๆ ดาวรู้สึกง่วงและเพลีย สิ่งที่ร่างกายเรียกร้องต้องการมากกว่าอาหาร คือการพักผ่อนนอนหลับ ขณะนั้นเป็นเวลาตีห้า ดาวขอตัวไปพักผ่อน นอนสักสองชั่วโมงก็พอเพียงแล้วสำหรับคนที่งานรัดตัว กินนอนไม่เป็นเวลาอย่างเธอซึ่งนอนน้อยจนติดเป็นนิสัย
ดาวฝากให้ลำเจียกช่วยปลุกตอนเจ็ดโมงเช้า ก่อนจะหายเข้าไปในห้องนอนห้องเก่าของตน ห้องที่เคยนอนตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก
เมื่อก้าวเข้าไปในห้อง ดาวกวาดสายตามองดูเตียงนอนอุ่นนุ่ม ผ้าปูที่นอนผืนเดิม ลายดอกเดซี่สีขาวยังจำได้ ชายผ้าปูที่นอนทุกด้านถูกขึงตึง สะอาดสะอ้าน ไม่มีฝุ่นแม้แต่น้อย เพราะยายน้อมกำชับให้ลำเจียกเข้ามาทำความสะอาดทุกวี่วันมิได้เว้น ราวกับยายน้อมหยั่งรู้ว่าวันหนึ่ง…ดาวจะต้องกลับมา หลังจากที่ยายน้อมได้พิสูจน์ด้วยเวลากว่าค่อนชีวิตของตนแล้วว่าไม่มีที่ไหนในโลกกว้างใหญ่ใบนี้ จะอบอุ่นเท่ากับเรือนไม้หลังน้อยที่เต็มไปด้วยความรักและความทรงจำแห่งนี้
“เจ้าหมีน้อย” ดาวเรียกชื่อของมันเบาๆ คว้าตุ๊กตาหมีตัวสีน้ำตาลตัวเดิมที่เคยเป็นของเธอ ขึ้นมากอดจูบมันเบาๆ มือเรียวลูบไล้ขนนุ่มพองของมันไปมา ทักทายราวกับว่ามันมีชีวิต
หากเจ้าตุ๊กตาหมีตัวนั้นมีชีวิต มันคงยิ้มหน้าบาน และคงรู้สึกอุ่นขึ้นมากับยามเช้าที่เหน็บหนาว เพราะมันถูกทิ้งเอาไว้ นานแล้ว…ที่ไม่มีใครกอดมัน
ดาวเรียงกวาดสายตามองดูทุกอย่างในห้อง ข้าวของทุกๆอย่างที่เคยเป็นของเธอ ยังคงวางอยู่ในตำแหน่งที่คุ้นตา หลายอย่างแทบไม่ถูกเคลื่อนย้ายไปจากตำแหน่งเดิมของมัน กรอบรูปเรซิ่นสีเขียวเทอร์คอยซ์ที่หัวเตียง มีรูปตัวเองหอบช่อดอกไม้ ยิ้มแก้มป่องสู้กล้อง เมื่อวันรับปริญญา
หนังสือในชั้นวาง ยังคงวางเรียงอยู่อย่างเป็นระเบียบเหมือนไม่เคยมีใครหยิบออกมาอ่านอีกเลย นับจากวันที่เธอจากไป โหลแก้วใส่ปากกา นาฬิกาไม้ที่ข้างผนัง ทุกอย่างยังคงเดิม
หญิงสาวก้าวไปที่หน้าต่างที่เปิดรับลมเอาไว้ตามคำสั่งของยายน้อมว่าแม้เจ้าของห้องไม่อยู่ ก็ไม่ต้องปิดหน้าต่าง อยากให้อากาศได้ระบายถ่ายเท มากกว่าจะปิดทิ้งเอาไว้ให้ห้องอับ
ดาวเรียงทอดสายตาลอดม่านลูกไม้สีขาวครีมที่ชายด้านหนึ่งของมัน ถูกรวบรั้งไปผูกเอาไว้กับขอบหน้าต่าง ดงกล้วยน้ำว้าเบื้องหน้า ระบัดใบไหวๆอยู่ในสายหมอก แลเห็นหัวปลีสีแดงแทรกอยู่ในกอใบเขียวครึ้ม สีแดงและเขียวตัดกันอย่างเห็นได้ชัด บางต้นสูงชะลูดขึ้นมาถึงขอบหน้าต่าง
หญิงสาวรู้สึกปวดแปลบ…ที่เห็นกอก้วยน้ำว้าตรงนั้น ‘ความรักที่หล่อนเคยมีต่อผู้ชายคนหนึ่ง…ถูกฝังเอาไว้ที่นั่น พร้อมกับการทรยศของพี่สาวที่ชื่อเดือน’
ดาวเกาะขอบหน้าต่าง มองดูดงกล้วยน้ำว้าทั้งน้ำตา และอารมณ์ที่เหว่ว้า ความเจ็บแปลบที่ถูกกาลเวลากดให้มันตกตะกอนนอนก้นอยู่ในใจมานานกว่าสองปี…กำลังถูกความทรงจำเก่าๆตีกวนให้