ผ่านไปแล้วหนึ่งอาทิตย์ บิดาของซูเม่ยก็ยังไม่ได้มาตามคำที่บอกเอาไว้ ไม่รู้ว่าติดงานด่วน หรือว่าลืมไปแล้วว่าต้องมาหาบุตรตามที่เคยได้ฝากคนบอกไว้
แต่นางก็ไม่ได้รอแต่อย่างใด นางไม่มีเวลามานั่งคอยบิดาคนนี้เท่าไหร่นัก เพราะขนมไร้กังวลนั้นเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น เพราะลี่ฮวาทำการค้าดีมาก นางแนะนำลูกค้าทั้งใหม่และเก่าให้รู้จักขนมไร้กังวล และบอกคุณประโยชน์ของขนม จนลูกค้าที่มาซื้อเริ่มพูดบอกกันปากต่อปาก จากทำวันละสิบห้าชิ้น เป็นวันละสามสิบชิ้น จนทุกวันนี้เป็นวันละสี่สิบชิ้นแล้ว
"ท่านป้าลี่ฮวา ข้านำขนมสี่สิบชิ้นมาส่งเจ้าค่ะ"
"คุณหนูซูเม่ยมาแล้วหรือ เด็กๆไปรับขนมมาจัดในร้าน คุณหนูเชิญนั่งก่อนๆ"
"เจ้าค่ะ" ซูเม่ยเดินเข้าไปนั่ง
"คุณหนูซูเม่ยตอนนี้ขนมของท่านขายดีเป็นอย่างมาก"
"เป็นเพราะท่านป้าลี่ทำการค้าดีมากเจ้าค่ะ ทุกคนถึงได้รู้จักขนมไร้กังวล"
"คุณหนูท่านก็ชมเกินไปแล้ว จริงสิ ข้ามีอีกเรื่องจะบอกเจ้าค่ะ มีขุนนางท่านหนึ่งมาสั่งขนมไร้กังวลห้าสิบชิ้นเจ้าค่ะ จะมารับวันพรุ่งนี้" นางตาโต ขุนนางคนไหนกันมาสั่งขนมเยอะขนาดนี้
"เป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ทำไมถึงสั่งเยอะขนาดนี้เล่าเจ้าคะ"
"คืออย่างนี้คุณหนู เมื่ออาทิตย์ก่อนขุนนางท่านนี้เดินทางมาทำธุระที่เมืองฝูโจวของเรา เลยมาแวะซื้อขนมนำไปฝากภรรยาและลูกสาว ปรากฎว่าทั้งภรรยาและลูกสาวชอบขนมของท่านมาก จึงให้ขุนนางท่านนี้เดินทางมาซื้ออีกครั้งเพราะจะนำไปเป็นของว่างตอนรับญาติที่จะมาจวนก็เลยสั่งขนมห้าสิบชิ้นเจ้าค่ะ" ลี่ฮวาพูดไปยิ้มไปอย่างมีความสุข
"ได้เจ้าค่ะ แล้ววันพรุ่งนี้ให้ข้าทำขนมมาส่งที่ร้านทั้งหมดกี่ชิ้นเจ้าคะ"
"ของขุนนางห้าสิบชิ้น วางขายที่ร้านอีกสี่สิบชิ้น ทั้งหมดเก้าสิบชิ้นเจ้าค่ะคุณหนูท่านทำไหวหรือไม่เจ้าคะ"
"ไหวเจ้าค่ะท่านป้าลี่ ข้าจะนำขนมมาส่งให้เวลาเดิมนะเจ้าคะ"
"นี่เงินหนึ่งร้อยยี่สิบเหวินค่าขนมวันนี้เจ้าค่ะ" นางรับเงินมา และกล่าวลาลี่ฮวา
หลังจากออกจากร้านขนมลี่ฮวานางก็เดินไปซื้อของมาขนมต่อ ด้วยจำนวนที่ต้องใช้เยอะในทุกวัน นางเลยบอกกับแม่ค้าที่ขายซานเหย้าและมันม่วงให้นำไปส่งที่จวนของนางทุกๆสองวัน นางจะได้ไม่ต้องเดินมาซื้อบ่อยๆ
กลับมาถึงจวนนางก็บอกข่าวดีกลับคนในจวนเรื่องที่มีคนซื้อขนมถึงห้าสิบชิ้น ทุกคนดูดีใจเป็นอย่างมาก เพราะหากขายได้เยอะก็ยิ่งมีเงินเยอะมากขึ้น ส่วนสาวใช้อย่างพวกนางก็จะได้มีเงินเพิ่มขึ้นส่งให้ครอบครัวตัวเองใช้ได้เยอะขึ้น
หลังบอกข่าวดีเสร็จแล้วนางก็เดินเข้าครัวมาเพื่อแกะสบู่ออกจากพิมพ์ไม้ เมื่อหลายวันก่อนมะพร้าวถูกส่งมาถึงจวนแล้ว นางจึงเร่งทำน้ำมันมะพร้าวและทำสบู่เพิ่มขึ้น ในครั้งนี้นางไม่ได้ทำสบู่แครอทเพิ่ม แต่ทำสบู่อีกสองสูตรเป็นสบู่แตงกวาใบบัวบก ที่ช่วยคืนความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวเนียนใส เหมาะกับทุกสภาพผิว กับสบู่น้ำมันมะพร้าว ที่ช่วยลดความแห้งกร้านเพิ่มความชุ่มชื้นของผิว ลดความหย่อนคล้อยของผิวและขจัดความมัน เหมาะสำหรับผิวที่แพ้ง่าย ทำออกมาแล้วได้สบู่สูตรละสิบสองก้อน นำออกมาสูตรละสองก้อนเพื่อเก็บไว้นำมาทดลองใช้ และอีกอย่างละสี่ก้อนมาตัดแบ่งครึ่ง และนำไปวางไว้ในที่แห้ง
"พี่หญิงใหญ่" เสียงของซูลี่ดังขึ้น ร่างของนางกำลังเดินเข้ามา ทำให้ซูเม่ยที่กำลังนั่งเขียนบัญชีอยู่เงยหน้าขึ้นมองเมื่อรู้ว่าเป็นน้องสาวจึงยิ้มต้อนรับ
"ลี่เอ๋อร์มีอะไรเหรอ แล้วฉีเอ๋อร์ไม่มาด้วยเหรอ" ซูลี่ส่ายหน้า และเข้ามานั่งตรงข้ามกับร่างของซูเม่ยผู้เป็นพี่สาว
"พี่อี๋นั่วออกไปก่อน ข้าจะคุยกับพี่หญิงใหญ่ตามลำพัง" อี๋นั่วจึงเดินออกไปตามคำสั่ง
"แล้วเจ้ามีอะไร หรือจะมานั่งเล่นกับข้า" นางวางพู่กันลง ซูลี่นั่งมองหน้านางก่อนจะเอ่ยคำออกมา
"ข้ามีเรื่องจะถามท่านเจ้าค่ะ"
"ว่ามาสิ" น้องสาวผู้นี้ดูต่างจากซูฉีเล็กน้อย ดูนิ่งกว่า ไม่ค่อยขี้เล่นซุกซนเหมือนกัน แต่ยังดีที่ยิ้มง่ายและชอบกินขนมเหมือนกัน
"ท่าน.. เป็นใครหรือเจ้าคะ" ซูเม่ยชะงัก สบตากับซูลี่ก่อนจะยิ้มออกแล้วทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร
"เจ้าหมายถึงอะไร ข้าก็พี่สาวของเจ้าอย่างไรเล่า" นางไม่รู้ว่าทำไมซูลี่ถึงได้มาถามอะไรแบบนี้ หรือซูลี่จะรู้ว่านางไม่ใช่ซูเม่ย
"ถึงแม้จะมีนิสัยไม่ชอบกินผักเหมือนกัน แต่พี่หญิงใหญ่มักชอบปักผ้า เวลาว่างจะมาสอนข้าและซูฉีปักผ้าอยู่เสมอ แต่เมื่อหลายวันก่อนท่านไม่ได้มาสอนพวกข้า"
"ไม่คิดว่าข้าจะเหนื่อยบ้างเหรอ ทั้งทำขนมทำสบู่ ข้าอาจจะเหนื่อยเลยไม่ได้สอน ข้าว่าเจ้าคิดมากเกินไปแล้ว"
"ข้าคิดอยู่นานเพราะท่านหมอเคยบอกว่าหัวท่านถูกกระทบกระเทือนจนท่านอาจจะจำอะไรไม่ได้ แต่ท่านยังคงไม่ชอบกินผักเหมือนเดิม แล้วทำไมการปักผ้าถึงมาสอนพวกข้าเหมือนเดิมไม่ได้ ทั้งๆที่เมื่อก่อนท่านชอบปักผ้ามาก แล้วหลังจากที่ท่านตื่นมาท่านกลับอยากทำขนมทั้งๆที่ท่านไม่เคยทำมาก่อน และยังรู้วิธีการทำสบู่อีก ข้าก็ยิ่งสงสัย"
ซูลี่นี่ช่างสังเกตจริงๆ
"หลังจากที่ท่านบอกว่าขอตัวกลับห้อง ข้าได้ยินท่านพึมพำเองว่าท่านไม่ถนัดงานปักผ้า แม้เสียงนั้นจะเบาซูฉีกับป้าจางอาจไม่ได้ยินแต่ข้าได้ยิน ข้าจึงรู้ว่าท่านไม่ใช่พี่หญิงใหญ่ของข้า" สายตาของซูลี่ที่มองมา เหมือนกับว่าคนที่อยู่ตรงไม่ใช่พี่หญิงใหญ่ของนาง นัยตามีความเศร้าและสงสัยปนกันไป
จริงสิ นางพึมพำออกไปจริงๆว่าไม่ถนัดงานปักผ้า ไม่นึกว่าซูลี่จะได้ยิน แล้วเช่นนี้นางควรจะทำอย่างไรดี
ควรบอกความจริงไปเลยดีไหมว่านางไม่ใช่พี่สาวของนางจริงๆ หรือควรจะโกหกต่อไปทำเหมือนว่าซูลี่ได้เข้าใจผิดไป
แต่ซูลี่ก็รู้แล้วว่านางไม่ถนัดงานปักผ้าอย่างซูเม่ย เช่นนี้แล้วไม่สู้บอกความจริงไปเลยดีกว่า ขืนฝืนโกหกไปก็คงเนียนแล้ว
ความจริงแล้ว ถ้าเหมือนนิยายหรือซีรี่ย์บทที่คนอื่นจะรู้ว่านางไม่ใช่ตัวจริงและจะเฉลยความจริงมันควรจะเป็นท้ายๆเลยไม่ใช่หรืออย่างไร ทำไมถึงได้กลายเป็นว่าเหมือนมาได้ไม่เท่าไหร่ก็โดนจับได้เสียแล้ว
"ใช่ข้าไม่ใช่พี่หญิงใหญ่ของเจ้า" ดวงตาของซูลี่เอ้อล้นไปด้วยน้ำตาเมื่อได้ยินความจริงว่าที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่พี่หญิงใหญ่
"แล้วพี่หญิงใหญ่ข้าอยู่ที่ไหนเจ้าคะ ท่านคืนพี่หญิงให้ข้าได้หรือไม่"
"ข้า.. ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าตื่นมาก็มาอยู่ที่นี่แล้ว ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันถึงได้มาโผล่ที่นี่และมาอยู่ในร่างของพี่สาวเจ้าได้"
"ท่านจะคืนพี่หญิงใหญ่ข้ามาได้ไหมเจ้าคะ" ซูลี่ยังคงถามซ้ำอีกครั้ง
"ข้า.. ข้า" นางจะคืนพี่สาวให้ได้อย่างไร นางยังไม่รู้เลยว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ อยู่มาก็นานหลายวันแล้วแม้แต่จะฝันถึงซูเม่ยสักครั้งก็ยังไม่เคยเลย
"ท่านรู้หรือไม่ พวกข้ารักพี่หญิงใหญ่มาก ยิ่งซูฉีนางยิ่งรักพี่หญิงใหญ่มาก หากนางรู้ว่าท่านไม่ใช่พี่หญิงใหญ่นางต้องเสียใจมากแน่"
"ข้าก็รู้ พวกเจ้าดูรักพี่หญิงใหญ่ของพวกเจ้ามาก แต่ข้าจะคืนพี่สาวให้พวกเจ้าได้อย่างไร ตัวข้าเองข้ายังไม่รู้เลยว่ามาที่นี่ได้อย่างไร ตื่นมาก็มาอยู่ที่นี่แล้ว จะให้บอกพวกเจ้าไปตั้งแต่แรกก็กลัวว่าจะไม่มีใครเชื่อกลับจะคิดว่าข้าบ้าเสียอีก"
"แล้วท่านเป็นใครหรือเจ้าคะ"
"ข้าน่ะเหรอ ที่จริงแล้วข้าชื่อว่า..." นางยังพูดไม่ทันจบประโยค ก็มีเสียงจากอี๋นั่วดังเข้ามา
"คุณหนูเจ้าคะ ท่านเสนาบดีเดินทางมาเยี่ยมเจ้าค่ะ"