อี๋นั่วเดินนำพานางกับซูลี่มาที่ห้องโถงที่มีท่านเสนาบดีรออยู่บนเก้าอี้ตรงกลางห้องโถง และมีซูฉีนั่งอยู่บนเก้าอี้ถัดไปทางด้านซ้าย ส่วนป้าจางกำลังรินน้ำชา เมื่อมาถึงทั้งนางและซูลี่ก้มคาราวะก่อนจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้ทางด้านขวาและซูลี่ไปนั่งทางด้านซ้ายกับซูฉี
"ได้ข่าวว่าเจ้าตกจากต้นไม้ อาการบาดเจ็บหายดีหรือยัง"
"หายดีแล้วเจ้าค่ะ" แล้วจากนั้นทั้งห้องโถงก็เหลือแต่ความเงียบ ซูฉีที่ไม่ชอบความเงียบเริ่มอัดอัด
"ท่านพ่อ ท่านมาเยี่ยมพี่หญิงใหญ่งั้นท่านก็คุยกับพี่หญิงใหญ่เถอะเจ้าค่ะ ลูกขอไปรออยู่ข้างนอกนะเจ้าคะ"
"ข้าด้วยเจ้าค่ะ" ผู้เป็นบิดาพยักหน้าแล้วทั้งสองจึงเดินออกไป ป้าจางก็ออกไปเช่นกันเพราะคิดว่าท่านเสนาบดีคงต้องการคุยกับบุตรสาวคนโตเพียงลำพัง ทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
"พ่อขอโทษเจ้านะที่มาเยี่ยมเจ้าช้ากว่าที่ได้บอกเจ้าเอาไว้ งานที่เมืองหลวงเร่งด่วนพ่อเลยมาไม่ได้ตามที่บอก"
"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ"
"เม่ยเอ๋อร์เจ้าหายดีแน่แล้วใช่ไหม ให้พ่อตามมาดูอาการเจ้าอีกครั้งดีหรือไม่" ซูเม่ยมองผู้เป็นบิดาของซูเม่ยที่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนระคนความเป็นห่วงกำลังเดินเข้ามาหาตนที่นั่งอยู่
นางตกอยู่ในภวังค์ความคิดว่าสิ่งที่เห็นจากคนตรงหน้าเป็นความจริงหรือการแสดงกันแน่ ถ้าหากรักและเป็นห่วงจริงทำไมถึงไม่หาตั้งแต่แรก อีกอย่างถ้าเป็นห่วงชีวิตความเป็นอยู่ของบุตรสาวทำไมถึงส่งเงินมาเพียงแค่เล็กน้อยแบบนั้น
ก่อนหน้านี้นางเคยถามเรื่องของบิดากับป้าจางมาบ้างแล้ว บิดาคนนี้ชื่อหลินจื่อผิง เป็นหัวหน้าเสนาบดีฝ่ายตรวจสอบ รักกับมารดาของซูเม่ยก่อนนานแล้ว แต่ก็ถูกทางตระกูลหลินจับให้แต่งงานกับเปาเข่อเชินลูกสาวขุนนางอีกคน เพราะซูเจินมารดาของซูเม่ยเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาไม่มียศหรือฐานะจึงไม่ได้แต่งงานกับบิดา และมารดาเองก็ไม่ขอแต่งเข้าเป็นอนุ เดิมทีตัดสินใจแยกทางแล้วแต่มารดาดันท้องซูเม่ยขึ้นมา บิดาเลยทิ้งไม่ลงตัดสินใจซื้อจวนหลังนี้มาให้มารดาอาศัยอยู่และคอยแวะมาหาทุกครั้งที่มีเวลาจนมีซูลี่กับซูฉีขึ้นมาอีก นานวันเข้าทางเปาเข่อเชินผู้เป็นภรรยาเอกรู้เข้าจึงได้เผยความจริงกับนาง และเปาเข่อเชินเองก็ไม่ยินยอมให้ซูเจินแต่งเข้ามาเป็นอนุเด็ดขาดและได้ยื่นคำขาดว่าให้มาหาซูเจินให้น้อยลงและให้ส่งเพียงแค่เงินเลี้ยงดูก็พอ
หลังจากซูเจินผู้เป็นมารดาเสียไป บิดาคนนี้ก็ไม่มาที่จวนนี้อีกเลยส่งมาเพียงแค่เงินเท่านั้น
"เม่ยเอ๋อร์เจ้าเหม่ออะไร"
"ไม่มีอะไรเจ้าคะ ข้าหายดีแล้วเพียงแต่ว่าข้ายังจำอะไรไม่ค่อยได้"
"หมายความว่าอย่างไร นี่เจ้าความจำหายไปหรือ!" หลินจื่อผิงร้องเสียงดัง เขาไม่รู้มาก่อนว่าลูกสาวคนนี้ได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนี้
"เจ้าค่ะ"
"โถ่ เม่ยเอ๋อร์ พ่อผิดเองเป็นพ่อที่ผิดเองไม่ดูแลเจ้าให้ดี ทำให้เจ้าต้องมาความจำหายไปแบบนี้"
"ข้าตกลงมาเองเจ้าค่ะ ท่านพ่ออยู่เมืองหลวงจะดูแลข้าได้อย่างไร" หลินจื่อผิงขยับเข้าประคองกอดร่างบุตรสาวที่รัก
"เม่ยเอ๋อร์" นางนั่งนิ่งๆปล่อยให้หลินจื่อผิงผู้เป็นบิดากอดต่อไป
"ท่านเป็นห่วงข้าจริงหรือเจ้าคะ จากใจจริงหรือเจ้าคะ" นางเงยหน้าสบตากับหลินจื่อผิง ทางด้านหลินจื่อผิงก็ตกใจกับคำถาม หรือเพราะลูกสาวได้รับบาดเจ็บความทรงจำระหว่างเขากับลูกสาวเลยหายไปด้วย
"ทำไมเจ้าถามพ่อเช่นนี้เม่ยเอ๋อร์ พ่อย่อมต้องรักต้องเป็นห่วงเจ้าจากใจจริง ไม่มีบิดามารดาคนไหนไม่รักลูกของตัวเองหรอก" นางเค้นยิ้มมองหน้าผู้เป็นบิดา
"หากรักและเป็นห่วงจริง เหตุใดจึงส่งเงินมาเพียงแค่สี่ตำลึงเงิน ท่านเป็นถึงหัวหน้าเสนาบดีฝ่ายตรวจสอบท่านย่อมมีเงินทองมากมาย แต่ทำไมถึงส่งเงินมาให้ลูกสาวของท่านสามคนแค่สี่ตำลึงเงินเล่าเจ้าคะ หรือนี่คือความรักของท่านเจ้าคะ"
คิ้วของหลินจื่อผิงขมวดเข้าหากัน สิ่งที่บุตรสาวคนโตพูดบอกมาทำให้เขาสงสัย เหตุใดลูกสาวถึงบอกว่าเขาส่งเงินให้เพียงแค่สี่ตำลึงเงินกัน เขาจะส่งเงินเล็กน้อยเพียงนั้นมาได้อย่างไรกัน
"เจ้าพูดอะไรออกมาเม่ยเอ๋อร์ พ่อไม่เคยส่งเงินให้เจ้าแค่สี่ตำลึงเงิน.."
"แต่จวนข้าได้รับเงินแค่สี่ตำลึงเงินทุกเดือนเจ้าค่ะ รับเช่นนี้มาตลอดสองปี ท่านดูเองเถิดเจ้าค่ะ" ไม่รอให้หลินจื่อผิงพูดจบ ก็พูดสวนขึ้นก่อนและหยิบสมุดบัญชีขึ้นมายื่นให้หลินจื่อผิง บิดาคนนี้จะได้รับรู้ว่านางได้เงินมาแค่นี้จริงๆไม่ได้แต่งเรื่องโกหก
หลินจื่อผิงกำสมุดบัญชีแน่น ดวงตาแข็งก้าวทันที
ปกติเขาจะเป็นคนส่งเงินให้เองตลอด แต่หลังจากที่ซูเจินจากไปเขาก็ติดงานด่วนตลอดจึงไม่ได้ส่งเงินไปเอง ดังนั้นตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมาเขาให้เปาเข่อเชินจัดการเรื่องการส่งเงินมาให้จวนนี้แทนเขา เขาไม่ได้บอกให้ส่งเงินมาแค่สี่ตำลึงเงิน แต่เขาสั่งให้นำเงินส่งให้เดือนละสิบตำลึงเงิน ทำไมเปาเข่อเชินถึงกล้าขัดคำสั่งของเขา!
หลินจื่อผิงมองหน้าของลูกสาวคนโตและนึกถึงลูกสาวอีกสองคนที่อยู่ด้านนอก เขารู้สึกผิดขึ้นในใจที่ทำให้ลูกๆต้องลำบากทั้งๆที่เคยให้สัญญากับซูเจินคนรักที่จากไปว่าจะดูแลลูกของเราให้ดี จะไม่ให้ต้องลำบากเด็ดขาด มาวันนี้เขาผิดต่อคำสัญญาที่เคยได้ให้ไว้แล้ว
ทางด้านรดาก็ลอบมองสังเกตใบหน้าของบิดา และรับรู้ได้ว่าบิดารู้สึกโกรธตอนดูบัญชี และก็รู้สึกว่ากำลังเสียใจกับรู้สึกผิดเมื่อมองมาที่นาง
"พ่อจะจัดการให้ คราวนี้พ่อจะจัดการเรื่องเงินของเจ้าเองจะไม่ให้เข่อเชินมาจัดการแทนอีกแล้ว เจ้าวางใจเถอะลูกพ่อ" ที่แท้ก็เป็นเพราะเปาเข่อเชิน ที่จัดการส่งเงินมาให้ถึงได้มีเพียงแค่สี่ตำลึงเงิน ภรรยาของบิดาผู้นี้คงโกรธและเกลียดซูเจินผู้เป็นมารดาและซูเม่ยกับน้องๆมากถึงได้ทำแบบนี้ นี่คงเป็นการระบายโทสะของนางกระมั้ง
"ขอบคุณเจ้าค่ะ"
"เอาเถอะ พ่อมาคราวนี้นอกจากจะมาเยี่ยมเจ้าแล้ว ยังซื้อปิ่นปักผมมาฝากพวกเจ้าทั้งสามคนพี่น้องด้วย ไปตามน้องๆเจ้ามาเถอะ" ซูเม่ยจึงเดินไปเรียกน้องสาวทั้งสองจากที่อยู่หน้าห้องก็ไปอยู่ที่สวนเล็กๆแทน เมื่อเดินไปบอกว่าท่านพ่อว่านำของมาฝากเด็กทั้งสองก็ดีใจและรีบเข้าไปหาทันที
"ท่านพ่อท่านซื้ออะไรมาฝากข้าหรือเจ้าคะ" เป็นซูฉีที่เอ่ยขึ้นก่อน รู้สึกตื่นเต้นและดีใจอย่างมากที่บิดาได้ซื้อของมาฝาก แบบนี้แสดงว่าบิดายังคิดถึงนางอยู่บ้าง
"พ่อซื้อปิ่นปักผมมาให้ ปิ่นนี้เป็นปิ่นเงินพ่อตั้งแต่ซื้อมาให้พวกเจ้าโดยเฉพาะ" หลินจื่อผิงเปิดกล่องไม้ออกมาและหยิบปิ่นขึ้นมามอบให้แก่ลูกสาวทั้งสามคน ซูฉีและซูลี่รับมากล่าวขอบคุณ
"ขอบคุณเจ้าค่ะ" ซูเม่ยรับของมาจากบิดาและกล่าวขอบคุณ
"สวยมากเจ้าค่ะท่านพ่อลูกชอบมาก ท่านซื้อมาถูกใจข้าที่สุดเลย" ซูฉีเดินเข้าไปกอดบิดาด้วยความสุข
"แล้วเจ้าล่ะลี่เอ๋อร์ชอบไหม"
"ชอบเจ้าค่ะ ท่านพ่อซื้ออะไรมาให้ข้าก็ชอบทั้งนั้น แต่ท่านพ่อเจ้าคะท่านพักอยู่นานหรือไม่เจ้าคะ ข้าไม่ได้พบท่านนานแล้ว"
"มาให้พ่อกอดเจ้าทีสิลี่เอ๋อร์ พ่อก็คิดถึงพวกเจ้าทุกคนมากแต่งานของพ่อรัดพ่อแน่นเหลือเกิน"
"ท่านพ่อจะไม่พักที่นี่หรือเจ้าคะ" ซูฉีเอ่ยถาม
"พ่ออยู่กับพวกเจ้าได้อีกแค่อีกหนึ่งชั่วยามเท่านั้น วันพรุ่งนี้พ่อยังมีงานที่ต้องจัดการแต่เช้า ไว้คราวหน้าพ่อจะหาเวลามาอยู่กับพวกเจ้าเยอะๆ" ซูฉีและซูลี่ต่างผิดหวัง พวกนางนึกว่าบิดาที่อยู่กับพวกนางให้นานกว่านี้ สองปีที่ไม่ได้เจอบิดามาเจอกันคราวนี้ก็เพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น
ซูเม่ยมองแล้วก็สงสารเด็กทั้งสองที่เป็นน้องสาว คงจะคิดถึงบิดาเป็นอย่างมาก ทำให้นางเองก็คิดถึงบิดามารดาของนางในโลกก่อนเหมือนกัน
"งั้นท่านพ่อกินข้าวกับพวกเรานะเจ้าคะ ท่านได้กินอะไรมาหรือยังเจ้าคะ"
"ยังเลย พ่อรีบมาหาพวกเจ้าเลยยังไม่ได้กินอะไรมาเลย"
"งั้นดีเลยเจ้าค่ะ ข้าจะปัาเตรียมอาหารมาให้ และมีอีกอย่างจะให้ท่านพ่อได้ลองกินด้วยเจ้าค่ะเป็นขนมที่พี่หญิงใหญ่ทำเองเจ้าค่ะ อร่อยมากๆ" ประโยคหลังซูฉีกระซิบบอกข้างหูบิดา หลินจื่อผิงได้ยินก็แปลกใจแต่ก็ดีใจที่จะได้กินขนมฝีมือของลูกสาวคนโต
จากนั้นป้าจางก็มาเชิญทุกคนให้ไปที่โต๊ะกินข้าว หลังจากกินอาหารและขนมฝีมือของลูกสาวคนโตเสร็จ หลินจื่อผิงก็รีบเดินทางกลับในยามเซิน(15.00-16.59น.) หากกลับช้ากว่านี้จะถึงเมืองหลวงค่ำเกินไป