ซ่า...
นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์สุดช็อกด้านหลังโรงเรียน นี่เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ที่ฉันใช้มือวักน้ำจากก็อกชโลมหน้าตัวเองอยู่บริเวณอ่างหน้าของนักกีฬาตรงสนามบาสเก่า
ใบหน้าบริเวณที่ถูกลิ้นร้อนของ ธอน เฮนเลย์ลากผ่านนั้นยังร้อนจนรู้สึกได้จนถึงตอนนี้ พอรู้สึกถึงมัน มือก็รีบวักน้ำชโลมหน้าซ้ำๆ ราวกับอยากให้ความเย็นช่วยชำระความรู้สึกที่มีให้หมดไป
ตั้งแต่เกิดมาจนอายุเท่านี้ นี่คงเป็นครั้งแรกที่ฉันถูกเพื่อนต่างเพศกระทำใส่อย่างจาบจ้วงและล่วงเกินเป็นครั้งแรก โชคดีที่ตอนนั้นคุณแมทสันให้คนมาตามตัวเขาไปพบเสียก่อน ไม่เช่นนั้นฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะทำอะไรต่อไป
ดูอย่างตอนนี้สิ ทั้งที่มันก็ผ่านมาเป็นชั่วโมงแล้ว ความรู้สึกนุ่มของลิ้นอุ่นยามกวาดผ่านข้างแก้ม มันทำให้ฉันอะไรไม่ถูกจนถึงเวลานี้ โดยเฉพาะกับภาพงูในความฝันซึ่งซ้อนทับกับภาพใบหน้าของเฮนเลย์ในระยะใกล้ มันดูชัดเจนราวกับสิ่งที่เกิดในช่วงเวลานั้นคือคือการเดจาวู พลอยให้นึกถึงคำพูดของอสรพิษตัวเขื่องในฝันไม่ได้
‘เธอคือโบอา...Ssss…ส่วนฉันคือไพธอนเป็นพี่ชายเธอ’
ไพธอน กับ ธอน งั้นเหรอ...
อ่าให้ตายสิ! ฉันต้องเป็นบ้าแน่ๆ ที่เอาแต่คิดถึงเรื่องเด็กใหม่กับงูตัวนั้นไม่หยุด พอทีน่า โบอา! มันก็แค่การแกล้งกันที่บังเอิญคล้ายกับเรื่องในความฝันเท่านั้นแหละ...
หลังจากสงบสติอารมณ์ที่ขาดกระเจิงของตัวเองให้กลับคือสู่สภาวะปกติได้สำเร็จ ฉันก็ตัดสินใจพาตัวเองไปยังคลาสเรียนเคมี ซึ่งป่านนี้คงเริ่มเรียนกันไปได้สักพักแล้ว
อันที่จริงหากเข้าเรียนสายแบบนี้ ฉันจะโดดวิชานั้นเลยก็ยังได้ แต่ว่าสำหรับคนไม่มีเพื่อนแล้ว ฉันจึงพลาดวิชากิจกรรมเสริมอย่างกิจกรรมชมรมไป ทำให้ต้องตั้งใจเรียนเพื่อทำคะแนนสอบและชิ้นงานให้ได้มากกว่าคนอื่นๆ ต่อให้รู้ว่าการเข้าเรียนสายมันจะทำให้ตัวเองกลายเป็นจุดสนใจของคนอื่นๆในคลาสก็ตาม
ครืดดด...
“อ้าวคุณบราวน์...”
เสียงทักดุๆ ของคุณ 'คิทแมน' อาจารย์คลาสเคมีเอ่ยทักขึ้นเมื่อประตูห้องถูกเลื่อนออก ซึ่งมันก็พลอยให้สายตาหลายสิบคู่พร้อมใจกันมองมายังฉันเป็นตาเดียวกัน รวมไปถึงนัยน์ตาคู่สวยของเฮนเลย์บริเวณหลังห้องด้วยเช่นกัน
“นี่มันกี่โมงแล้ว ทำไมคุณถึงเพิ่งมาเข้าคลาสเอาป่านนี้?” คุณคิทแมนถาม แต่ยังไม่ทันได้เปิดปากตอบอะไร เวลาเดียวกันนั้นก็มีเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นตอบแทนเสียก่อน
“มัวแต่แอบไปคุยกับญาติหล่อนอยู่มั้งคะอาจารย์ ช่วงนี้เห็นยั้วเยี้ยเต็มโรงเรียนเราไปหมด” เสียงตอบแทนของเพื่อนร่วมชั้นทำทุกคนที่เข้าใจความหมายพร้อมใจกันระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นไปทั้งคลาสราวกับเห็นฉันเป็นตัวตลก
“อะแฮ่ม!” คุณฮิทแมนหันไปทำตาดุ กระแอมขัดเสียงหัวเราะของเด็กคนอื่นให้เงียบลง จากนั้นก็หันมาพะเยิดหน้าไล่ฉันให้ไปหาที่นั่ง แน่นอนว่าฉันเองก็ไม่รอช้ารีบหอบเป้สะพายหลังเทอะทะ เดินก้มหน้าแทรกผ่านที่นั่งแถวกลางเพื่อหาที่ว่างสักที่สำหรับใช้นั่งเรียนทันที
แต่แล้วมันก็เกิดเรื่องขึ้นอีกครั้ง...
“กรี๊ดดดดด งู!”
ตึง!!
เสียงหวีดของเพื่อนร่วมชั้นซึ่งเป็นคนเดียวกับที่ให้คำตอบคุณคิทแมนดังขึ้น เธอรีบลุกพรวดพราดสะบัดตัวออกจากโต๊ะเรียนของตัวเองทันที ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของนักเรียนคนอื่นๆ เมื่อพบว่าบริเวณช่องเก็บของเล็กๆ ของโต๊ะเรียนเจ้าปัญหาตัวนั้น มีงูเหลือมขนาดเท่ากับไม้บรรทัดนอนขดตัวอยู่
เหตุการณ์น่าตกใจจากการพบงูของคนในโรงเรียน มันพลอยให้ฉันซึ่งเป็นเจ้าของเรื่องเล่า BAO ผู้เกี่ยวข้องกับอสรพิษน่าเกลียดน่ากลัวพวกนี้ ถูกต่อว่าทุกครั้งยามที่เกิดเหตุสะเทือนขวัญ
“เธอ! เธอมันนังแม่มด เธอแกล้งฉันเหรอ!?” พวกเขาคิดว่าฉันสั่งงูพวกนั้นได้ แต่เปล่าเลย มันไม่ใช่
อย่างไรก็ดีการถูกต่อว่าเพราะเหตุบังเอิญดังกล่าวมันก็มีมาให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ ฉันจึงเลือกที่จะเดินตรงไปยังที่นั่งว่างมากกว่าจะสนใจคำต่อว่าเหล่านั้น และฉันคงได้ที่นั่งไปแล้ว หากสายตาไม่บังเอิญเหลือบไปมองหน้าเด็กใหม่อย่างเฮนเลย์เสียก่อน
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของนักเรียนคนอื่นๆที่ช่วยกันลุ้นการกำจัดงูออกจากโต๊ะเจ้าปัญหาด้วยฝีมือของคุณคิทแมน คงมีเฮนเลย์เพียงคนเดียวเท่านั้นซึ่งยังนั่งนิ่ง ไม่แสดงอาการแตกตื่นตกใจเหมือนใคร
สายตาเขาเพ่งไปยังที่งูตัวต้นเหตุ โดยบนใบหน้ามีรอยยิ้มเหยียดแสยะคล้ายกับชอบใจกับความโกลาหลตรงหน้า แต่ไม่นานเหมือนเขาจะรู้ตัว ถึงได้ลดรอยยิ้มดังกล่าวออกจากดวงหน้า แล้วเบี่ยงสายตามาทางฉันแทนพร้อมทั้งเอ่ยถามขึ้นเสียงเย็น เสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นั่งด้วยกันไหม...โบอา” หากก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ทำเรื่องแบบนั้นกับฉันล่ะก็ บางทีฉันอาจจะตัดสินใจนั่งเรียนข้างเด็กใหม่ไปแล้วก็ได้ แต่เพราะดันเกิดเรื่องน่าอายนั่น มันพานให้แม้แต่หน้าเขาฉันยังไม่กล้าที่จะมอง...
สิ้นเสียงถามของเฮนเลย์ ฉันก็เลือกที่จะเดินก้มหน้างุดเลยผ่านเขาไปยังที่ว่างด้านหลัง มันอาจจะดูเสียมารยาทไปหน่อย แต่ฉันเลือกได้แค่นี้จริงๆ ตลอดการเคลื่อนไหวจนกระทั่งนั่งลงบนเก้าอี้ รับรู้ได้ถึงการถูกมองอยู่ตลอดเวลา ถึงกระนั้นฉันก็เลือกที่จะไม่สนใจ ก้มหน้าก้มตาหยิบตำราสำหรับใช้เรียนขึ้นมาวางเรียงบนโต๊ะ ทว่า...
กึก...
ทุกการกระทำและสายตากลับต้องสะดุดลง เมื่อที่นั่งข้างกายถูกขยับเขยื้อนออก พร้อมทั้งการทิ้งน้ำหนักลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ พานให้ต้องละสายตามองเจ้าของการกระทำดังกล่าวและพบว่าเขาไม่ใช่ใคร
“เธอไม่ควรเมินฉัน...แบบนี้...โบอา” ธอน เฮนเลย์เอ่ยขึ้นเสียงเย็น สองมือวางประสานกันไว้บนโต๊ะเปล่า สายตามองตรงไปยังหน้าคลาสเรียนซึ่งเวลานี้เริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
ใจฉันเริ่มสั่นเวลามองเสี้ยวหน้าของผู้ชายคนนี้ใกล้ๆ ไม่ว่าจะน้ำเสียง แววตา หรือภาพของงูในความฝันที่เริ่มตามหลอกหลอนอยู่ในความคิด เพราะไม่อยากให้ความรู้สึกแปลกๆ ในอกลุกลามไปมากกว่านี้ อีกทั้งเฮนเลย์เองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก สิ่งที่ฉันทำได้คือการนั่งก้มหน้าจ้องสายตาสู้กับตำราบนโต๊ะเงียบๆ และอดทนจนกว่าเวลาเรียนคาบนี้จะจบลง...
ทั้งที่ภาวนาให้หมดคาบเรียนโดยไว แต่พระเจ้าก็คล้ายกับแกล้งกันอยู่เสมอ บรรดาลให้เวลาแต่ละวินาทีเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้าและน่าอึดอัด ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนนับตั้งแต่เริ่มถูกคนในโรงเรียนกล่าวหาว่าเป็นตัวประหลาด ซึ่งมันก็นานมากพอจะเริ่มชิน แต่อาการและความรู้สึกเหล่านั้นมันกำลังหวนกลับมาอีกครั้ง เมื่อข้างกายถูกตามประกบติดด้วยธอน เฮนเลย์เด็กนักเรียนที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ตลอดเวลา
ทันทีที่เสียงระฆังบอกเวลาหมดชั่วโมงเรียนสุดท้ายดังขึ้น ฉันก็ไม่รอช้า รีบเก็บข้าวของของตัวเองใส่กระเป๋าเป้สะพายหลัง แต่ยังไม่ทันได้ลุกไปไหน มืออุ่นของผู้ชายซึ่งนั่งอยู่ข้างกายตลอดเวลาก็คว้ารั้งเอาไว้อย่างรวดเร็ว ราวกับเขารู้ว่าฉันพยายามจะหนี
เขาไม่พูดอะไรเอาแต่รั้งตัวฉันไว้ ด้วยท่าทางแปลกๆ ที่เฮนเลย์แสดงออก มันเริ่มก่อเกิดเป็นข้อสงสัยในหัว ว่าทำไม
ทำไมเขาต้องทำแบบนี้กับฉัน...
“เฮนเลย์~ มีชมรมอยู่หรือยังจ๊ะ?” แต่มือของเฮนเลย์ก็จับฉันไว้ได้ไม่นาน เขายอมปล่อยมันออก ทันทีที่เพื่อนร่วมห้องพากันเดินเข้ามาชักชวนเขาเข้าชมรมเหมือนอย่างที่นักเรียนใหม่ควรจะได้
“ยัง...”
“ฉันเป็นผู้จัดการทีมรักบี้ของโรงเรียน นายสนใจเข้าชมรมรักบี้ไหมล่ะ?”
“ไม่ล่ะ...ขอบใจ”
“อะไรกัน แล้วเฮนเลย์ชอบทำอะไรที่สุดล่ะ ฉันจะได้แนะนำชมรมให้”
“นอน...” ฉันอาศัยโอกาสช่วงที่เฮนเลย์เริ่มโดนเพื่อนในห้องรุมล้อมรอบโต๊ะ หันหลังเดินไวออกไปทันที เวลานี้ไม่ใช่รู้สึกอยากอยู่ให้ห่างจากเขาอย่างเดียว แต่อยากหนีไปจากบรรยากาศน่าอิจฉารอบกายเขาด้วย
เวลาต่อมา...
สุดท้ายฉันก็พาตัวเองเดินออกจากโรงเรียนเพียงลำพังเฉกเช่นทุกวัน ไม่ได้รอใคร และไม่มีใครเดินอยู่ข้างๆ ความอึดอัดที่สะสมมาตั้งแต่ช่วงเช้าค่อยๆ ลดลงเมื่อไม่มีสายตาคู่สวยของเฮนเลย์จับจ้องอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกเหมือนเป็นอิสระอีกครั้ง ต่อให้การหนีกลับออกมาก่อนอาจจะพังมิตรภาพของผู้ที่หยิบยื่นให้แต่ทำไงได้ล่ะ ในเมื่อฉันเลือกไปแล้ว
อีกอย่างฉันเองก็ไม่รู้ว่าเด็กใหม่ที่ชื่อ ธอน เฮนเลย์ คิดจะทำอะไรกันแน่ แค่อยากแกล้งกันเหมือนคนอื่นหรือว่าเขาแค่อยากสร้างความสัมพันธ์ดีๆ...
“เวรเอ้ย!” ฉันคำรามเสียงดังอย่างนึกหงุดหงิด เพราะเมื่อไหร่ที่เริ่มนึกถึงหน้าเด็กใหม่ขึ้นมา บริเวณแก้มที่ถูกเขาใช้ลิ้นเลียผ่านมันก็ชักจะเริ่มร้อนวูบขึ้นมาจนใจสั่น ต้องบันดาลโทสะเหวี่ยงกระเป๋าสะพายใส่โคนต้นโอ๊คยักษ์เพื่อระบายอารมณ์
“รู้ทางไปแคนทีนหรือยัง ฉันพาไปเอามะ?” ฉันพึมพำแสร้งทำเสียงเลียนแบบซานดร้าอย่างนึกหมั่นไส้ เธอมักจะเข้าหาพวกผู้ชายแบบนี้เสมอ และมันอดไม่ได้ที่จะทำหน้าตากับท่าทางเลียนแบบผู้หญิงซึ่งชอบทำตัวเชิดเหมือนนางพญาไม่ได้ หรือจะเป็นน้ำเสียงและท่าทางของนักเรียนให้คลาสเรียนเคมี “เธอ! เธอมันนังแม่มด เธอแกล้งฉันเหรอ!? เหอะ! ถ้าเสกได้จริงๆ ฉันจะทำให้เธอหุบปาก”
มันก็เหมือนทุกครั้ง ไม่ว่าจะเจอเรื่องร้าย เรื่องดี หรือเรื่องน่าอึดอัดแค่ไหน ฉันมักต้องแวะมาระบายความคิดกับความรู้สึกของตัวเองที่นี่ สถานที่เดียวกับในเรื่องและความฝันเมื่อคืน...
เพราะสถานที่อันเงียบสงบแบบนี้ เป็นเพียงที่ที่เดียวซึ่งฉันสามารถระบายทุกความรู้สึกของตัวเองที่สะสมไว้ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะผ่านการกระทำ สีหน้า หรือน้ำเสียง ทั้งที่คิดว่าทุกคำพูด ทุกการกระทำของตัวเองในเวลานี้จะไม่ได้อยู่ในสายตาใคร แต่ดูเหมือนว่า คราวนี้ฉันจะคิดผิด...
‘Sss…ท่าทางแบบนั้น มันไม่น่ารักเลยนะ โบอา...’
เสียงพูดของงูจากบริเวณด้านหลัง ทำฉันกระโจนตัวออกจากจุดที่ยืนอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย รีบหันขวับมองไปยังต้นเสียงก่อนพบเข้ากับพญางูใหญ่สีดำ เกล็ดเลื่อมเงาเฉกเช่นกันที่เห็นในความฝัน ทว่า ในความเป็นจริง ขนาดลำตัวของมันดูใหญ่มากกว่านั้น
ภาพของสัตว์ประหลาดตัวใหญ่เสมือนหลุดจากโลกในความฝัน ทำร่างทั้งร่างเริ่มตกอยู่ในอาการสั่น เมื่อนึกผลจากการหลบหนีจากเหตุการณ์ชวนสั่นประสาทในฝัน ถึงอย่างนั้น สัญชาตญาณของความเป็นมนุษย์ก็ยังสั่งให้ฉันเอาตัวรอดอยู่ดี
กึก...
‘Sss…จะหนีไปไหน...โบอา’ ทว่า เท้าดันเหยียบพลาดเข้ากับกิ่งไม้แห้งเสียก่อน
มันได้ยิน...
‘Sss…ไม่ใช่ได้ยิน แต่ว่าได้กลิ่น โบอา...’ อีกครั้งที่งูตัวดังกล่าวทำฉันตกใจเมื่อเสียงของมันดังก้องเข้ามาในหัวราวกับรับรู้ถึงความคิดในหัว เพราะในฝันฉันสามารถคุยกับงูได้ ไม่แน่บางทีในโลกของความจริง ฉันอาจจะทำเรื่องแบบเดียวกันได้ เพราะงั้นปากจึงพลั้งถามออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ต้องการอะไร!?”
‘Ssss…เธอผิดสัญญา...’ ซึ่งมันได้ผล งูตัวนั้นตอบฉันกลับเข้ามาในความคิด แม้ว่าในความเป็นจริง สัตว์ใหญ่เบื้องหน้าจะทำเพียงแค่เลื้อยรัดรอบต้นโอ๊คใหญ่อย่างเชื่องช้า แลบลิ้นสองแฉกขู่ฟ่อ และจ้องมองกลับมาเหมือนแบบสัตว์เลื้อยคลานเผ่าพันธุ์เดียวกันตามปกติก็ตาม
“ฉะ ฉันไปสัญญาอะไรด้วย!?” ลำพังการเข้าใจภาษางูได้ มันก็นับเป็นความอัศจรรย์ที่มีติดตัวตั้งแต่เกิดมากพอยู่แล้ว แต่ยิ่งพูดจาโต้ตอบกับสัตว์น่ากลัวเบื้องหน้ามากเท่าไหร่ ฉันยิ่งรู้สึกหวาดกลัวความอัศจรรย์ที่มีติดตัวมา และอดคิดไม่ได้ว่าบางทีตัวเองอาจจะเป็นพวกแม่มดอย่างที่ใครต่อใครคอยตั้งข้อครหาให้
‘Ssss…มองตาฉันสิ โบอา... มอง แล้วบอก...ว่าเธอเห็นอะไร’ นี่คือสิ่งที่งูใหญ่เบื้องหน้าบอกฉัน ทั้งที่หวาดกลัวแต่คำสั่งกึ่งคำขอดังกล่าวกลับคล้ายกับมีมนต์สะกด ชวนให้สายตาจ้องสบประสานกับนัยน์ตาสีขาวราวกับอัญมณีของมันตรงหน้า
ที่น่าตกใจก็คือแววตาที่งูตรงหน้าส่งผ่านมาให้ กลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยไม่ใช่เพราะความฝัน แต่ว่าแววตาของมันดูคล้ายคลึงกับสายตาของใครบางคนที่ฉันพยายามเลี่ยงจะมองมาตลอดทั้งวันต่างหาก...
‘วันนี้กลับบ้านกับพี่นะ โบอา...’ ฉันได้ยินเสียงของเด็กใหม่ มองเห็นแววตาแบบเดียวกันกับงูตัวนี้ของเขาขณะเอ่ยคำพูดชักชวนประโยคนั้น
‘Sss…ไหนบอกจะกลับบ้านด้วยกันไงล่ะ...โบอา’ อีกหนที่ร่างกายทุกส่วนสั่นเทาอย่างสุดจะอดกลั้น เมื่อวินาทีกับที่ความคิดกำลังทำงานหนัก เสียงงูตัวนั้นก็ดังเข้ามาให้หัวราวกับตอกย้ำว่าสิ่งที่คิดมันคือสิ่งที่ถูก
บอกให้ฉันรู้ว่างูที่เห็นในฝันหรือแม้แต่งูใหญ่ตรงหน้าตัวนี้ รวมถึงเด็กใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามา คือคนคนเดียวกัน
“ธ...ธอน เฮนเลย์...”