บทที่ 3

2197 Words
“คุณมองอะไรอยู่คุณเฮนเลย์?” ถึงกระนั้นฉันก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้าเขายามถูกคุณแมทสันเรียก ก่อนต้องรู้สึกเซอร์ไพรส์ในสิ่งที่คนถูกถามให้คำตอบออกมา “มนุษย์...” คำตอบเฉื่อยเฉยอย่างคนเถรตรงทำเอาเสียงหัวเราะของคนร่วมคลาสดังรวนขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน จนคุณแมทสันต้องใช้แปรงลบกระดานเคาะไวท์บอร์ดแทนการสั่งให้ทุกคนเงียบ ก่อนเอ่ยแทรกความเงียบด้วยเสียงดุดัน “คุณยังไม่มีหนังสือเรียนใช่ไหมคุณเฮนเลย์” คราวนี้คนถูกถามไม่ตอบ เขาเอาแต่นั่งนิ่งจ้องตอบสายตากับคุณแมทสันกลับไป ด้วยท่าทางที่เหมือนกับว่าเขากำลังยียวนกวนประสาท มันเลยพลอยให้นักเรียนบางคนซึ่งเลือกจะมองมายังเขาหลุดหัวเราะอย่างสุดจะกลั้น แหงล่ะ... ก็คุณแมทสันน่ะ ทั้งดุ ทั้งเขี้ยว แถมยังเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครองที่ใครต่อใครต่างเกรงกลัว “คุณบราวน์ ถ้าคุณมีน้ำใจรบกวนคุณแบ่งปันหนังสือให้คุณเฮนเลย์ดูด้วยได้หรือเปล่า?” “ค่ะ ได้ค่ะ!” สิ้นเสียงรับคำ คนตัวใหญ่ที่เวลานี้ตกเป็นจุดสนใจก็รีบกระชับมือจับเก้าอี้กระเถิบเข้ามาใกล้ทันทีแบบไม่ต้องรอคำสั่ง กึก... เขาเข้ามาใกล้มากจนแขนของเราเบียดกัน รู้สึกได้ว่าลมหายใจร้อนๆ ของเขาเป่ารดใส่ข้างแก้มได้ชัดเจน เมื่อตัดสินช้อนตาเหลือบมอง ฉันก็ต้องเป็นฝ่ายรีบหลุบตาลงไปยังตำราเรียนเสียเอง เพราะพบว่านี่เป็นหนที่สองแล้วที่ถูกนัยน์ตาสีสวยคู่นั้นมอง แถมยังมองจากระยะที่ใกล้มาก... ไม่ชินเลย... ไม่ชินกับการถูกนัยน์ตาคู่นั้นจ้องมองอย่างสนอกสนใจแบบนี้เลย... ถึงจะรู้สึกอึดอัดกับการต้องอยู่ใกล้ชิดกับเด็กใหม่อย่างเฮนเลย์ตลอดคาบเช้า แต่เมื่อถึงเวลาพักกลางวันทุกอย่างก็สิ้นสุดลง นักเรียนคนอื่นๆ ภายในห้องต่างพากันจับกลุ่มเก็บข้าวของของตนลุกออกจากที่นั่ง คงมีเพียงแค่ฉันที่ไม่ได้รีบได้ร้อนอะไรนัก และเพราะความไม่รีบร้อนนี่แหละฉันจึงมักถูกแกล้งอยู่บ่อยๆ “เฮนเลย์~” เสียงแหลมเล็กของซานดร้าเอ่ยดังทักขึ้น เรียกความสนใจจากสายตาของผู้ถูกเรียกได้เป็นอย่างดี เหมือนที่บอกซานดร้าเป็นสาวป๊อบ อีกทั้งยังเป็นสมาชิกชมรมเชียร์ลีดเดอร์ของโรงเรียน ไม่แปลกอะไรที่เสน่ห์และความสวยของผู้หญิงผิวขาวผมบลอนด์รับนัยน์ตาสีอ่อนจะดึงดูดเพศตรงข้าม “รู้ทางไปแคนทีนหรือยัง ฉันพาไปเอามะ?” เธอใช้วิธีการพูดแบบเป็นกันเองในการเข้าหาผู้อื่น ซึ่งมันมักได้ผลทุกครั้ง หากแต่คราวนี้ดันต่างไปเมื่อคนถูกถามไม่ตอบแต่กลับหันมาสะกิดฉันแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเฉื่อยเฉยเช่นเดิม “รู้ทาง...ไปแคนทีนหรือเปล่า” ฉันทำหน้านิ่งเมื่อถูกเขาถามแบบนั้น ไม่ใช่เพราะรู้สึกตกใจที่ถูกถาม แต่เพราะเสียงของเขายามเอ่ยออกมานั้น ฉันคล้ายกับได้ยินเสียงขู่ในลำคอคล้ายกับพวกอสรพิษรอดดังออกมาด้วยต่างหาก แปลก เพราะฝันบ้าๆเมื่อคืนแน่ๆ... และเมื่อรู้สึกตัว สายตาจึงรีบเลื่อนมองไปยังใบหน้าสวยๆ ของใครอีกคนที่เวลานี้กำลังบึ้งตึงคล้ายกับไม่ชอบใจที่ถูกเมิน ลำพังแค่การถูกหาเรื่องแกล้งแต่ละวันมันก็น่ารำคาญพอแล้วจึงไม่อยากมีปัญหากับซานดร้าไปมากกว่านี้ ดังนั้นเลยตัดสินใจยัดข้าวของของตัวเองทั้งหมดลงเป้สะพายหลัง ลุกออกจากที่นั่งอย่างรีบร้อน โดยไม่ลืมให้คำตอบเขากลับไปตามมารยาท “ถะ ถามคุณคอร์ชดูแล้วกัน ฉันไปก่อนนะ” ฉันก็หอบข้าวหอบของของตัวเองเดินก้มหน้าไม่พูดไม่จากกับใคร ไปตามโถงทางเดิน สวนนักเรียนคนแล้วคนเล่า เพื่อพาตัวเองออกไปสู่พื้นที่ที่เงียบสงบ สำหรับคนไม่มีเพื่อนสักคนตู้กดเครื่องดื่มกับขนมปังคือทางเลือกที่ดีที่สุดมากกว่าจะพาร่างกายซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับเข้าไปยังที่ที่คนพลุกพล่านอย่างแคนทีน ช่วงพักกลางวันขอแค่มีน้ำแร่เย็นๆ สักขวดกับขนมปังสักก้อนก็เพียงพอแล้ว... ตึก... ตึก... ฉันพาตัวเองเดินลัดเลาะมายังสนามบาสเก่าด้านหลังโรงเรียน เพราะบริเวณนี้ค่อยข้างเงียบและไม่ค่อยมีผู้คนมาใช้บริการสนามบาสกลางแจ้งแห่งนี้เท่าไหร่ นักเรียนส่วนใหญ่แห่กันไปใช้สนามกีฬาในร่มที่เพิ่งสร้างใหม่กันหมด ที่ตรงนี้เลยมักตกเป็นที่สำหรับคนไร้เพื่อนอย่างฉันใช้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ สายตากวาดมองหาที่นั่งดีๆและแห้งสักที หากแต่สายตาดันสะดุดเข้ากับงูเหลือมสีอ่อนตัวเล็กซึ่งกำลังนอนขดตัวอยู่บนม้านั่งที่เป็นเป้าหมายเสียได้ แถมในหัวยังได้ยินเสียงของมัน... ‘Ssss…ไงโบอา มานั่งด้วยกันสิ’ ฉันแสยะปากอย่างนึกขนลุกให้กับคำเชิญชวนดังกล่าว มันคงเป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่คนส่วนใหญ่รู้สึกต่อฉันนั่นแหละ เพราะแบบนี้ไง ฉันถึงได้ไม่ชอบวันฝนตก อีกอย่างต่อให้จะฟังสิ่งที่สัตว์พวกนี้พูดเข้าใจ ก็ใช่ว่าอยากจะญาติดีกับพวกมันซะที่ไหน ยิ่งเมื่อคืนฝันเรื่องน่ากลัวด้วยแล้ว ฉันก็ยิ่งอยากพาตัวเองหนีไปให้ไกล เมื่อคิดแบบนั้นฉันจึงตัดสินใจหันหลังโดยยังคงปรายตาเหลือบมองไปยังงูเหลือมตัวเดิม ซึ่งดูคล้ายว่ามันกำลังมองตอบสายตากลับมาเช่นกัน ทว่า ความรีบร้อนทำฉันซึ่งไม่ทันระวังตัวหันไปชนเข้ากับใครคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่อย่างเต็มแรง ฟึบ! ตุบ! “ขอโทษ พอดีว่าฉัน...” ฉันรีบก้มหัวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ แม้จะเดาได้ว่าเสียงที่ตอบรับกลับมาจะเป็นการต่อว่า แต่เหมือนว่าครั้งนี้ฉันคิดผิด เมื่อคนตรงหน้าไม่ปริปากพูดแดกดันให้ได้ยินสักวลี กลับกัน เขายังเป็นฝ่ายใช้มือเลื่อนมาจับไหล่ฉันพร้อมทั้งปัดฝุ่นบริเวณบ่าให้อย่างอ่อนโยนคล้ายกับเวลาแต่งตัวตุ๊กตา ปฏิกิริยาตอบรับที่ต่างจากสิ่งที่เคยเจอ ทำฉันรีบเงยหน้าขวับมองบุคคลตรงหน้าอย่างทันควัน ก่อนต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าเขาคือ “เฮนเลย์...” บอกตามตรง ฉันไม่ได้ตกใจที่คนถูกชนเป็นเขา แต่ตกใจที่เห็นเขายืนอยู่ในระยะประชิดขนาดนี้ ทั้งที่ฉันไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครก้าวตามหลังมาแถวนี้เลยต่างหาก กลับกัน เจ้าของชื่อดันขยับยิ้มรับใจดี นัยน์ตาคู่เดิมนั่นก็คล้ายกับมีมนต์สะกดให้นิ่งไปชั่วขณะ ยามเผลอสบตาทุกครั้ง “เจอสักที...หาตัวตั้งนาน...” เขาใช้ปลายนิ้วเกี่ยวปรอยผมยุ่งซึ่งตกลงมาปรกหน้าไปทัดข้างหูให้อย่างถือวิสาสะ แววตาของเฮนเลย์ดูมีความสุขยามที่ได้ทำแบบนั้น มันคือแววตาที่ฉันไม่เข้าใจความหมาย เขาไม่ได้แสดงทีท่ารังเกียจเหมือนอย่างที่คนอื่นๆ ทำ ตรงกันข้าม เหมือนเขาจงใจที่จะเข้าใกล้และพยายามแตะเนื้อต้องตัวฉันอยู่ตลอดเวลามากกว่า “ผมสีสวย ทำไมยุ่งแบบนี้ล่ะ โบอา...” อีกครั้งที่ชายหนุ่มตรงหน้าเอ่ยขึ้น พร้อมทั้งทำท่าจะเอื้อมมือมาแตะศีรษะฉันเป็นหนที่สอง ฉันจึงเอี้ยวตัวหลบฝ่ามืออุ่นตรงหน้า พร้อมทั้งหาข้อแก้ตัวเพื่อไม่ให้สิ่งที่แสดงออกดูเป็นการเสียมารยาทจนเกินไป ฟึ่บ! “อ่า...ขอโทษนะ พอดีฉันรีบ” “...รีบไปไหน?” เสียงของเฮนเลย์เวลานี้ดังชัดกว่าตอนอยู่ในห้องเรียนเสียอีก เสียงเขายานเฉื่อยเหมือนคนใจเย็น แถมให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกเสียยิ่งกว่าความเย็นจากขวดน้ำแร่ที่ถืออยู่ในมือเสียอีก “ฉันกำลังจะไปหาที่นั่งพักน่ะ พอดีที่ประจำมันมีงูขดอยู่...” อีกแล้ว พอสบเข้านัยน์ตาคู่สวยตรงหน้า ความรู้สึกแปลกๆ ก็เริ่มเกิดขึ้นในอก ใจฉันกำลังเต้นแรงไม่ใช่เพราะความหวั่นไหวกับรูปร่างหน้าตาของผู้ชายตรงหน้า แต่ลักษณะอาการมันคือความรู้สึกเดียวกับที่เกิดในความฝัน วินาทีที่ร่างกายถูกงูตัวน้อยใหญ่รุมบีบรัดร่างกายจนรู้สึกหายใจไม่ออกต่างหาก เพื่อเลี่ยงอาการเหล่านั้นและหยุดนึกถึงฝันน่ากลัวนั่นลง ฉันจึงรีบชิงหาทางปลีกตัวออกไปให้ห่างจากนัยน์ตาสีสวยคู่ดังกล่าว “ขอตัวก่อนนะ...อะ” แต่เหมือนเฮนเลย์จะไม่ยอมให้ฉันทำแบบนั้น หมับ! ทั้งที่น้ำเสียงฟังดูใจเย็นและเอื่อยเฉื่อย หากแต่ไม่ใช่กับร่างกายที่ขยับคว้าแขนฉันไว้อย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน บนดวงหน้าคมคายยังคงรอยยิ้มไว้ ส่วนสายตามองผ่านฉันไปยังเก้าอี้ด้านหลัง จ้องอยู่อย่างนั้นเพียงครู่สั้นๆ จึงยอมลดสายตากลับมายังฉันเป็นหนที่สองแล้วเอ่ยขึ้น “ม้านั่ง...มันว่างนี่...” ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น ฉันก็รีบเหลียวหลังขวับมองไปยังม้านั่งตัวที่ว่าทันทีด้วยความตกใจ แล้วต้องพบว่างูเหลือมตัวเล็กซึ่งเคยขดอยู่บนนั้น ตอนนี้มันได้เลื้อยหายไปจากม้านั่งตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ “ตะ แต่เมื่อกี้งูตัวนั้นมัน...อะ” น้ำเสียงตกอกตกใจถูกทำให้เงียบลงเมื่อคนฟังเปลี่ยนมันเลื่อนมาใช้โอบกอดตัวฉันไว้เพียงวงแขนเดียว และเริ่มก้าวเท้าลากดึงฉันให้เดินถอยหลังกลับไปยังเก้าอี้ตามแรง “นี่จะทำอะไร ปล่อยนะ!” ฉันไม่เคยชินกับการอยู่ใกล้ชิดใคร ไม่เคยแนบชิดกายกับผู้ชายคนไหนมาก่อนนอกจากพ่อ ร่างกายจึงแสดงปฏิกิริยาต่อต้านการกระทำของอีกฝ่ายทันที ทั้งที่เฮนเลย์ไม่ได้ตัวใหญ่มากเลยแท้ๆ แต่พลังการกอดรัดตัวฉันจากวงแขนแกร่ง แน่นและรุนแรง ไม่ต่างอะไรจากความรู้สึกในความฝันเลยสักนิด “เฮนเลย์หยุดนะ!” ฉันปรามเขา แต่อีกฝ่ายก็ใช่ว่าจะสนใจ สุดท้ายเฮนเลย์ก็ลากพามายังม้านั่งตัวประจำจนได้ ฟึ่บ! ตุบ! “เรียกธอนสิ...โบอา” มิหนำซ้ำเขายังพูดเหมือนไม่ได้ฟัง ที่สำคัญสำเนียงการพูดที่มักจะลงท้ายด้วยชื่อฉันอย่างสนิทสนมนั่นก็ฟังดูคุ้นหู... “โอเคธอน...” คำพูดซึ่งเหมือนใจเย็นกับทุกสิ่งทำฉันยกมือสองข้างขึ้นทั้งที่ยังถือขวดน้ำแร่และขนมปังไว้แสดงการยอมแพ้ “ฉันอยากไปจากตรงนี้ ขอฉันลุกออกไปหน่อยได้ไหม?” “ไม่ได้...” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าคนตอบ ซึ่งขัดกับน้ำเสียงเฉื่อยเฉย ภาพลักษณะและการแสดงออก มันเริ่มทำให้ฉันตระหนักได้ว่า นี่อาจจะเป็นการแกล้งรูปแบบใหม่ตามประสาเด็กใหม่ก็ได้ บางทีซานดร้าอาจจะพูดอะไรเกี่ยวกับฉันในช่วงที่เธออยู่กับเฮนเลย์สองต่อสอง สุดท้ายทุกคนก็เป็นเหมือนกันหมด... “นายต้องการอะไร?” ฉันขมวดคิ้วถามอย่างใจเย็น แม้ลึกๆจะรู้สึกไม่ชอบการถูกแกล้งแบบนี้เอาเสียเลยก็ตามที แต่ก็ยังหวังว่าคำถามเมื่อครู่มันจะช่วยทำให้เขาหยุดแกล้งฉันตามคำยุคนอื่นสักที แต่ก็เปล่า... “พี่ต้องการ โบอา...” เขาให้คำตอบตามสิ่งที่ถูกถามคล้ายจงใจยียวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาจงใจรุกแกล้งหนักข้อขึ้น ด้วยการโน้มลำตัว เคลื่อนใบหน้าหน้าลงมาหาอย่างรวดเร็ว พลางทาบมือลงกับที่วางแขนของม้านั่งแทนหลักยึด “อะ...” กึก! ระยะที่ใกล้กันจนเหลือระยะห่างแค่ลมหายใจ ราวกับสะกดทุกอย่างรอบตัวให้เคลื่อนไหวช้าลง จากที่ว่าเห็นนัยน์ตาสีอ่อนคู่นั้นชัดอยู่แล้ว คราวนี้ยิ่งชัดมากขึ้นไปอีก สายตาเหมือนถูกสะกดให้มองลึกเข้าในนัยน์ตาเรียวรีเบื้องหน้าอยู่อย่างนั้น จนวูบหนึ่งที่ในหัวปรากฏภาพของงูตัวใหญ่สีดำในความฝันเจนชัดเข้ามาในความคิด ภาพของงูตัวดังกล่าวกำลังใช้ลำตัวบีบรัดร่างกายฉันไว้ขณะที่มันใช้ลิ้นสองแฉกน่าขยะแขยงตวัดผ่านข้างแก้มไป เฉกเช่นเดียวกับตอนนี้... “เฮือก!” ตอนที่เฮนเลย์กำลังกระทำแบบเดียวกับที่อสรพิษน่าตัวนั้นเคยทำ หากแต่มันไม่ใช้ลิ้นสองแฉกของสัตว์เลือดเย็นแต่เป็นลิ้นนุ่มชื้นแฉะของสัตว์เลือดอุ่นอย่างเช่นมนุษย์ โดยเจ้าของเรียวลิ้นร้อนดังกล่าวได้ทิ้งเสียงกระซิบสั้นๆ ข้างหูไว้เพียงแค่ว่า “วันนี้กลับบ้านกับพี่นะ โบอา...”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD