บทนำ
บทนำ
“ให้เอมไปแทนได้ไหมคะ ตาไม่อยากไป! ตากับแดนเรารักกันคุณแม่ก็รู้!”เป็นเสียงของสิตา บุตรสาวเพียงคนเดียวของครอบครัว รุจินันท์ ที่เอ่ยขึ้นหลังจากได้ทราบเรื่องบางอย่างจากปากมารดาผู้ให้กำเนิด ที่ในวันนี้นางจนปัญญาจะปิดเรื่อง ‘บางอย่าง’ กับลูกแล้วจริงๆ ถึงได้ตัดสินใจสภาพทุกอย่างออกมา
“รักแล้วมันกินเข้าไปได้ไหมห๊ะ! แกอย่าทำเสียเรื่องจะได้ไหมยัยตา ตอนนี้ครอบครัวของเรากำลังแย่ ดูหนี้สินที่พ่อแกทิ้งเอาไว้เสียก่อน อีกอย่างทางนั้นเองก็เขาบอกชัดเจนว่าต้องการแก ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ได้!” ลองหาก ‘ทางนั้น’ ไม่ชี้ชัด ว่าคนที่ต้องการตัวคือบุตรสาวแท้ๆ ของนางแล้วล่ะก็ คุณบัวบุษยาคงยกหลานสาวของสามีผู้ลาลับให้ไปนานแล้ว
ใครเลยจะอยากเห็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตัวเองไปเป็นนางบำเรอขัดหนี้ หนี้ที่นางกับลูกไม่ได้เป็นคนก่อ แต่ต้องเป็นฝ่ายชดใช้ เพราะสามีผู้ซึ่งเป็นเจ้าของหนี้ตัวจริงมาด่วนชิงตายไปเสียก่อนด้วยภาวะโรคหัวใจล้มเหลว
ซึ่งหลังจากที่ไอ้แก่นั่นตายไปได้ไม่เท่าไหร่ เจ้าหนี้ก็ส่งคนบุกมาถึงบ้าน พร้อมเอกสารสำคัญหลายฉบับ นั่นเองที่มันทำให้นางได้รู้ความจริง ว่าที่ผ่านมารายได้จากการประกอบธุรกิจส่งออกผ้าไหมของครอบครัวนั้นตกต่ำลงเป็นอย่างมาก เพราะค่านิยมของผู้คนที่มีต่อผ้าไหมนับวันยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ และเพื่อต้องการพยุงฐานะทางสังคมเอาไว้ สามีของนางจึงตัดสินใจไปกู้เงินมาก้อนหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด ก่อเกิดกลายมาเป็นหนี้สินขึ้นมาอย่างที่เห็น!
คราแรกนางปฏิเสธเสียงแข็ง ว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรเกี่ยวกับหนี้ก้อนนั้น เพราะสามีไม่เคยพูดหรือเอ่ยถึงมันให้ได้ยินเลยสักครั้ง แต่เมื่ออีกฝ่ายยืนยันมาว่าจะดำเนินเรื่องทางกฎหมายหากทางนางยังคงยืนยันที่จะปัดความรับผิดชอบ นางจึงจำใจต้องแบกรับหนี้ก้อนนั้นเอาไว้ ด้วยไม่อยากให้ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล ที่เป็นถึงหม่อมเจ้าต้องเสื่อมเสีย เพียงเพราะความเลือกผัวผิดของตัวเอง!
“เห็นแก่ความปองดองครั้งเก่าครั้งที่คุณแม่ของผมยังมีชีวิตอยู่ ผมยินดีล้างหนี้ให้ถ้าเพียงแต่คุณหญิงยอมยกสิตาให้ผม”
แม้ฝ่ายนั้นจะไม่ได้บอกชัดถึงสถานะที่จะมอบให้ แต่นางก็พอรู้มาว่า ‘กานต์’ ผู้เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของครอบครัวนั้นใช้ผู้หญิงเปลืองแค่ไหน จึงค่อนข้างลำบากใจที่จะพูดเรื่องนี้กับลูกจนกระทั่งเมื่อสามวันก่อน ที่ฝ่ายนั้นส่งคนมาสอบถามถึงคำตอบ
”นายให้ผมเรียนคุณหญิงว่า หากยังไม่ได้รับคำตอบในเร็ววันนี้ ข้อเสนอที่เคยคุยกันไว้ คงต้องขอยกเลิกทั้งหมดครับ” คำพูดนั้นทำให้รู้ ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เดือดร้อนเลยสักนิด หากทางนางจะปฏิเสธ นั่นยิ่งทำให้รู้สึกมืดแปดด้าน จนสุดท้ายจึงตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้ลูกได้ฟัง เผื่อว่าบางทีสิตาจะยอมรับข้อเสนอ เพื่อช่วยครอบครัวให้หลุดพ้นจากสถานการณ์บ้าๆ เหล่านี้
“ตาไม่อยากทำนี่คะ! ทำไมคุณแม่ต้องบังคับตาด้วย” สิตายังคงยืนยันเสียงแข็ง แม้จะเข้าใจถึงความจำเป็นของผู้เป็นแม่ ว่าท่านคงหมดหนทางแล้วจริงๆ ถึงได้ยอมสารภาพความจริงให้เธอได้รู้ หลังจากปิดมานานหลายเดือน แต่ถึงรู้ เธอก็ไม่อยากทำอยู่ดี
หนึ่งเลยก็คือเธอมีคนที่เธอรักอยู่แล้ว และเหตุผลที่สำคัญไปมากกว่าอะไรทั้งหมดนั้น คือตอนนี้เธอกำลังตั้งท้องลูกของเขาอยู่ แล้วแบบนี้จะให้เธอตอบตกลงทางนั้นไปได้อย่างไรกัน!
ในเมื่อเธอกำลังจะมีลูกกับผู้ชายที่เธอรัก! ชีวิตคู่ของเธอกับคนรักกำลังจะเริ่มต้นขึ้น เธอไม่อยากทำลายทุกอย่างลงเพียงเพราะเรื่องหนี้สินของครอบครัว อีกทั้งยังเป็นหนี้ที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อ แล้วทำไมเธอจะต้องเป็นคนชดใช้ด้วย มันไม่ยุติธรรมเลย!
“ไม่อยากทำแกก็ต้องทำ! ไม่อย่างนั้นทั้งแกแล้วก็ฉัน เตรียมตัวย้ายไปอยู่ในสลัมได้เลย! หรือถ้าคิดว่าไอ้แฟนกระจอกๆ ของแกมันจะช่วยอะไรได้ก็ลองดูสิ ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าน้ำหน้าอย่างมันจะมีปัญญาช่วยแกได้สักกี่น้ำ!” คำประชดนั้นทำใจคนฟังเจ็บปวดไม่น้อย ด้วยพอจะรู้ดีว่าคนรักของเธอนั้นไม่ใช่ลูกผู้ดีมีเงินมาจากที่ไหน เขาเป็นแค่พนักงานบริษัทกินเงินเดือนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นเธอเอง...ที่ตกหลุมรักในความธรรมดานี้ของเขา และก็เป็นเธอเองอีกเช่นเคย ที่จะไม่ยอมให้หนี้สินของผู้เป็นพ่อ มาทำลายความรักดีๆ ของเธอกับคนรัก!
ไม่มีวัน!
“พี่ตา...ไม่เป็นไรนะคะ” เอมมิกา ที่แอบฟังบทสนทนาของทั้งสองคนอยู่นานจำต้องรีบพาตัวเองเข้ามาหาผู้เป็นพี่ ซึ่งแม้อีกฝ่ายจะไม่ใช่พี่แท้ๆ แต่สิตากลับไม่เคยแสดงท่าทีไม่ต้อนรับให้เธอได้เห็นเลยสักครั้ง นับตั้งแต่วันที่คุณลุงปราบพาเธอเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ หลังจากที่พ่อกับแม่ของเธอเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุ
“เอม! เอมอยู่ตรงนี้นานรึยัง ละ...แล้วนี่เราได้ยินอะไรไปแล้วบ้าง” สิตาเอ่ยถามน้องรักด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออย่างหนัก นาทีนี้เธอกลัวว่าอีกฝ่ายจะมาทันได้ยินคำพูดที่มันเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวของตัวเองเมื่อครู่ จนเมื่อน้องเลือกที่จะเงียบ จึงรู้ได้ด้วยตัวเองว่าเอมมิกาคงได้ยินหมดทุกอย่าง นั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาครามครัน ที่ชั่วนาทีหนึ่งเกิดนึกอยากจะโยนปัญหาของครอบครัวไปให้คนตรงหน้าที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรต้องแบกรับ ทั้งๆ ที่ผ่านมานั้น... อีกฝ่ายช่วยเหลือครอบครัวมาก็มาก เป็นเธอเสียมากกว่าที่ปัดความรับผิดชอบต่อทุกสิ่ง เลือกที่จะบินไปเรียนต่อ ปล่อยให้หน้าที่ดูแลพ่อกับแม่ตกเป็นของน้องไป
“พี่ขอโทษนะเอม พี่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น พี่ขอโทษจริงๆ” เธอไม่อยากให้น้องรู้สึกแย่กับตัวเอง จึงได้แต่เอ่ยคำขอโทษออกไป
ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าอะไรทำให้มีความคิดสกปรกแบบนั้นออกมาได้ อาจเพราะกลัวจะถูกแยกจากคนรัก กลัวว่าชีวิตที่เหลือจะต้องอยู่อย่างตกนรกทั้งเป็น เลยทำให้เธอพูดอะไรไม่คิดแบบนั้นออกไป