“ค่ะ...เอ่อปล่อยสิคะเราต้องทำงานกันแล้ว นี่มันก็เลยเวลามาพักมานานแล้วนะคะ”
“แต่ผมยังไม่อิ่ม...” ทอเลเมียสผลักร่างเล็กออกห่างตัวแล้วพูดเย้าเธอด้วยสายตาหวานฉ่ำ
“ไม่อิ่มคุณก็ทานต่อสิคะ ฉันขอตัวไปทำงานก่อน”
“ผมอยากให้คุณป้อนผมบ้าง...”
“นี่คุณ...”
“โกรธเหรอ...ผมขอโทษ” ชายหนุ่มรีบดักคอเมื่อเห็นสาวเจ้าทำหน้าไปไม่ถูก คงจะทั้งอายทั้งสับสนกับการรุกแบบไม่ให้ตั้งตัวของเขา
“เปล่าค่ะแต่ฉันต้องไปทำงานแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงเสร็จไม่ทันเวลาแน่ๆ”
“เดี๋ยวผมช่วย ถ้ายังไม่เสร็จอีกก็ให้คนอื่นทำ แต่ตอนนี้คุณป้อนผลไม้ในจานนี่ให้ผมก่อน...ป้อนให้หมดเลยนะ”
“ได้ยังไงคะ ฉันไม่ได้ไร้ความรับผิดชอบขนาดนั้นนะคะ แค่นี้คนอื่นเขาก็เขม่นฉันจะแย่อยู่แล้ว” หญิงสาวเผลอปากพูดออกไปเมื่อเขาเสนอให้คนอื่นเข้ามาช่วยงานที่เธอต้องรับผิดชอบ
แต่จะว่าไปมันก็จริง...ใครๆ ในบริษัทนี้นอกจากเลขาหน้าห้องของเขา ทรงภูมิ โยธิน และพิศณุแล้ว พนักงานคนอื่นๆ แค่มองก็ดูออกแล้วว่าไม่ชอบขี้หน้าเธอเลย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ...เขา พนักงานหลายคนที่เป็นผู้หญิงมักจ้องตาเป็นมัน ยามที่เธอไปไหนมาไหนกับทอเลเมียส แม้จะเป็นเรื่องงานก็เถอะ แต่มันก็สร้างความสงสัยแปลกใจเกี่ยวกับสถานะความสัมพันธ์ระหว่างเธอ และชายหนุ่มผู้นี้ไม่น้อย
แล้ววันนี้สิ่งที่ทุกคนรวมถึงเธออยากรู้ก็กระจ่างเสียที
“เอาเถอะมัวแต่ทะเลาะกันเสียเวลาเปล่า คุณป้อนผมหน่อยสิผมอยากทานผลไม้หวานๆ น่านะ...เดี๋ยวเราช่วยกันทำงานที่เหลือจนกว่าจะเสร็จก็แล้วกัน ผมสัญญาว่าจะไม่กวนใจคุณอีก”
“แน่นะคะ...”
“ครับ...คนดีของผม”
สายตาเย้ายวนของเขายังคงมองเธออย่างไม่วางตา พร้อมด้วยคำพูดหวานๆ ที่พ่นออกมาไม่ขาดปาก ทำให้หญิงสาวที่กำลังเอื้อมมือใช้ส้อมจิ้มผลไม้มาป้อนต้องผจญกับความเขินอายอย่างไม่รู้จะหลีกเลี่ยงยังไง
“หวานจังเลย...”
“รีบทานสิคะ...เดี๋ยวก็เลิกงานกันพอดี”
“ก็มันหวาน...หอม...แล้วก็อร่อยที่สุดเท่าที่ผมเคยกินผลไม้มา”
“คุณนาซี! ถ้าขืนคุณยังไม่รีบอีกฉันจะไม่ตามใจคุณแล้วนะคะ” อรุโณรีย์เค้นตาใส่ให้กับความเจ้าเล่ห์ของเขา ที่อ้อยอิ่งถ่วงเวลาอย่างกับตอนนี้ไม่ได้อยู่ในที่ทำงานกันอย่างนั้นแหละ
“โอเค...อิ่มแล้ว แต่เลิกงานแล้ววันนี้ผมจะไปส่งนะ อยากไปพบคุณพ่อคุณเพื่อขออนุญาตเรื่องไปเที่ยวกันอาทิตย์หน้าด้วย”
“มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอคะ”
“อย่ากลัวสิครับ...ให้คนขับรถของคุณขับตามไปก็ได้”
“ฉันไม่ได้กลัวหรอกค่ะ แค่คิดว่ามันจะเหมาะหรือเปล่าคนอื่นเขาจะมองกันยังไงล่ะคะ”
“ก็ช่างเขาสิ ผมเองก็ไม่ได้อยากปิดบังใครอยู่แล้ว ถ้าใครๆ ในบริษัทนี้รู้ว่าคุณกับผมเป็นอะไรกันก็ยิ่งดีพวกพนักงานหนุ่มๆ มันจะได้เลิกมองคุณตาเป็นมันซะที” ชายหนุ่มบอกพร้อมวางมือพาดไปตามความยาวของพนักโซฟา ปลายมือของเขาวางตรงกับศีรษะหญิงสาวพอดี จึงถือโอกาสนั้นใช้ปลายนิ้วพันผมนุ่มๆ ม้วนเล่นเสียเลย
“ฉันขอไปกับคนขับรถเหมือนทุกวันแล้วให้คุณขับตามไปได้ไหมคะ...” มิวายยังหาข้ออ้างมาต่อรอง
“ถ้ารังเกียจผมกลัวผมขนาดนั้นก็ได้ครับ...ผมก็ไม่บังคับฝืนใจคุณหรอก”
“ฉันไม่ได้คิดอย่างที่คุณว่าซะหน่อย...ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” หญิงสาวแสนจะอ่อนใจจนยอมใจอ่อนให้กับเขาจนได้ เธอถอนหายใจเฮือกก่อนจะยิ้มเชิงขอตัวแล้วลุกเดินไปทำงานที่โต๊ะของตัวเองอีกครั้งโดยที่เขาก็ไม่ยื้อไว้อีก ตกเย็นเมื่อถึงเวลาเลิกงาน สองหนุ่มสาวก็เดินเคียงคู่กันออกจากบริษัท ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของหลายๆ คน และยิ่งต้องมองกันตาแทบถลนออกมานอกเบ้า เมื่อทั้งคู่นั่งรถคันเดียวกันออกไปโดยมีรถของทางบ้านหญิงสาวขับตามหลัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เพราะถึงแม้ทอเลเมียสและอรุโณรีย์มักไปไหนมาไหนด้วยกันในเรื่องงาน ก็มักมีพนักงานคนอื่นติดสอยห้อยตามไปด้วยเสมอ ไม่เคยไปกันสองต่อสองแบบนี้เลย
เหตุการณ์ดังกล่าว นำความสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่ให้ยิ่งคลุมเครือ พนักงานสาวหลายคนที่แอบปลื้มแอบหลงรองประธานหนุ่มอยู่ห่างๆ ก็ได้แต่เจ็บอกเจ็บใจที่เขาไม่เคยชายตามอง แต่เพียงแค่อรุโณรีย์เข้ามาทำงานไม่กี่วันก็ได้อยู่ใกล้ชิดกับเขาเสียแล้ว แถมยังมีแนวโน้มว่าทั้งคู่จะลึกซึ้งเสียมากกว่าเจ้านายกับลูกน้อง ที่ถูกฝากมาฝึกงานเสียอีก
รถเก๋งคันงามขับเรื่อยมาตามท้องถนน เพื่อมุ่งไปยังบ้านของหญิงสาวซึ่งเป็นคฤหาสน์หรู ชายหนุ่มไม่ได้รีบร้อนอะไรเขาลอบมองใบหน้าหวานของคนนั่งข้างตลอดทาง ซึ่งเธอก็มักยิ้มและมองตอบมาเป็นระยะเช่นกันแต่ไม่มีคำพูดใดเอ่ยออกมาจากปากคนทั้งคู่
คนขับรถของบ้านหญิงสาวยังขับตามมาเช่นเคย ทอเลเมียสมองผ่านกระจกก็เห็นว่าระยะห่างไม่ไกลกันเท่าไหร่นัก เขาจึงเหยียบคันเร่งและแซงรถด้านหน้าไปหลายคันทำให้ทิ้งความห่างกันออกไปอีก อรุโณรีย์ไม่ได้รับรู้ว่าความเร็วของรถเพิ่มขึ้น เธอไม่ได้มีสมาธิใส่ใจมันมากพอจนกระทั่งชายเมื่อถึงทางแยกแห่งหนึ่ง รถก็เลี้ยวไปอีกเส้นทาง ซึ่งไม่ใช่ทางที่จะไปบ้านของเธอนั่นแหละ ถึงได้ออกปากถาม
“นี่ไม่ใช่ทางไปบ้านฉันนี่คะ เราจะไปไหนกันเหรอคะ”
“อ๋อ...ไม่ต้องกลัวไปหรอก ผมแค่จะแวะซื้อของฝากติดไม้ติดมือไปให้คุณพ่อคุณ”
“แต่คนขับรถของฉันเขาคงไม่เห็นเราแน่ๆ ฉันมองไม่เห็นรถที่บ้านเลยทำยังไงดีล่ะคะ”
“คุณมีเบอร์โทรฯ เขาไหม บอกว่าให้ล่วงหน้าไปก่อนเราแวะทำธุระกันนิดหน่อยอีกเดี๋ยวจะตามไป” ทอเลเมียสเสนอ ตัวเขาเองน่ะรำคาญตั้งแต่แรกแล้ว หญิงสาวทำอย่างกับเขาคือผู้ร้ายลักพาตัวอย่างนั้นแหละ แค่พาไปส่งบ้านแค่นี้ยังต้องให้มีคนคอยตามติดแจ รู้สึกตัวเองกำลังอยู่กับเด็กอนุบาลอย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียว
“งั้นฉันขอโทรบอกคุณพ่อด้วยนะคะ เดี๋ยวท่านจะเป็นห่วง”
“ได้ครับ...ให้ผมคุยด้วยนะท่านจะได้วางใจว่าลูกสาวไม่ได้ถูกลักพาตัวไปข่มขืนหรอก”
“คุณ...พูดอะไรอย่างงั้นคะ”
“อันที่จริงผมอยากทำจะแย่” “คนบ้า...ไม่พูดด้วยแล้ว...” อรุโณรีย์ถอนหายใจหนักๆ เพราะทำตัวไม่ถูกอีกแล้วเธอมักมีอาการแบบนี้บ่อยๆ ยามต้องอยู่สองต่อสองกับเขา แต่ตอนนี้ยิ่งเป็นหนักเข้าไปอีก เพราะสถานะที่เปลี่ยนไปนั่นเอง โทรศัพท์ในกระเป๋าถูกหยิบขึ้นมากดหมายเลขปลายสาย เธอพูดคุยกับบิดาสองสามคำเพื่อบอกกล่าว ก่อนจะยื่นให้ชายหนุ่มสารถี ซึ่งเสนอจะคุยรับรองความปลอดภัยให้
“สวัสดีครับคุณ...วงศ์ศาสตร์ ผมทอเลเมียสนะครับตอนนี้ลูกสาวของคุณอยู่กับผมเองเรากำลังไปทำธุระนิดหน่อย แล้วผมจะแวะไปส่งเธอที่บ้าน คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ...” ชายหนุ่มบอกกับปลายสายด้วยน้ำเสียงเรียบ พยายามข่มอารมณ์บางอย่างเอาไว้
“ครับ...ไม่นานหรอกครับแล้วผมจะรีบพาเอพริลไปส่ง...ครับ...สวัสดีครับ...” เครื่องมือสื่อสารถูกส่งให้กับเจ้าของ ก่อนที่ทอเลเมียสจะหันมาจับพวงมาลัยบังคับทิศทางอีกครั้ง
“คุณพ่อว่ายังไงบ้างคะ”
“ไม่มีอะไรนี่ แค่ถามว่าจะไปไหนกันแล้วกลับกี่โมง ผมก็บอกไปตามความจริง คุณไม่ต้องกังวลหรอกท่านไม่ได้ว่าอะไรคุณ”
“ฉันไม่อยากทำตัวให้คุณพ่อเป็นห่วงค่ะ เพราะท่านมีฉันแค่คนเดียวแล้วก็รักฉันมาก...”
“ผมเข้าใจ...แต่เราแค่กลับบ้านช้าเท่านั้นเองนะไม่ได้กำลังวางแผนโจรกรรมข้ามชาติ”
อรุโณรีย์หันมองหน้าคนพูดอย่างอึ้งๆ รู้สึกอายขึ้นมานิดๆ ที่ตัวเองทำตัวเป็นลูกแหง่ไม่รู้จักโต เธอไม่ได้ต่อปากอะไรกับเขาอีกก้มหน้าและคร่ำคิดถึงอนาคตวันข้างหน้า นี่ขนาดแค่เพิ่งเริ่มต้นความสัมพันธ์เท่านั้น เธอยังรับรู้ได้ถึงความอึดอัดใจของเขา แล้วต่อไปล่ะ...มันจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นมากมายแค่ไหนกัน
“เอพริล...คุณไม่สบายใจเหรอเมื่อกี้ผมล้อเล่นเท่านั้นเอง”
“ไม่นี่คะฉันไม่ได้เป็นอะไร”
“อย่าคิดมากสิ ผมตั้งใจแล้วว่าจะคบกับคุณก็หมายความตามนั้นผมอาจใจร้อนไปบ้าง แต่ผมสัญญานะว่าจะเข้าใจคุณให้มากที่สุดในทุกๆ เรื่อง...” ทอเลเมียส กล่าวปลอบใจ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าคำพูดเมื่อครู่อาจทำให้หญิงสาวสะเทือนอกเล็กน้อย ก็เขาเล่นจี้ใจดำซะขนาดนั้น
“ขอบคุณค่ะ...” อรุโณรีย์ตอบเสียงแผ่วแต่ก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง อย่างน้อยเขาก็คงไม่ได้รำคาญเธอเสียทีเดียวเพียงแต่อาจไม่ชินกับการต้องคบหากับผู้หญิงที่ต้องอยู่ในกฎระเบียบอย่างเธอ
“ฉัน...ไม่เคยคบกับใครค่ะ ก็เลยไม่รู้ว่าคนที่เป็นแฟนกันเขาต้องทำยังไงบ้าง ที่ผ่านมาฉันตั้งใจเรียนและเชื่อฟังคุณพ่อมาตลอดเพราะไม่อยากให้ท่านผิดหวัง ชีวิตของท่านมีแค่ฉันคนเดียวเท่านั้นท่านทำทุกอย่างก็เพื่อฉัน...”
“ผมเข้าใจ คุณไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นเป็นตัวของตัวเองดีที่สุดแล้วและผมก็ชอบที่คุณเป็นแบบนี้เข้าใจไหม” ไม่พูดเปล่ามือข้างซ้ายก็วางจากการจับพวงมาลัยมาดึงมือเรียวเล็กมากุมไว้แล้วบีบเบาๆ เป็นการให้กำลังใจพร้อมหันมาส่งยิ้มละมุนให้ ก่อนจะหันกลับไปมุ่งกับการทำหน้าที่พลขับ แต่มือใหญ่ก็ยังไม่ยอมปล่อย ยังคงจับประสานมือน้อยๆ ของหญิงสาวเอาไว้ตลอดทางจนถึงร้านขายของฝากที่ว่า
ทั้งคู่เลือกของชวัญชิ้นหนึ่ง ที่ลงความเห็นกันว่าเหมาะสมกับบิดาของหญิงสาวมากที่สุด แล้วส่งให้พนักงานจัดการห่ออย่างสวยงาม เมื่อเสร็จสรรพก็พากันออกจากร้านแล้วขึ้นรถขับออกไป
อรุโณรีย์เป็นคนถือของชิ้นนั้นเอาไว้เธอวางมันลงบนตัก และเอามือสองข้างจับไว้มั่น ริมฝีปากถูกเม้มเข้าหากันครั้งแล้วครั้งเล่า สายตาก็แอบมองพลขับแต่ไม่กล้าพูดอะไรออกมา กลัวเขาจะสวนคำหวานๆ กลับจนเธอตั้งตัวไม่ติดเข้าให้อีกแม้จะได้ยินมาทั้งวันและก่อนหน้าก็โดนหยอดอยู่บ่อยๆ เป็นเดือนแต่ยังไงมันก็ยังไม่ชินอยู่ดี