บทที่ 9 ตอนที่ 4

1733 Words
พลบค่ำเข้าไปแล้วอาการของอรุโณรีย์ก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ ทอเลเมียสพยายามพูดปลอบประโลมให้เธอไปตรวจที่โรงพยาบาลแต่หญิงสาวก็คัดค้านไม่ยอมท่าเดียว แถมยังมีขู่ว่าจะโกรธเขาไปชั่วชีวิตอีกถ้ายังขืนบังคับเธออยู่แบบนี้ ดูเอาเถอะแม่สมันน้อย...คิดว่าตัวเองมีค่าขนาดนั้นเชียว                                                                      “อืม...แม่ขา...” เสียงแผ่วเบาแว่วดังมาจากคนตัวเล็กในอ้อมแขน ทอเลเมียสที่ยังนอนดูทีวีอยู่จึงละสายตาจากรายการโปรดมามอง เธอขยับตัวเข้ามาเบียดเขาทั้งๆ ที่อยู่ประชิดกันจนแทบจะเป็นเนื้อเดียว “หนูคิดถึงแม่...” อีกครั้งที่เสียงหวานๆ ละเมอหามารดาผู้ล่วงลับ ไม่น่าเชื่อว่าอายุปูนนี้เข้าไปแล้วยังจะนอนละเมอหาแม่เป็นเด็กๆ ได้อีก...แล้วเขาล่ะเคยหรือเปล่า “เอพริลนอนเถอะ...” เขากระซิบบอกตรงริมกกหูขาวสะอาดแล้วรวบร่างมากอดให้แน่นขึ้นอีก ก้มลงจูบซับตรงขมับและหน้าผากมนเบาๆ รู้สึกใจหายลึกๆ ในสิ่งที่อรุโณรีย์กำลังเป็น เขาพอจะรู้ว่าเธอสูญเสียมารดาตั้งแต่แบเบาะนั่นหมายความว่าหญิงสาวคงยังจำหน้าผู้ให้กำเนิดไม่ได้ด้วยซ้ำ จะเห็นหรือรู้จักก็คงเป็นแค่ในรูปภาพเท่านั้น ถ้าเทียบกับเขา...ที่เคยมีชีวิตอย่างผาสุก ทุกอย่างห้อมล้อมไปด้วยความอบอุ่นที่บุพการีทั้งสองมอบให้ความรู้สึกมันคงต่างกันลิบลับ เพราะอรุโณรีย์นั้นถึงจะถูกเลี้ยงดูแบบทะนุถนอมเป็นอย่างมากก็จริง แต่วงศ์ศาสตร์นั้นก็ไม่ได้เอาใจใส่อย่างใกล้ชิดเท่าไหร่ คงใช้แต่เงินและคนมาคอยปรนเปรอให้เธอ ซึ่งเขารู้ว่าความรักตรงนั้นต่อให้เอาสิ่งใดมาชดเชยมันก็ไม่มีวันสมบูรณ์แบบไปได้หรอก             แต่ก็ช่างน่านับถือหัวใจดวงน้อยของหญิงสาวนัก ที่เข้มแข็งและเข้าใจในความจำเป็นของผู้ให้กำเนิด ทำตัวเป็นเด็กดีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ได้ใจแตกสำมะเลเทเมาแล้วโยนความผิดทั้งหมดให้ครอบครัวว่าไม่อบอุ่นเหมือนคนอื่น                           “อย่าสับสนนาซี...ผู้หญิงคนนี้คือลูกไอ้ฆาตกร เธอสมควรได้รับผลกระทบจากการกระทำของพ่อชั่วๆ มันไม่ใช่ความผิดของนาย...นาซี” ชายหนุ่มผลักความคิดที่แปลกแยกจากความตั้งใจเดิมออกไปพร้อมๆ กับร่างงามระหงก็ถูกผลักให้ห่างตัวอย่างไม่ไยดีก่อนจะยกสองมือประสานกันไว้บนหมอนและดูทีวีต่อ ภายในใจของเขานั้นไม่เคยหยุดคิดถึงขั้นตอนต่อไปที่ต้องดำเนินการ ยิ่งช้าเวลาก็ยิ่งเสียเปล่า ตอนนี้หนทางเดียวที่เขาจะล่วงรู้ความเป็นไปของวงศ์ศาสตร์และจัดการถอนรากถอนโคนเสียมีทางเดียวคือต้องใช้อรุโณรีย์ให้เป็นประโยชน์ ตอนที่บิดาของเธอฮุบเอาทุกอย่างไปจากชีวิตเขาแม้แต่ลมหายใจของผู้ให้กำเนิดยังใช้วิธีการชั่วช้าสารพัดโดยไม่คำนึงถึงอะไรเลย แล้วเขาจะสนใจทำไมว่าการเอาทุกอย่างคืนมาจำเป็นต้องใช้วิธีไหน “อืม...”  “นอนให้สงบซะเอพริล...ไม่อย่างนั้นเธอได้เดือดร้อนกลางดึกทั้งที่เป็นไข้แบบนี้แน่ๆ” ชายหนุ่มบอกคนหลับใหลที่กำลังขยับเบียดหาความอบอุ่นจากเขา พยายามเก็บซ่อนความรู้สึกลึกๆ ที่อยากจะรวบร่างนั้นมากอดไว้แนบอกแล้วปลอบประโลมให้เธอหลับไปภายใต้กรงแขนของเขา แต่ก็นั่นแหละ...มีความจำเป็นอะไรต้องทำให้ถึงขนาดนั้นด้วย ไม่จับหักคอเสียตั้งแต่แรกเห็นก็เป็นอะไรที่น่าจะดีใจแล้วนะ                         ปาเข้าไปสองวันแล้วที่หญิงสาวต้องตกอยู่ในภาวะจำยอมต้องอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้เนื่องด้วยพิษไข้ที่รุมเร้า อาการโดยทั่วไปของเธอดีขึ้นมากคงเหลือที่ความปวดเมื่อยตามร่างกายเท่านั้นที่ยังคงอยู่ แต่เธอก็พอจะลุกเดินไปไหนมาไหนช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง ไม่เหมือนกับวันแรกที่แทบปางตายไปเลยก็ว่าได้                               ทอเลเมียสพยายามคะยั้นคะยอให้เธอไปหาหมอที่โรงพยาบาลหรือกระทั่งจะให้หมอมารักษาถึงที่นี่ แต่เธอก็ยังยืนกระต่ายขาเดียวไม่ยอมตามใจเขา มันเป็นความกังวลส่วนตัวที่ยากจะอธิบาย ซึ่งยิ่งอยู่ที่นี่นานเธอก็ยิ่งกลัวจนจับใจ ไม่รู้ว่าทางบ้านของเธอจะรู้ความเป็นไปของเธอมากน้อยแค่ไหน                                ที่สำคัญป่านนี้บิดาของเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง เพราะถึงแม้จะหวั่นใจเพียงไรเมื่อวานเธอก็ยังโทรฯ หาท่านอยู่แต่ไม่สามารถติดต่อได้ ซึ่งตรงกับที่ชายหนุ่มบอกกับเธอตั้งแต่แรก ว่าเขาพยายามติดต่อไปหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้เช่นกัน ความผิดบาปจะมีมากขึ้นอีกไหม ถ้าเธอจะถือโอกาสนี้ปิดบังความจริงเสียเลยไม่ให้บิดารู้ คิดว่าบรรดาคนรับใช้ในบ้านคงไม่มีใครกล้าปากโป้งฟ้องหรอกเพราะเดี๋ยวงานก็เข้าตัวตามๆ กัน บางทีอาจถึงขั้นไล่ออกไปเลยก็ได้เนื่องจากไม่เคยมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นเลย สำหรับท่านแล้วการหายตัวไปโดยที่ใครๆ ก็ให้คำตอบไม่ได้เช่นนี้ถือเป็นอะไรที่ร้ายแรงมาก “เอพริล...กินยารึยัง” เสียงเรียกคุ้นเคยทำให้เธอทิ้งความกังวลเหล่านั้นไว้ชั่วขณะแล้วหันมองไปตามเสียง ชายหนุ่มผู้แสนดีที่คอยดูแลเธอไม่ห่างยิ้มอบอุ่นเดินเข้ามาหา เขาอยู่ในชุดลำลองกางเกงขาสั้นเสื้อยืดสีน้ำตาลธรรมดาส่งเสริมให้ดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด “ค่ะ...กินแล้วค่ะ...” “ดีแล้วจะได้หายเร็วๆ อืม...นี่ตัวก็ไม่ร้อนแล้วนี่ไข้ลดลงแล้วล่ะ ยังปวดหัวอยู่ไหม” “ไม่ค่ะ...แค่...เมื่อยตัวนิดๆ หน่อยๆ”                                      “งั้นพรุ่งนี้ก็คงกลับกันได้แล้วล่ะ ผมจะได้เข้าบริษัททำงานต่อเลย ส่วนคุณ...ผมอนุญาตให้พักต่ออีกกี่วันก็ได้ตกลงไหม” ทอเลเมียสทรุดกายนั่งลงข้างๆ คนตัวเล็กแล้วฉวยโอกาสใช้สองแขนรวบเธอมากอดเอาไว้แล้วมิวายขโมยหอมแก้มขาวๆ นั้นเสียฟอดใหญ่ด้วย                                                                                                         “พรุ่งนี้เหรอ...ทำไมเราไม่กลับกันวันนี้เลยล่ะเอพริลไม่ได้เป็นอะไรแล้ว” อรุโณรีย์หันมามองใบหน้ากร้านทำตากะพริบตื่นๆ เมื่อเขาบอกเช่นนั้น ไม่รู้บ้างหรือไรว่าเธอน่ะร้อนใจจนไฟจะสุมไหม้ไปทั้งอกแล้ว “ก็ยังไม่หายดี ผมไม่อยากให้คุณนั่งรถไกลๆ ด้วยสภาพแบบนี้” “ไม่ได้นะคะ...” เธอขืนตัวจับมือใหญ่ของเขาให้คลายออกจากรอบเอว แล้วหนันหน้าขาวซีดไปจ้องมองเอาจริงเอาจัง “ทำไม...ผมเป็นห่วงคุณนะ” “เรากำลังผิดคำพูดที่ให้ไว้กับคุณพ่อนะคะ เอพริล...” มันมากกว่าผิดคำพูดมามากแล้ว และเธอก็ไม่อยากทำผิดอีกต่อไป แม้ทางบิดาท่านจะยังไม่รับทราบแต่เธอก็รู้ตัวเองดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ “เราไม่ได้ตั้งใจนะเอพริล มันเป็นเหตุสุดวิสัย ตอนนี้ทั้งคุณทั้งผมต่างก็ไม่ปกติกันทั้งคู่ เราควรพักเอาแรง...” อันที่จริงทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหมายอย่างสวยงามเลยทีเดียว               “แต่...”                                                                                   “น่าคนดี...ผมจะรับผิดชอบทุกอย่างคุณไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้นนะ เรื่องคุณพ่อคุณก็เหมือนกันผมบอกแล้วว่าจะคุยกับท่านเองผมจะทำทุกอย่างไม่ให้คุณถูกดุแน่นอนจ้ะ” คนเหลี่ยมจัดยิ้มอ่อนโยน ใช้มือเกลี่ยผมที่ปลิวระใบหน้าก่อนจะชิงหอมแก้มนุ่มๆ นั่นอีกครั้งอย่างไม่อาจอดใจ “คุณนาซี...หยุดนะจะทำอะไรเอพริลคะ” หญิงสาวทักท้วงและปัดป้องเอาบ้างเมื่อเห็นว่าเขาไม่หยุดอยู่แค่การหอมแก้มเหมือนครั้งก่อนๆ แต่กลับซุกไซ้ไปทั่วใบหน้าเลยลงมาถึงลำคอระหง ซ้ำร้ายมือหนายังคอยเคล้นลูบไล้ตามเนื้อตัวไม่คิดหยุดอยู่กับที่ “เอพริล...คุณหอมหวานเหลือเกิน ผมแทบอดใจรอให้คุณฟื้นตัวเท่าวันนี้ไม่ไหวเลย” ใช่...แทบจะจับกดทั้งที่ยังนอนซมในคืนแรกนั่นแล้วล่ะ “เราทำผิดกันมามากแล้วนะคะ...พอเถอะค่ะ...” “ผิด? ผิดอะไรกันคนดี เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาของคนรักกันนะ หืม...อีกอย่างเราก็เป็นของกันและกันแล้วผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้คุณเจ็บอย่างครั้งแรกอีก” ชายหนุ่มเอ่ยคำตะล่อมไปด้วยพลาง เคล้าคลึงกอดจูบคนป่วยที่ดิ้นพล่านไปด้วยก่อนจะจับกดให้เธอทิ้งตัวราบลงบนที่นอน “คุณ...อื้อ!...” ริมฝีปากสีชมพูซีดช่างต่อรองถูกปิดประกบให้คำพูดต่อจากนั้นถูกกลืนลงลำคอกลายเป็นเสียงครางฮือ ทอเลเมียสกดทับหญิงสาวไว้ครึ่งตัวในขณะอีกครึ่งยังอยู่ด้านล่างเตียงนอน อรุโณณีย์พยายามดิ้นเพื่อเอาตัวรอดไม่ได้คิดยินยอมง่ายๆ แต่ความปวดเมื่อยที่รุมเร้า มันทำให้เธอขยับได้ไม่ถนัดเอาเสียเลย เพียงกระดิกนิดเดียวก็ร้าวระบมไปทั่วร่างเสียแล้ว จำต้องยอมให้เขากกกอดและสอดประสานชิวหาเข้าสู่โพรงปากแล้วพัวพันเอาลิ้นเล็กของเธอไปดูดดึงตามแต่ใจ            เมื่อปฏิกิริยาคนใต้ร่างอ่อนระทวยให้เขาตักตวงอย่างเต็มที่แล้ว ชายหนุ่มจึงผละออกจากความหอมหวานมาอุ้มเธอให้ขึ้นนอนอย่างเต็มตัว แล้วโถมลงทาบทับหาความนุ่มนิ่มอีกครั้ง ดึงคอเสื้อในชุดมัดย้อมสีฟ้าให้ร่นลงอย่างทุลักทุเลเพราะความรีบร้อน ริมฝีปากและปลายลิ้นร้ายไม่ได้ละจากหน้าที่การดอมดม และลองลิ้มชิมรสทุกๆ ตารางบนใบหน้านวล แม้จะมีความกังวลจนสะดุ้งสั่นเป็นบางครั้งแต่ความอ่อนโยนที่เขาปรนเปรอให้ในลักษณะที่นุ่มละมุนกว่าครั้งแรกมากนัก ถึงกับทำให้หญิงสาวเคลิบเคลิ้มและอ้อยอิ่งตามกระแสอารมณ์ยินยอมแต่โดยดีให้เขาเป็นผู้นำพา       
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD