EP.03
‘...ลาก่อน ลาก่อนเน้ออ้าย...’
เสียงนั้นดังอย่างชัดเจน ดวงตาที่ร้อนผ่าวมีน้ำตาอุ่นๆ ฉาบคลอรื้น เริ่มกะพริบอีกครั้งจนเขาไม่อาจหักห้ามมือตนเองยกขึ้นยีลูกตาไม่ได้
แล้ววินาทีนั้น...
ภาพที่เขาคิดว่าจะยังปรากฏอยู่ตรงหน้า กลับหายไป เพียงแค่เขายกมือขึ้นยีตาเท่านั้นเองนะหรือ
หัวใจหนุ่มสลดเศร้าเหมือนกับว่าร่างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าจะห่างหายไปนานแสนนาน
แต่ก่อนที่ความรู้สึกเศร้าเสียใจจะมีมากจนเกินไปอย่างไร้เหตุผล พลันดวงตาคู่คมกลับไปหยุดนิ่งยังตำแหน่งเดียวที่เขาเห็นแม่หญิงนางนั้นเป็นครั้งแรก
แท่นหินแท่งนั้น ยังคงตั้งเด่นอยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นไทรใหญ่ มันชัดเจนจนคล้ายดั่งว่าเมื่อครู่นางผู้นั้นจะเพิ่งลุกจากไปเอง
ชายหนุ่มไม่ช้าจะเดินตรงไปยังจุดนั้นอย่างรวดเร็ว มือหนึ่งถูกยกขึ้นแล้วเอื้อมไปวางทาบกับหินก้อนนั้นอย่างรวดเร็ว
วินาทีแรกที่มือวางทาบถึง พลันความรู้สึกอันหลากล้นก็บังเกิด ก่อนมือของเขาจะถูกชักกลับอย่างรวดเร็ว เมื่อกระแสบางอย่างซึ่งวิ่งเข้ามาที่มือของเขาดั่งกระแสไฟฟ้าซ็อต
ภูริตมองไปยังตำแหน่งเดิมที่มือของเขาเพิ่งวางลงไปอย่างค้นหา ไม่เข้าใจเหตุใดถึงได้เป็นเช่นนั้น แล้วดวงตาคู่คมก็ต้องเบิกขึ้นอีกครั้ง เมื่อตรงตำแหน่งเดิมมีก้อนดินก้อนเล็กๆ รูปร่างประหลาดวางแทนที่อยู่
มันมาได้อย่างไร...เขานึกอย่างไม่เข้าใจ
‘หยิบมันสิ...หยิบมันขึ้นมา’
คล้ายดั่งมีเสียงคอยบงการอยู่ข้างๆ หู ชายหนุ่มมิวายทำตามเสียงเรียกร้องนั้นอย่างรวดเร็ว
ประกายตาคู่คมเจิดจ้า ในยามที่มองหินก้อนนั้น นับวินาทีแรกที่เห็นมัน เขากลับรู้สึกคุ้นเคย คุ้นดั่งว่า มันเคยเป็นส่วนหนึ่งของความเจ็บช้ำ ที่จู่ๆ มันเกิดขึ้นภายใต้จิตสำนึกของเขา นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวย่างมาถึงที่นี่
‘เจ้าอ้าย...ลาก่อน...’
“เฮ้ยภู...แกเหม่ออะไรวะ”
เสียงเรียกที่ชัดเจนดึงให้ชายหนุ่มกลับมามีสติอีกครั้ง ก่อนเขาจะวางดินก้อนนั้นลงบนพื้นโต๊ะดุจเดิม แล้วค่อยเบนสายตาไปมองผู้มาใหม่ที่ยืนอยู่
หลังจากมารดาจัดการปฐมพยาบาลบุตรสาวจนคืนสติแล้ว รายการสอบถามจึงได้เกิดขึ้นแต่บัดนั้น
“เกิดอะไรขึ้น จันทร์” ผู้เป็นแม่ถามอย่างนึกห่วง ความตื่นเต้นตกใจยังไม่หาย นับแต่วินาทีแรกที่เปิดประตูห้องนอนของลูกสาวและเห็นจันทร์เจ้ายืนนิ่ง ใบหน้าซีดเผือด ก่อนร่างนั้นจะทรุดลงไปอย่างรวดเร็ว
กรอบหน้าสวยเริ่มกลับมามีเลือดฝาดอีกครั้งแล้ว ดวงตาคู่สวยเลื่อนมองโดยรอบก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของมารดา
“ไม่...ไม่รู้ค่ะแม่ เอ่อ...แล้วจันทร์เป็นอะไรหรือคะ”
“แม่ต่างหากที่จะต้องถามจันทร์ ว่าจันทร์เป็นอะไร”
“เป็นอะไร เมื่อกี้จันทร์เป็นอะไรหรือคะ” เหมือนเพิ่งตื่นขึ้นมาจากนิทราหญิงสาวยังนึกงง เมื่อครู่เธอยังอยู่ในห้องนอนและตอนนี้เหตุใดถึงมาอยู่ข้างนอกได้
ดั่งกับว่าห้วงความทรงจำเมื่อครู่จะถูกตัดทอนออกไปอย่างไรอย่างนั้น
ก่อนจะค่อยๆ เวียนกลับมาเรียบเรียงใหม่อีกครั้ง...
“ลูกเป็นลม จันทร์ไม่รู้สึกตัวหรือลูก”
“เป็นลม” จันทร์เจ้าหล่นเสียงถามกลับอย่างไม่เข้าใจ
“จันทร์เป็นลมหรือคะ”
“ใช่จ้ะ...แม่เรียกลูกอยู่ตั้งนาน เมื่อจันทร์หันกลับมาก็หน้าซีด แล้วก็วูบหมดสติไป”
“นานหรือเปล่าคะแม่”
“เกือบครึ่งชั่วโมง ดีที่แม่มาเจอ ไม่อย่างนั้นถ้าเป็นอะไรไป แม่จะทำยังไง” นางเพ็ญโผเข้าไปสวมกอดบุตรสาวอย่างรวดเร็ว
ทั้งห่วงใยและนึกกลัว จันทร์เจ้าเป็นลูกสาวคนเดียวของนาง หากเป็นอะไรขึ้นมานางจะอยู่ได้อย่างไร
“ยังไงหนูก็ฟื้นแล้วยังไงล่ะคะ ไม่เป็นอะไรแล้ว”
หญิงสาวคลี่ยิ้ม พยายามจะไม่ทำให้บรรยากาศโดยรอบต้องอึดอัดอย่างน่ารำคาญและทำให้ผู้เป็นมารดานึกกลัวในความรู้สึก
“ว่าแต่เกิดอะไรขึ้น ทำไมลูกถึงได้เป็นลม”
“ไม่รู้เหมือนกันสิคะแม่” หญิงสาวหยุดประโยคนั้น พร้อมกับครุ่นคิดและลำดับเรื่องราว “เมื่อกี้หนูได้ยินเสียงคนเรียกด้วยค่ะ”
“เสียงคนเรียก ใครกัน” ผู้เป็นแม่อุทาน นางยกมือขึ้นทาบอกอย่างตกใจ
เวลาเย็นเช่นนี้ ใครกันจะมาเรียก จะว่าสามีของนางก็ใช่ที่เพราะตอนนี้ก็คงจะยังอยู่ที่ค่ายหรือไม่ก็ไปสังสรรค์กับเหล่าเพื่อนๆ ข้าราชการด้วยกัน
เขาเป็นคนใหญ่คนโตในค่ายทหารนี่ ชีวิตการทำงานมักจะเข้มกว่าชีวิตครอบครัวเสียด้วยซ้ำไป จะกลับบ้านมาทีหนึ่งก็ห้าหกทุ่มโอกาสเจอกับลูกสาวก็น้อยไปด้วย
นอกจากจะได้หยุดงานราชการนั่นแหละ ถึงได้อยู่กับครอบครัวสักครั้ง
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะแม่...เป็นเสียงผู้ชาย จะว่าเสียงคุณพ่อก็คงจะเป็นไปไม่ได้เพราะคุณพ่อก็ยังไม่กลับ” หญิงสาวเอ่ยบอกเสียงแผ่ว สรรพสำเนียงการเรียกนั้นยังติดหูไม่รู้ลืม
จะให้ลืมได้อย่างไรก็เพราะว่าเสียงนั้น มันได้เดินทางมาพร้อมกับความรู้สึกเจ็บปวด แม้จะพยายามลืม ทว่ามันกลับเหมือนมีสิ่งหนึ่งมาดึงให้เธอจดจำ
ทั้งจดและจำ ทั้งดีใจและเจ็บปวด
“และก็มี....ก่อนหน้านั้นคุณแม่ได้เอาดอกพุดซ้อนไปไว้ในห้องให้หนูไหมคะ”
หลังเริ่มลำดับเหตุการณ์บางอย่างได้อย่างกระจ่างชัดแล้ว หญิงสาวจึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนสติของเธอจะหมดไปนั้นยังจะมีไม้ดอกหอมอีกชนิดหนึ่งวางอยู่พร้อมปริศนาที่ตามมาอีกเป็นชุด
“ดอกพุดซ้อน...” นางเพ็ญเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“ใช่ค่ะ ดอกพุดซ้อน อยู่นี่อย่างไรล่ะคะ”
พูดพร้อมกับเอื้อมมือไปจับที่ซอกหู ก่อนจะดึงเอาไม้ดอกหอมสีขาวสะอาดมาให้กับมารดาเป็นการยืนยัน
“ไม่...ไม่นี่จ๊ะ” นางเพ็ญรับดอกไม้มาพินิจ “แม่ไม่ได้เข้าไปในห้องของลูกเลยก่อนหน้านั้นกับดอกพุดซ้อนนี่ ในบ้านของเราก็ไม่เคยมี”
ความสงสัยพลันก่อเกิดขึ้นภายในหัวใจของบุคคลทั้งสองในทันที
สำหรับนางเพ็ญแล้ว กำลังคิดหาว่าไม้ดอกนี้มาอยู่ที่ห้องของบุตรสาวได้อย่างไร
แต่สำหรับจันทร์เจ้า...หญิงสาวกลับคิดไปอีกแบบ
ผู้ชายคนนั้นคือใครกันแน่และเหตุใด เมื่อเห็นหน้าของเขาแล้ว เธอถึงได้รับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดและอยากจะวิ่งหนีเหลือแสน
มันน่าจะดีใจไม่ใช่หรือ ที่ได้กลับมาพบเจอกับเขาอีกครั้ง
‘ไม่...ไม่มีทาง...ตราบชั่วชีวิต จะต้องไม่คิดเช่นนั้น’
พลันเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นคอยเอ่ยเตือนอยู่ในใจให้ยิ่งสับสน
“แล้วมันมาได้ยังไงล่ะคะแม่...”
เรียวปากบางเผลอหลุดถ้อยคำสำเนียงออกมาอย่างสงสัย ดวงตาคู่สวยก่อเกิดประกายเหล่านั้นอย่างชัดเจน
สักวัน...เธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าระหว่างเธอกับชายคนนั้น มันเกิดอะไรขึ้น