EP. 02

1074 Words
EP.02 ดินก้อนหนึ่งถูกยกขึ้นมาส่อง โดยมีแว่นขยายเป็นตัวช่วยในการสำรวจครั้งนี้ ภูริตสำรวจมันอย่างตั้งใจ ก่อนจะค่อยๆ วางมันลง ก้อนดินก้อนนี้ เขาได้มันมาจากการไปสำรวจนครโบราณที่เมืองปัว นครโบราณต้นกำเนิดที่เคยเป็นอาณาจักรใหญ่อีกแห่งหนึ่งบนแผ่นดินล้านนาตะวันออก แต่ด้วยระยะเวลาที่ผ่านมาหลายร้อยปีทำให้นครที่เคยรุ่งเรือง บัดนี้กลับเหลือแค่เศษซากของเวียงโบราณเท่านั้น บางส่วนถูกทำลาย จนแทบไม่มีหลงเหลือ แม้จะสูญสิ้น ไม่เหลือร่องรอยอะไร ทว่าสำหรับภูริตแล้ว ชายหนุ่มกลับเห็นว่ามันมีค่ามากที่สุด แม้ก้อนดินขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็กๆ เพียงก้อนเดียวก็ตาม... เพราะแค่ดินก้อนเดียวนี่แหละ ที่สามารถบ่งบอกประวัติศาสตร์อันยาวนานได้เป็นความรู้ แก่คนรุ่นหลังให้ได้ศึกษากันต่อไปและบัดนี้ เขาก็คือผู้ศึกษาคนนั้น ชายหนุ่มเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เขาเรียนในคณะศึกษาศาสตร์สาขาประวัติศาสตร์และโบราณคดี ด้วยเป็นคนที่ชอบเรื่องประวัติศาสตร์และเรื่องราวแต่ครั้งหนหลัง อันเป็นมายาวนาน ชายหนุ่มจึงได้เข้าร่วมในคณะสำรวจซากเมืองโบราณที่เมืองปัว ร่วมกับคณาจารย์ของกรมศิลปากร เมื่ออาทิตย์ก่อน ดินก้อนนี้...เขาก็ได้มันมาในช่วงนั้น เคยมีคนกล่าวห้ามว่าห้ามนำสิ่งของหรือแม้กระทั่งเศษหินเศษดิน อันมีประวัติการณ์อันยาวนานนั่นเปรียบเสมือนสมบัติของชาติ ที่เราไม่ควรจะทำให้มันเสียหายและออกไปจากจุดสถานที่แห่งนั้น เพราะหินหรือดินทุกก้อนล้วนมีบรรพบุรุษหลั่งเลือดเพื่อปกป้องแผ่นดินเอาไว้ ย่อมจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือวิญญาณเร้นลับอาศัยอยู่ ทว่าสำหรับชายหนุ่มกลับมีบางสิ่งบางอย่างบอกให้เขาหยิบมันและพามันมา เขาไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอามันมาเพื่ออะไรและศึกษามันในเรื่องใด แต่สิ่งที่รู้และคอยตอกย้ำอยู่ในใจ ดินก้อนนี้มันเหมือนจะบอกอะไรสักอย่างกับเขา นับตั้งแต่วันแรกที่ได้เห็นมัน เขาได้มันจากวันเชียงหมิ่น วัดริมแม่น้ำน่าน ซึ่งคณะได้เข้าไปสำรวจที่แห่งนั้นเป็นแห่งสุดท้าย ก่อนจะพากันกลับมาด้วยผลสรุปที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า วัดเชียงหมิ่น เป็นวัดเก่าแก่ ปัจจุบันเหลือเพียงแต่ซากของกำแพงอิฐกับพระธาตุที่เหลือแต่ก้อนอิฐที่สุมกองกันอยู่เท่านั้น เป็นวัดร้าง....ที่ร้างมาเท่าๆ กับระยะเวลาที่ผ่านไป ขณะที่ชาวคณะกำลังสำรวจอาณาบริเวณโดยรอบอยู่นั้น พลันความรู้สึกมึนงง ร่างกายเหมือนจะอบอ้าวจากอากาศร้อน ทั้งๆ ที่ใส่เสื้อผ้าซึ่งสบายๆ ก็เกิดขึ้น เขาหลุบเปลือกตาลงมองเบื้องล่างของผืนดิน แผ่นดินผืนนี้เคยมีประวัติความเป็นมายาวนาน ชายหนุ่มไม่เคยคิด ว่าจะได้มาเหยียบที่นี่...อีกครั้ง นับว่าเป็นบุญสำหรับเขาเสียจริง ภายในความดีใจ พลันก่อเกิดความรู้สึกเศร้าสลด ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ เพียรหาคำตอบ ทว่าสิ่งที่ดังก้องกลับมาเป็นแค่ยืนยันว่าไม่ทราบ ลมพัดวูบปะทะกรอบหน้าคม เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นจากที่เมื่อครู่ร้อนอบอ้าว ไร้แรงลม จนร่างกายเหนียวเหนอะหนะ มันเป็นแค่วูบแรก ที่เขารู้สึกมึนๆ หัวสมองคล้ายหมุนคว้าง ลำคอเริ่มแห้งผาก ริ้วความร้อนพุ่งจากส่วนกลางลำตัวขึ้นไปกระจุกกันอยู่ที่หัว ดวงตาทั้งสองข้างร้อนผ่าวและแสบเคือง ชายหนุ่มเลือกที่จะกะพริบตาเพื่อไล่ความรู้สึกเหล่านั้นให้ออกไป ทว่า.... ท่ามกลางสายลมที่ค่อยๆ พัดเข้ามากระทบกายของเขานั้น พลันสองหูกลับแว่วได้ยินเสียงเครื่องดนตรีที่บรรเลงกันอย่างไพเราะ คราวแรกเพียงแค่แผ่วเบา ชายหนุ่มเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ... ต่อมา เสียงนั้นจึงเริ่มชัดเจนขึ้น ชัดขึ้น...จนชายหนุ่มแน่ใจว่าเสียงนั้นคือทำนองเพลงล่องสะเปา ที่เขาเคยได้ฟังในครั้งมางานสัมมนาวัฒนธรรมล้านนาที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เมื่อหลายปีก่อน มันคือทำนองเพลงที่แสนจะไพเราะ อ้อยอิ่งเชื่องช้า อ่อนหวาน แถมยังชวนให้เพลิดเพลินในอารมณ์ ภูริตยืนฟังเสียงนั้นอยู่นิ่งนาน...นานจนไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าไรที่เวลาแห่งห้วงปัจจุบันล่วงผ่านไป ชายหนุ่มหลุบเปลือกตาลงอีกครั้ง ซึมซับเสียงเพลงที่บรรเลงอย่างหลงใหล คล้ายดั่งตนได้มีโอกาสเข้าไปร่วมวงบรรเลงบทเพลงเหล่านั้นด้วย รอยยิ้มหวานเย็นถูกจุดขึ้น เมื่อสายตาพลันเหลือบเห็นใครคนหนึ่งนั่งบนแท่นหินใต้ต้นไทรใหญ่ พร้อมกับเครื่องดนตรีซึ่งบรรเลงได้อย่างไพเราะเสนาะหู หลังได้ยินเสียงของใครย่างเหยียบมาหยุดอยู่ตรงหน้าแม่หญิงนางนั้นจึงเงยกรอบหน้าอันหวานหยด เข้ารูปกับคิ้วบางโก่งงาม จมูกเชิดนิดๆ ดวงตาเป็นประกายแวววาวและที่เป็นจุดเด่นของหญิงนางนั้นคือ เส้นผมสลวยซึ่งยาวเงางามม้วนเกล้าเอาไว้เรียบร้อยมีปิ่นเงินและดอกไม้ไหวปักอยู่อย่างสวยงาม ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าเต็มปอด เมื่อสัมผัสถึงกลิ่นหอมซึ่งลอยมาจากกายนาง แม่หญิงนางนั้นคลี่ยิ้มให้เขา ก่อนจะวางเครื่องสายลงข้างๆ ตัว ก่อนนางจะลุกขึ้นแล้วเดินตรงมายังเขาอย่างเชื่องช้า ด้วยท่าทางงดงามราวเทพนารีจากสวรรค์ ชายหนุ่มร่างกายแข็งทื่อ ดั่งขาทั้งสองข้างถูกเททับด้วยปูนปาสเตอร์ แม้จะอยากเดินเข้าไปหานาง ทว่ากลับไม่สามารถทำได้ ‘ลาก่อนเน้อ เจ้าน้อย...’ สรรพเสียงนั้นเด่นชัด เจ็บปวดเหลือแสนในความรู้สึก แม้อยากจะเปล่งเสียงตอบรับและรั้งร่างนั้นเข้ามาสวมกอดแนบอก หากเขากลับมิอาจทำได้ มันเหมือนร่างทั้งร่างแข็งทื่อ หนักอึ้งอย่างกับมีหินมาจับยึดเอาไว้ รู้สึกแสบเข้าไปถึงหัวอก แม้ในคราแรกจะรู้สึกดีใจกับการที่ได้เห็นนางกับกลิ่นกายหอมจากเรือนกายนาง ทว่าหลังจากวินาทีที่นางเอ่ยประโยคแรกกับเขา ชายหนุ่มกลับรู้สึกเศร้าเสียใจเป็นยิ่งนัก เหมือนดั่งว่า ความสูญเสียเหล่านั้นจะเกิดขึ้น นับตั้งแต่นางเดินจากไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD