“ขอโทษทีค่ะ” รีบเอ่ยขอโทษทันที
“เดี๋ยวพี่เอาทิชชูให้”
เขารีบวางช้อนและลุกไปหยิบทิชชูที่วางไว้บนโต๊ะทำงาน แล้วเช็ดน้ำแกงที่เปื้อนบนโต๊ะให้อย่างว่องไว ธมนเองก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ ครั้นเห็นว่าเขาไม่ได้ถือสาอะไรและกินข้าวต่อหน้าตาเฉย เธอก็เลยกินต่อบ้าง เขากินจานที่สองจะหมดอยู่แล้ว แต่เธอนั้นข้าวจานแรกยังไม่หมด
กินต่อไปได้อีกสองสามคำธมนก็อิ่ม เลยรวบช้อนวางไว้ข้างๆ จานข้าว โดยที่ข้าวในจานพร่องลงไปไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ นี่ขนาดตักนิดเดียวแล้วนะ
ผู้เป็นสามีเห็นแล้วก็เอ่ยปนดุนิดๆ แต่แค่นั้นธมนก็ช้อนตาขึ้นมองเขาพลางยิ้มแหยๆ เขินๆ
“กินก็ไม่หมด” ว่าจบก็ตักข้าวในจานของเธอไปใส่จานตัวเองแล้วกินต่ออย่างสบายใจ
ธมนอ้าปากค้าง ด้วยว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจอแบบนี้ แต่ก็ให้อุ่นใจอย่างประหลาด รู้สึกได้ว่าช่องว่างระหว่างเรามันขยับใกล้กันเข้ามาอีกหนึ่งระดับแล้ว
แม้จะผ่านค่ำคืนลึกซึ้งในคืนเข้าหอมาแล้ว แต่ธมนกลับไม่ได้รู้สึกว่าใกล้ชิดกับเขา มากเท่ากับการได้นั่งกินข้าวด้วยกันแบบนี้เลยด้วยซ้ำ แต่จะอะไรยังไงก็ช่าง หน้าที่สามีทุกอย่างที่เขาปฏิบัติ ไม่ว่าเขาจะเต็มใจหรือทำไปเพราะจำใจต้องทำ ธมนก็ขอบคุณเขาทั้งนั้น
เขาทำให้ชีวิตธรรมดาๆ ของผู้หญิงบ้านๆ คนหนึ่ง มีสีสันและชุ่มฉ่ำขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จและธมนเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว สหัสวัตก็ยังไม่ได้ลุกไปทำงานต่อแต่อย่างใด เขายังนั่งหลับตาเอนศีรษะพิงพนักเก้าอี้ โดยที่ธมนก็นั่งตัวลีบอยู่ข้างๆ
ก็ไม่มีอะไรทำอะ ไม่รู้จะทำอะไร
เพียงครู่ผู้เป็นสามีก็ลืมตาขึ้นมา ก่อนจะดึงแขนเธอให้ขยับเข้าไปใกล้ๆ เขา แล้วก็ดึงเธอมานั่งตัก ปากก็เอ่ยสั่ง ไม่เชิงว่าสั่งหรอก แค่บอกธรรมดาๆ นี่ล่ะ
“มนนวดขมับให้พี่หน่อย ปวดหัว เมื่อเช้าออกมารถติดกว่าทุกที ขับเบรกๆ พี่หงุดหงิดมาก” ว่าจบเขาก็ซบหน้าลงมาบนอกนุ่ม หลับตารอความผ่อนคลาย
ธมนหน้าแดงระเรื่อขึ้นทันที กระนั้นก็ไม่อิดออด รีบยกมือขึ้นนวดๆ คลึงๆ ขมับให้เขาทั้งสองข้างอย่างเอาใจ
และลามไปถึงการนวดคอ บ่า และไหล่ให้อีกด้วยเป็นของแถม ผ่านไปราวๆ สิบนาทีจึงได้เอ่ยถาม
“ดีขึ้นไหมคะ”
“ครับ” เขาตอบรับ ก่อนจะลืมตาขึ้นและสูดหายใจเข้าลึกๆ พอตื่นเต็มตาแล้วก็มองสำรวจเธออย่างจริงจัง เห็นภรรยาใส่เสื้อยืดกับกางเกงยีนเก่าๆ ออกมาหาก็อดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้
“ใส่เสื้ออะไรมา” ไม่พูดเปล่ามือหนายังเอื้อมไปจับดูตัวเสื้อยืดสีขาวราคาร้อยเก้าสิบเก้าเพื่อสำรวจเนื้อผ้า
ธมนเบี่ยงตัวหนีเขานิดๆ อย่างอายๆ เมื่อจุดที่เขาเกาะกุมหาใช่แค่เสื้อ แต่เป็นอกตูมเต่งเด้งดึ๋งที่มีขนาดอันน่าอิจฉา
“มนรีบออกมา เลยไม่ได้เปลี่ยนชุดให้เรียบร้อยน่ะค่ะ”
แก้ตัวไปดื้อๆ ก่อน อันที่จริงแล้วเธอลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท มาหาเขาที่บริษัทแบบนี้จะแต่งตัวปอนๆ เหมือนตอนมาส่งข้าวให้พนักงานของเขาอย่างเมื่อสองสามเดือนก่อนไม่ได้แล้ว หาใช่เป็นเรื่องราคาของเสื้อผ้าว่าจะถูกจะแพง แต่มันเกี่ยวกับภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือ ที่คนเป็นภรรยาควรใส่ใจเพื่อให้เกียรติสามี ธมนตั้งใจว่าครั้งต่อไปจะระวัง ไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก
“เดี๋ยวพี่พาไปซื้อชุดใหม่ เอาแบบเนื้อผ้าดีๆ หน่อย จะได้ใส่สบาย” เขาว่าจบแต่ก็ไม่ได้จบแค่นั้น เพราะมือหนายังสอดเข้ามาในเสื้อยืดและกอบกุมอกนุ่มจนเต็มมือ ไม่ได้บีบเคล้นเล่นแบบเมื่อคืน แต่ลูบไล้เหมือนจะสำรวจอะไรบางอย่าง
“อย่าดิ้นครับ ให้พี่ดูเสื้อในหน่อย”
“มะ ไม่นะคะ มนอาย” ครั้งนี้ธมนไม่ยอมแล้ว เธออายเขาจริงๆ นะ แต่สุดท้ายก็สู้แรงเขาไม่ได้ เลยต้องนั่งหน้าแดงให้เขามองสำรวจบราเซียร์สีเนื้อที่แทบปกปิดเนินเนื้ออกไม่มิด จำได้ว่าซื้อมาแพงที่สุดแล้วล่ะตัวนี้ และก็ใช้มานานมาก แพงสุดของเธอก็ประมาณสามสี่ร้อยนี่ล่ะ ไม่แน่ใจ
“ไม่ใส่แล้วนะตัวนี้ เดี๋ยวพี่พาไปซื้อใหม่ ใช้ของดีๆ ไปเลย ไม่งั้นมันรัดหนูจะปวดหลัง” ว่าแค่นั้นก็ดึงเสื้อยืดลงมาปกปิดให้เหมือนเดิม ครั้นเห็นว่าธมนก้มหน้าไม่กล้าสบตาด้วยก็เลยพูดต่อ ไม่เชิงตำหนิแต่เหมือนสอนกลายๆ มากกว่า
“ไม่อายพี่สิ พี่เป็นสามีของมนนะ เวลาพี่บอกอะไรก็ต้องฟัง เพราะพี่เป็นห่วงพี่ถึงบอก หนูเป็นเมียพี่พี่ก็ต้องอยากหาสิ่งดีๆ ให้ เข้าใจมั้ย หืม”
“เข้าใจแล้วค่ะ” เงยหน้าขึ้นมาบอกเขา ก่อนจะยิ้มออกมาบางเบา
ธมนสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมาซบที่ซอกคอหอม เขาดอมดมเล่นเพียงครู่ ก็บอกให้เธอนอนพักรอตรงนี้
ก่อนจะลุกออกไปทำงานต่อก็ถอดเสื้อสูทออกและคลุมห่มให้คนตัวเล็ก จากนั้นก็กลับไปนั่งที่โต๊ะ ใช้สมาธิกับงานเหมือนเดิม จนกว่าจะถึงเวลาเลิกงานและกลับบ้าน...