“คือว่า คุณแม่กับมนช่วยกันทำเต้าหู้ทรงเครื่องน่ะค่ะ คุณแม่บอกว่าพี่ริวชอบกิน แล้ว...แล้ว พี่ริวกินข้าวเที่ยงยังคะ ถ้ามนเอาไปให้จะยังทันไหมคะ”
ธมนรู้ตัวว่าพูดอ้อมไปอ้อมมาไม่มั่นใจในตัวเอง แต่เธอก็ไม่รู้จริงๆ นั่นแหละว่าควรพูดยังไง จะเอาแม่เขามาอ้างเสียทีเดียวเลยก็กระไร จะบอกว่าเธอเต็มใจเอาไปให้เขาเองก็ไม่ใช่ทั้งหมด
สรุปคือ เธอใช้คำพูดไม่ถูกเลย ก็ได้แต่หวังว่าเขาจะไม่รำคาญนะ
“จะรอนะครับ”
สหัสวัตกรอกเสียงไปพร้อมรอยยิ้ม อดเอ็นดูเธอไม่ได้จริงๆ จะว่าซื่อก็ไม่ใช่ จะว่าเฉิ่มก็ไม่เชิง เหมือนมะนาวโซดาที่ถูกเติมน้ำผึ้งจนหวานนำความเปรี้ยว เอ นี่เขาคิดไปถึงเครื่องดื่มไปได้ยังไงนะ
“ค่ะ งั้นเดี๋ยวมนรีบไปหานะคะ”
เมื่อกี้ยังพูดกับเขาเสียงอ่อยแท้ๆ แป๊บๆ เสียงสดชื่นขึ้นเสียแล้ว
สหัสวัตวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ เหลือบตามองนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าใกล้ถึงเวลาเที่ยงแล้ว ตอนที่ธมนมาถึงคงเที่ยงนิดๆ เลยตั้งใจว่าเดี๋ยวอ่านงานรอดีกว่า
แต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างที่คิด ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเสียก่อน เป็นเลขาฯ สาวที่เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเอ่ย
“บอสจะรับอาหารเที่ยงเป็นอะไรดีคะวันนี้”
ปกติเธอก็จะดูแลเขาเรื่องนี้ด้วยในทุกวันทำงาน ทั้งที่เขาก็บอกแล้วว่าไม่ต้องยุ่งยากเรื่องอาหารการกิน จะมีบ้างบางครั้งที่ต้องไหว้วานให้เธอดูแลจัดการให้ตามหน้าที่ กรณีที่มีประชุมหนักหรือยุ่งจนไม่สามารถออกไปหากินเองข้างนอกได้
“ไม่เป็นไรครับ ฝากคุณวีลงไปรับมนให้ผมที อีกสักพักคงใกล้มาถึงแล้ว” สิ่งที่เขาพูดทำให้เลขาฯ ตาเบิกโต แต่ก็เพียงแวบเดียว
“ได้ค่ะ”
เธอรับคำแล้วก็เดินออกไปจากห้องของเขา
สหัสวัตรอไม่ถึงครึ่งชั่วโมง คนที่โทรมาหาเขาก่อนหน้านี้ก็มาหยุดยืนยิ้มอายๆ อยู่ในห้องทำงานของเขา
“รถติดมั้ย”
เขาเอ่ยถามเป็นคำแรกหลังรับตะกร้าที่เธอถือมา นำเอามาวางบนโต๊ะรับแขกที่เตรียมจานช้อนไว้พร้อมแล้ว
“ไม่ติดค่ะ” ธมนบอกพร้อมกับเดินเข้าไปหาอ้อมแขนของเขาที่อ้ากว้างรออยู่แล้ว
สหัสวัตกอดเอวคอด แล้วดึงเธอเข้ามาใกล้อีกนิด ก่อนจะก้มลงหอมแก้มเนียนใสไร้เครื่องสำอางเหมือนอย่างที่ทำเมื่อเช้า
มันอาจดูแปลกๆ สำหรับคนแปลกหน้าที่เพิ่งมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน แต่นั่นก็ดีสำหรับทั้งคู่ในการเรียนรู้ที่จะปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกันได้อย่างไม่เคอะเขินหรือกระอักกระอ่วนใจ
“แล้วหนูมายังไง”
ใส่ใจทุกรายละเอียด สมกับเป็นผู้บริหาร เรื่องงานยังละเอียดยิบ เรื่องความเป็นอยู่ของเมียก็ไม่ควรน้อยหน้า คนอย่างสหัสวัตไม่ยอมให้ใครมากล่าวหาได้ว่าละเลยหรือบกพร่องต่อหน้าที่อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ หรือไม่ว่าจะงานราษฎร์งานหลวง
“ลุงผลขับรถมาส่งค่ะ”
“อ้าว แล้วตอนนี้ลุงผลอยู่ไหน” เขารีบถาม
“กลับไปแล้วค่ะ พอดีว่า มน...มนกลัวว่าอาจจะนาน เลยให้ลุงผลกลับไปก่อนน่ะค่ะ”
ธมนอธิบายน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจ ด้วยไม่รู้ว่าเขาจะสะดวกไหมที่เธอกับแม่สามีนัดแนะกันแบบนี้ ให้ลุงผลมาส่งแล้วก็กลับ ส่วนตัวธมนเองก็รอสามีทำงานเสร็จค่อยกลับบ้านด้วยกัน แต่สหัสวัตกลับถอนหายใจอย่างโล่งอก ด้วยไม่อยากให้คนขับรถของแม่ต้องมารอนาน
“แล้วไป นึกว่าให้ลุงเขามารอ พี่จะได้โทรบอกให้แกกลับบ้านไปก่อน เดี๋ยวมนค่อยกลับกับพี่ตอนเลิกงาน”
“ค่ะ” ธมนตอบรับพร้อมพยักหน้า เธอสะดวกแบบนี้อย่างที่เขาว่านั่นแหละ
“หรืออยากกลับก่อนเปล่า” ถามพลางเลิกคิ้ว ยิ้มมุมปากน้อยๆ เหมือนล้อเลียน และเป็นครั้งแรกที่ธมนได้เห็นอากัปกิริยานี้ของเขา
“มนแล้วแต่พี่ริวค่ะ” บอกเขาเสียงเบา
ชายหนุ่มยิ้ม ก่อนจะยีหัวเธอเบาๆ แล้วกอดเอวพาเดินไปที่โซฟารับแขก ซึ่งมีตะกร้าอาหารวางไว้บนโต๊ะแล้ว ธมนรีบนำอาหารต่างๆ ที่จัดเตรียมมาจัดวางลงบนโต๊ะทันที ก่อนจะตักข้าวใส่จานให้เขาและตัวเอง เป็นอันว่าพร้อมสำหรับการรับประทานได้เลย และตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาจนเที่ยงสี่สิบห้าแล้ว
ทั้งคู่รับประทานอาหารกลางวันด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ใช่อร่อยเพราะรอนานแล้วหิว แต่สหัสวัตมั่นใจว่ารสมือของมารดาและภรรยาทำอาหารได้ถูกปากเขาและทำให้เขาเจริญอาหารอย่างแท้จริง ยิ่งมีเต้าหู้ทรงเครื่องของโปรดมาให้กินด้วยแล้ว จึงไม่แปลกที่เขาจะกินได้มากกว่าปกติ เมื่อข้าวจานแรกหมดไปอย่างรวดเร็ว ธมนก็เอ่ยทันที
“พี่ริวเติมข้าวไหมคะ”
“ครับ” เขาไม่ปฏิเสธให้เจ็บคอ ขยับเลื่อนจานไปใกล้ๆ ให้มือเล็กตักแบ่งข้าวในโถที่เตรียมมาใส่จานให้ทันที
สหัสวัตรับประทานอย่างเรียบร้อย แม้จะเอร็ดอร่อยแต่กิริยา มารยาทเขาสุภาพและดูดี จนบางครั้งธมนนึกละลายว่าทำไมเธอถึงไม่เรียบร้อยได้สักครึ่งหนึ่งของเขา และด้วยความที่เงอะงะแบบนั้น ก็เลยเผลอตักแกงจืดหกเลอะ แม้ไม่ได้ทำให้ทั้งเขาและเธอเปื้อน แต่ก็ทำให้โต๊ะรับแขกที่ใช้รับประทานอาหารนั้นไม่น่าดู