“โลแลน....ชื่อของครูใหญ่ที่นี่น่ะเหรอ” คำถามของคราเทลส่งผลให้เนเธอร์พยักหน้ารับก่อนจะส่งยิ้มให้บางๆเมื่อเขาสามารถทำให้น้องสาวของเขากลับมาร่าเริงได้
“แล้วที่นี่มันคือที่ไหนเหรอพี่” หญิงสาวถามพลางกวาดตามองดูรอบๆอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่รอบๆตัวเธอนั้นทำจากไม้สีน้ำตาลเข้มซึ่งเป็นของโบราณที่ได้รับการดูแลอย่างดี ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าโรงเรียนแห่งนี้มีประวัติยาวนานพอสมควรเลยทีเดียว
“ที่นี่คืออาคารอเนกประสงค์ ชั้นบนสุดจะเป็นห้องทำงานของครูใหญ่ ส่วนชั้นสี่ถึงห้าจะเป็นห้องพักของเหล่าอาจารย์ ชั้นสามจะเป็นห้องประชุมของบรรดาสภานักเรียน ส่วนชั้นหนึ่งกับชั้นสองที่เป็นห้องโถงโล่งๆนั้นจะเป็นที่จัดกิจกรรมต่างๆ” ชายหนุ่มอธิบายพร้อมกับเบือนสายตาไปมองเอสตาร์เล็กน้อย จากนั้นก็เลือกที่จะเป็นฝ่ายถามหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแดงบ้าง
“ว่าแต่เธอไปรู้จัก ‘หมอนั่น’ ได้ยังไง” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับพยักพเยิดไปทางชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีแซฟไฟร์ที่จ้องมองมาทางเขาด้วยท่าทีนิ่งสงบ แต่เขากลับรับรู้ถึงพลังอำนาจบางอย่างที่แผ่ออกมาจากร่างสูงโปร่งนั้นแทบจะตลอดเวลา
“เขาชื่อเอสตาร์นะพี่เนเธอร์” คราเทลส่ายหน้าอย่างระอาก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า “เขาเคยช่วยฉันเอาไว้ตอนที่ฉันเผลอขึ้นรถไฟผิดขบวน ฉะนั้น เขาก็ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณ พี่ก็ควรจะให้เกียรติเขาบ้าง”
“แล้วที่ฉันทำอยู่ตอนนี้มันถือว่าไม่ให้เกียรติตรงไหน” เนเธอร์กล่าวพลางชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ
“อย่างแรก พี่ก็ควรจะเรียกเขาว่า ‘เอสตาร์’ แทนคำว่า ‘หมอนั่น’” คราเทลกดเสียงของตนเองให้เข้มขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปมองเอสตาร์ด้วยสีหน้าร่าเริงแบบปกติของเธอโดยที่พี่ชายของเธอไม่สังเกตเห็นเลยแม้แต่น้อยแล้วนึกเข้าใจผิดว่ายัยตัวแสบโกรธเขาเข้าเสียแล้ว
ที่จริงแล้วคราเทลก็แค่นึกอยากจะแกล้งพี่ชายของตนเองที่ชอบทำท่าหวงเธอไปอย่างนั้นเอง แต่เห็นทีว่าแผนการตื้นๆของเธอจะได้ผลเกินคาด
เอสตาร์ส่ายหน้าน้อยๆให้กับความแสบของคราเทล เดิมทีเขาก็รู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าคราเทลจะต้องมาเรียนที่นี่ และการที่เขาเจอเธอบนรถไฟนั้นก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเพราะ.....
“นึกไม่ถึงเลยนะว่าฉันจะได้มาเจอนายที่นี่อีก แถมนายยังสมัครเข้าหลักสูตรพิเศษที่ฉันถูกพ่อยัดเยียดให้เข้ามาด้วยอีกต่างหาก” เสียงของคราเทลส่งผลให้คู่สนทนานั้นหลุดออกจากห้วงคิดของตนเอง
“อื้ม ฉันก็แปลกใจเหมือนกัน” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับเอื้อมมือไปลูบผมของคราเทลเบาๆ ส่งผลให้เนเธอร์ถึงกับลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงห้วนๆแล้วเดินจากไปว่า
“ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำ!”
“นี่นายตั้งใจจะแกล้งยั่วพี่ฉันหรือเปล่าเนี่ย” คราเทลเอ่ยพลางแยกเขี้ยวส่งให้ใบหน้าคมคายที่หัวเราะออกมาเบาๆราวกับว่าเพิ่งได้เจออะไรน่าขันมา
“เขาเป็นพี่ชายแท้ๆของเธอเหรอ”
“พี่ชายบุญธรรมน่ะ ฉันเป็นเด็กกำพร้า” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ไม่ร้อน ราวกับว่านี่เป็นเรื่องปกติที่เธอไม่ได้เอามาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆที่การเป็นเด็กกำพร้านั้นควรจะเป็นปมด้อยของผู้ที่เผชิญกับมันเข้าแท้ๆ
“เธอรู้ตัวไหมว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมากนะคราเทล” คำชมของเขาเรียกรอยยิ้มที่มุมปากจากใบหน้าหวานได้เป็นอย่างดี
“ฉันก็เป็นของฉันอย่างนี้แหละ! บางทีออกจะห้าวเกินหญิงด้วยซ้ำ! นายก็คิดซะว่าฉันเป็นเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งก็แล้วกัน” คราเทลฉีกยิ้มอย่างกวนประสาทพร้อมกับยักคิ้วส่งให้เพื่อนชายของเธอด้วยท่าทีกวนๆ
และแล้วการสนทนาของพวกเธอก็ต้องจบลง เมื่อประตูไม้ซึ่งอยู่ติดกับกำแพงสีน้ำตาลอ่อนตรงทิศทางตรงกันข้ามของเธอนั้นเปิดออกพร้อมกับร่างของหญิงสาววัยกลางคนซึ่งเป็นคนพาเธอมาที่นี่
ดวงตาสีเขียวเข้มจ้องมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความกดดันว่า
“ท่านโลแลนอนุญาตให้เข้าพบได้แล้วค่ะ” คำพูดชัดถ้อยชัดคำแสดงถึงความเนี๊ยบของผู้พูด ประกอบกับผมสีม่วงเข้มที่ถูกมัดตึงเป็นมวยผมอยู่ทางด้านหลังก็พอจะทำให้เธอเดาออกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนเจ้าระเบียบมากแค่ไหน
“ค่ะ” ร่างบางขานรับเบาๆก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูง ดวงตากลมโตเบือนไปมองเอสตาร์เล็กน้อย แววตาแสดงถึงความลังเล แต่แล้วมันกลับถูกแทนที่ไปด้วยแววตาแห่งความมุ่งมั่นซึ่งเจ้าตัวนั้นสร้างขึ้น
“ฝากบอกพี่เนเธอร์ด้วยนะว่าฉันเข้าไปในข้างใน” ชายหนุ่มพยักหน้ารับเบาๆ ดวงตาคมเข้มดั่งพญาเหยี่ยวมองตามร่างบางที่หายลับเข้าไปในห้องทำงานขนาดใหญ่ ก่อนที่ประตูนั้นจะปิดลง
ปัง!
เสียงประตูที่ปิดลงส่งผลให้ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อย ภายในห้องแห่งนี้ดูเหมือนจะมีมนต์ขลังอะไรบางอย่างทำให้เธอรู้สึกเหมือนมีอะไรจุกแน่นอยู่ในอกจนยากที่จะหายใจเข้าออกได้อย่างที่เคยทำมาตลอดชีวิต
คราเทลกลืนน้ำลายเหนียวๆของตนเองลงคออย่างยากลำบาก แต่แล้วเสียงเข้มทรงอำนาจก็เหมือนจะดึงดูดให้เธอตวัดสายตาไปมองเจ้าของเสียงอย่างรวดเร็วราวกับต้องมนต์สะกด
“คราเทล เรเมอร์”
“คะ”
หญิงสาวขานรับไปอย่างลืมตัว อาจจะเป็นเพราะว่าชายวัยกลางคนเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแก่ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้กำมะหยี่สีน้ำเงินโดยมีโต๊ะไม้ขนาดใหญ่วางคั่นเขากับคราเทลเอาไว้นั้นมีพลังอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกเคารพเขาโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
‘นี่หรือ...พลังที่แฝงอยู่ของฟราเทลเลียส’ คราเทลนึกในใจก่อนที่โลแลนจะผายมือไปยังเก้าอี้กำมะหยี่อีกตัวซึ่งวางอยู่ตรงข้ามกับเขาเป็นเชิงให้เธอเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้นซึ่งเธอก็ไม่ได้ขัดขืน
ดวงตาสีเขียวแก่ของเขาจ้องมองมาที่หญิงสาวด้วยแววตาที่ไม่สื่ออารมณ์ใดๆ นั่นส่งผลให้หญิงสาวถึงกับนั่งตัวเกร็งราวกับนักโทษที่กำลังถูกสอบสวน
“ฉันชื่อโลแลน แกรเดียล เป็นครูใหญ่ของโรงเรียนแห่งนี้”
“....”
“เห็นคุณมาเรียบอกว่า ทางครอบครัวของคุณได้มีการส่งรายชื่อสมัครเรียนผิดพลาดอย่างนั้นเหรอ” น้ำเสียงราบเรียบของเขาทำให้คราเทลรู้สึกว่าตนเองตกเป็นรองอย่างมาก ใบหน้างามพยักขึ้นลงอย่างช้าๆในขณะที่หญิงสาวนั้นย้ำตนเองให้ขึ้นใจว่า ‘อย่าได้คิดจะเข้ามาในห้องนี้โดยที่มีความผิดอย่างเด็ดขาด’ เพราะไม่แน่ว่าเธออาจจะถูกกดดันจนยอมรับความผิดออกมาทั้งๆที่ชายวัยกลางคนยังไม่ต้องกล่าวอะไรออกมาเลยด้วยซ้ำ
มือหนาที่เริ่มมีรอยเหี่ยวย่นไปตามอายุขัยหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากโต๊ะทำงานของเขา จากนั้นดวงตาสีเขียวแก่ก็กวาดตามองผ่านไปยังตัวอักษรที่เขียนอยู่บนนั้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับละสายตามามองคราเทลที่กำลังนั่งมองเขาอีกครั้งแล้วส่งกระดาษให้กับหญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นคนๆเดียวกับที่พาเธอมาที่นี่
“ข้อผิดพลาดที่พูดถึง คงจะเป็นคำว่า ‘นาย’ สินะ”
“ใช่ค่ะ สงสัยว่าพ่อของหนูจะเลอะเลียนจนเขียนผิดไป เผอิญว่าหนูมีพี่ชายอยู่หนึ่งคน พ่ออาจจะเขียนผิดเพราะความเคยชินที่เคยกรอกใบสมัครให้พี่ของหนูก็เป็นได้” หญิงสาวพยายามยกเหตุผลที่พอจะฟังขึ้นมาอ้าง แต่เธอกลับได้เพียงเสียงหัวเราะเบาๆจากโลแลนราวกับว่าเรื่องที่เธอพูดออกไปนั้นเป็นมุกที่เธอชอบเล่นกับคนในบ้านเสียอย่างนั้น
“เอาเป็นว่า ข้อผิดพลาดนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนัก ทางเราจะแก้ไขให้ก็แล้วกัน แต่สัญญากับฉันหน่อยได้ไหมคราเทล...”
“สัญญา? สัญญาว่าอะไรเหรอ” คราเทลลืมคำลงท้ายไปเสียสนิท แต่ชายวัยกลางคนก็ไม่ได้ติดใจเลยแม้แต่น้อย เขาเท้าแขนของตนเองลงบนโต๊ะพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้กับหญิงสาวมากยิ่งขึ้น ดวงตาของเขาดูเหมือนกับว่าจะสื่ออะไรบางอย่างให้เธอได้รับรู้ แต่คราเทลก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดีไม่ว่าจะจ้องมองมันนานแค่ไหนก็ตาม
“ผ่านการทดสอบในวันพรุ่งนี้ แล้วเข้าเรียนที่นี่ให้ได้”