ในที่สุด พวกเธอก็เดินทางมาจนถึงเมืองฟอร์โธเนีย เมืองซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่อนุรักษ์ความเป็นธรรมชาติมากที่สุดในอาร์เพเธีย หญิงสาวไม่แปลกใจเลยที่ได้รู้ว่าเมืองแห่งนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยภูเขา แถมยังมีแม่น้ำหลายสายไหลมาบรรจบกันที่ใจกลางเมืองอีกด้วย นี่ถ้าไม่ติดว่าเธอจะต้องรีบเดินทางไปยังเดแฮมเบลเพื่อไปสมัครเรียนที่ฟราเทลเลียสแล้วล่ะก็ เธอก็คงไม่พลาดที่จะเดินเที่ยวรอบๆเมืองให้หนำใจเป็นแน่
“แล้วเจอกันใหม่นะเอส ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ!” คราเทลหันไปโบกมือให้กับชายหนุ่มที่ยืนอยู่บนรถไฟ ส่วนเธอนั้นยืนอยู่บนชานชะลาซึ่งอยู่ห่างกับรถไฟไม่มากเท่าไหร่นัก
“อื้ม รับรองว่าเราต้องได้เจอกันอีก” เอสตอบพลางส่งยิ้มที่แฝงความนัยน์อะไรบางอย่างเอาไว้ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยถามสิ่งที่เคลือบแคลงออกไป เสียงสัญญาณรถไฟก็ดังขึ้นพร้อมกับประตูที่ปิดลง
ออด!!
รถไฟขบวนยาวนั้นเคลื่อนที่ออกไปจากชานชะลาช้าๆก่อนจะเพิ่มความเร็วเสียจนหายลับไปกับเส้นขอบฟ้าซึ่งพระอาทิตย์ได้จมหายไปกว่าครึ่ง เหลือเพียงแสงสว่างสลัวๆที่บ่งบอกเวลาใกล้ค่ำแล้วนั่นเอง
“หกโมงแล้วเหรอเนี่ย” คราเทลเอ่ยพลางมองดูนาฬิกาของตนเองแล้วจัดการบิดขี้เกียจอย่างเมื่อยล้า อย่างน้อยการขึ้นรถไฟผิดคันก็ทำให้เธอเจอกับเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเขาและเธอจะไม่บอกชื่อจริงของกันและกันให้รับรู้ก็ตามที....
“เฮ้ หนู! มีอะไรติดผมแหนะ”
เสียงทักจากทางด้านลงส่งผลให้คราเทลหันไปมองด้วยสีหน้างงงวย แต่ก็ต้องขอบคุณชายวัยกลางคนที่เพิ่งจะเดินจากไปตามมารยาทว่า
“ขอบคุณค่ะ”
มือบางเอื้อมไปคลำดูผมของตนเองเพื่อตรวจหาสิ่งผิดปกติ และแล้ว ดวงตากลมโตก็ถึงกับเบิกกว้างเมื่อพบว่าสิ่งที่ติดผมของเธอมาก็คือ....เกล็ดหิมะ!
“เป็นไปไม่ได้....” คราเทลเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาก่อนที่จะกำเกล็ดหิมะในมือแน่นเสียจนมันละลายออกมาเป็นน้ำ หยดลงบนพื้นปูนที่ตอนนี้แทบจะมองไม่เห็นเนื่องจากพระอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
“นี่มัน....เกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่?”
ร่างบางขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างครุ่นคิดก่อนที่รถไฟอีกขบวนก็จอดเทียบชานชะลา
“ท่านผู้โดยสารที่ต้องการไปเดแฮมเบล โปรดมาขึ้นรถไฟด้วยค่ะ!” เสียงของพนักงานประจำรถไฟส่งผลให้คราเทลหลุดออกจากห้วงคิดพร้อมกับยิ้มแยกเคี้ยวออกมา
“คราวนี้แหละ ฉันคงไม่พลาดขึ้นรถไฟผิดเป็นครั้งที่สองแน่ๆ!” คราเทลรีบวิ่งขึ้นรถไฟไปด้วยความเร็วสูงชนิดที่ว่าพนักงานที่ยืนอยู่ตรงประตูถึงกับผงะอย่างตกใจเพราะตั้งตัวไม่ทัน
“ระวังหน่อยนะคะ ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้” พนักงานสาวติเธออย่างฉุนๆเพราะเจ้าตัวนั้นเกือบจะล้มในช่วงที่คราเทลวิ่งสวนขึ้นรถไฟมา
“แหะๆ ขอโทษทีนะพี่สาว”
“หึ!” หญิงสาวในชุดพนักงานสีฟ้าอ่อน เสื้อแขนยาวจนถึงข้อมือและกระโปรงยาวคลุมเข่าสะบัดเสียงด้วยความไม่พอใจก่อนจะไม่หันมาสนใจเธออีก
‘ทำไมเราถึงชอบมีเรื่องกับผู้หญิงจังเลยน้า’ คราเทลเกาศีรษะของตนเองอย่างครุ่นคิดก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นมารองศีรษะของตนเองแล้วเดินผิวปากไปอย่างไม่สมกับความเป็นกุลสตรีเลยสักนิด
“กรุณาสำรวมในที่สาธารณะด้วยนะคะ” พนักงานสาวไม่วายเอ่ยเหน็บแนมร่างบางที่เดินจากไปอย่างอดเสียไม่ได้ ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมเด็กผู้หญิงที่เดินจากไปถึงได้มีท่าทางไม่สมกับเป็นผู้หญิงนักทั้งๆที่หน้าตานั้นก็ดูดีกว่าเธอตั้งหลายร้อยเท่าแท้ๆ มิหนำซ้ำยังไม่มีมารยาท ไร้การอบรมอีกต่างหาก
“เข้าใจแล้วค่ะคุณพี่สาวพนักงาน!” คราเทลที่ได้ยินคำพูดนั้นกระแทกเสียงส่งกลับอย่างยียวนทั้งๆที่ไม่ได้หันหลังกลับมามอง เธอใช้มือข้างหนึ่งโบกลาอีกฝ่ายด้วยท่าทีสบายๆ เรียกเสียงหัวเราะอย่างเอ็นดูจากบรรดาคนแก่ที่กำลังนั่งอยู่ในบริเวณนั้นได้เป็นอย่างดี
ร่างบางทิ้งตัวลงนั่งตรงบริเวณที่มีคนน้อยที่สุด เช่นเดียวกับรถไฟที่เริ่มเคลื่อนที่อีกครั้งเพื่อมุ่งตรงไปยังจุดมุ่งหมายที่เธอตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก
ดวงตาสีอเมทิสต์ปิดลงช้าๆเพื่อเข้าสู่ห้วงนิทราเช่นเดียวกับผู้โดยสารหลายๆท่านที่ต่างก็พักผ่อนเอาแรงเพราะเหน็ดเหนื่อยและผ่อนเพลียจากการเดินทางมาเป็นเวลานานแสนนาน ส่วนผู้โดยสารที่เหลือ บ้างก็พากันไปทำภารกิจส่วนตัวในห้องน้ำ บ้างก็พูดคุยกันด้วยเสียงกระซิบเพราะกลัวว่าผู้อื่นจะว่าเอาได้ถ้าหากว่าคุยกันด้วยน้ำเสียงที่ดังเกินไป
เมื่อเวลาผ่านไปประมาณสามชั่วโมง เสียงพูดคุยและเสียงเดินทั้งหลายก็จางลงก่อนที่ทั่วทั้งรถไฟก็ตกอยู่ในความเงียบสงัดอย่างสมบูรณ์ จะมีก็เพียงแต่ดวงดาวบนท้องฟ้าเท่านั้นที่ยังคงทำหน้าที่ส่องระยิบระยับในคืนเดือนมืดนี้
กริก....กริก
เสียงที่ดังขึ้นในความมืดกลับไม่ได้ทำให้ผู้คนที่กำลังหลับใหลอยู่หันมาสนใจเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งคราเทลที่มักจะหลับๆตื่นๆเมื่อไม่ได้นอนบนเตียงก็ยังหลับสนิท
กริก!
หน้าต่างของรถไฟที่เคยใสสะอาดจนสามารถมองเห็นวิวที่อยู่ด้านนอกได้กลับถูกปกคลุมด้วยฝ้าสีขาวก่อนที่มันจะค่อยๆเกาะตัวหนาขึ้นจนกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งราวกับว่าอุณหภูมินั้นได้ลงตัวอย่างรวดเร็วทั้งๆที่มันยังคงปกติดีทุกอย่าง
ไอเย็นของมันค่อยๆซึมผ่านเข้ามาภายในรถไฟราวกับว่ากระจกหนาซึ่งเป็นหน้าต่างนั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับมันเลยแม้แต่น้อย
‘ทายาทแห่งโดมีนาน...’
น้ำเสียงแหบแห้งที่ดังขึ้นพร้อมกับเงาสีดำสนิทนั้นค่อยๆคืบคลานเข้ามาภายในรถไฟโดยการชักนำของไอเย็นสีขาวที่สร้างเกล็ดหิมะ ณ จุดต่างๆที่มันเคลื่อนที่ผ่าน ไม่ว่าจะเป็นพื้น เก้าอี้ หรือแม้กระทั่งผู้คนที่นอนหลับอยู่ก็ยังมีน้ำแข็งใสๆติดอยู่ตามใบหน้า
เงาสีดำสนิทนั้นมุ่งตรงไปยังหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแดงอย่างใจเย็นและเชื่องช้าเพราะเกรงว่าเป้าหมายจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเสียก่อน
แต่ยังไม่ทันที่มันจะสัมผัสถูกตัวของเป้าหมาย เสียงหวีดร้องแสบแก้วหูของมันก็ดังขึ้นเมื่ออยู่ดีๆหญิงสาวกลับมีแสงสีน้ำเงินซึ่งไม่ทราบที่มาคลุมกายเอาไว้ราวกับว่ามีใครบางคนกำลังปกป้องเธออยู่
ดวงตาสีแดงโลหิตของเงาปริศนาถึงกับมองดูเกราะคุ้มกันของร่างบางอย่างหัวเสีย มันหวีดร้องอีกครั้งอย่างขัดใจที่ปฏิบัติหน้าที่ไม่สำเร็จก่อนที่จะจางหายไปในความมืดเช่นเดียวกันกับเกล็ดน้ำแข็งที่หน้าต่างที่หายไปราวกับว่าไม่เคยมีมาก่อน
คราเทลขยับตัวเล็กน้อยเพื่อจัดท่าของตนเองให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น ใบหน้างามยิ้มออกมาอย่างเป็นสุขเมื่อไม่มีอะไรมารบกวนความฝันอันแสนหวานของเธออีกต่อไป
“ฮ้าว!!”
เสียงใสหาวออกมาอย่างไม่เกรงใจยามเมื่อแสงของดวงอาทิตย์นั้นส่องเข้ามาที่ดวงตาของเธอเต็มๆเสียจนรู้สึกแสบตา คราเทลบิดขี้เกียจอย่างเกียจคร้านก่อนที่ดวงตากลมโตจะลืมขึ้นอย่างตกใจทันทีที่เสียงของพนักงานรถไฟดังเข้ามาในโสตประสาทของเธอ
“ป้ายสุดท้าย เดแฮมเบล ลงด้วยค่ะ!”
“เฮ้ย! ถึงแล้วนี่หว่า ซวยแล้ว!!”
ออด!!
หญิงสาวรีบกระโดดลงจากรถด้วยความเร็วแสง รองเท้าผ้ามือสองคู่เก่งของเธอสัมผัสเข้ากับปูนสีฟ้าอ่อนที่มีกากเพชรระบายอยู่ด้านบน ก่อนจะนึกว่าเธอคงจะคิดถึงเสียงออดรถไฟนี้น่าดู
‘คงจะสบายหูพิลึก’ คราเทลคิดพลางหัวเราะออกมาเบาๆแล้วอดไม่ได้ที่จะโบกมือลาหนักงานสาวที่ยืนมองเธอด้วยสีหน้าบึ้งๆเหมือนเดิมตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันบนรถไฟสีส้มอ่อน
“รักษาตัวดีๆด้วยน้าพี่สาวคนสวย!!”
“เชอะ!!” อีกฝ่ายสะบัดเสียงด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะหายลับเข้าไปในตัวรถไฟอีกครั้ง เรียกรอยยิ้มจากยัยตัวแสบที่ได้ป่วนคนเล่นได้เป็นอย่างดี
“เฮ้อ! ก่อนอื่นก็ต้องไปหาพี่เนเธอร์ก่อนสินะ” เธอคิดพลางหยิบกระดาษแผ่นเล็กๆออกมาจากกระเป๋าซึ่งถูกเขียนด้วยลายมือของแม่บุญธรรมเธอเอาไว้
‘ที่อยู่ของเนเธอร์’ หญิงสาวอ่านบรรทัดแรกก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ แม่ของเธอรู้ดีเสมอว่าเธอเป็นคนขี้ลืมขนาดไหน เผลอๆหยิบกระดาษที่ติดตัวมาอ่านแล้วจำไม่ได้ว่าจดอะไรมา เศษกระดาษพวกนั้นก็เป็นอันต้องจบที่ถังขยะข้างทางทุกที
“ถนนวิวเซนท์งั้นเหรอ” คราเทลอ่านพลางเก็บกระดาษลงไปในกระเป๋ากางเกงอีกครั้งแล้วจึงเดินมุ่งหน้าไปยังแผนที่บอกทางของเมืองซึ่งติดอยู่บนกำแพงใหญ่สีน้ำเงินซึ่งบ่งบอกความมั่งคั่งของเมืองนี้ได้เป็นอย่างดี
“ไหนดูสิ....” ร่างบางคิดพลางไล่นิ้วไปยังถนนสายต่างๆภายในเมือง ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล สนามกีฬาและร้านอาหาร พูดได้ว่า เมืองนี้มีทุกอย่างครบครันไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม แถมการแต่งตัวของคนที่นี่ก็ดูสบายๆ ถึงจะเรียบง่ายแต่ก็ไม่เชย ต่างกับทราวิลเลียที่บางพื้นที่ยังคงแต่งตัวเชยๆลิบลับเลยทีเดียว
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะหาสิ่งที่ต้องการเจอ เสียงอันคุ้นเคยที่ไม่ได้ยินมานานก็ดังขึ้นข้างๆหูเสียจนร่างบางถึงกับเบิกตากว้าง ขนในกายต่างพากันยืนลงโดยที่ขาของเธอนั้นก้าวถอยหลังไปประมาณสามก้าวได้ราวกับว่าเจ้าตัวต้องการตั้งหลักเป็นการด่วน!
“ไงจ๊ะน้องสาว”
“พะ....พี่เนเธอร์!!” คราเทลตะโกนเสียงดังอย่างตกใจพร้อมกับชี้นิ้วไปยังพี่ชายบุญธรรมของตนเองที่ยืนส่งยิ้มให้เธออยู่โดยไม่สนใจสายตาของผู้คนที่เดินสัญจรไปมาเลยแม้แต่น้อย
เนเธอร์ เรเมอร์ ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีดำและดวงตาสีน้ำตาลทรงเสน่ห์ในชุดเสื้อยืดสีขาว กางเกงสีดำสนิทที่ดูเรียบง่าย แต่กลับเสริมให้ร่างของเขาดูสูงโปร่งด้วยส่วนสูงประมาณ 182 ซม. ผิวสีน้ำผึ้งและบุคลิกที่เข้ากับคนง่ายจึงเป็นที่จับตามองของผู้คนที่เดินผ่าน นี่ยังไม่นับใบหน้าคมสันและจมูกโด่งสวยซึ่งได้มาจากพ่อและแม่ล้วนๆที่ทำให้สาวทุกรุ่นยังต้องชายตามองอีกนะ!
“ก็พี่น่ะสิ อย่าทำหน้าตกใจเหมือนกับเห็นผีแบบนี้ได้ไหม” เนเธอร์กล่าวพลางเดินเข้ามาใกล้น้องสาวของตนเองอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาทิ้งช่วงห่างเล็กน้อยเพราะกลัวว่ายัยน้องสาวตัวแสบของเขาจะเดินหนีเขาอีก
“โหย! ก็จะไม่ให้ตกใจได้ยังไง อยู่ดีๆพี่ก็โผล่มาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แถมฉันยังขึ้นรถไฟผิดขบวนไปก่อนหน้านี้ ฉันก็เลยมาถึงที่นี่สายกว่าเวลาเดิม แล้วทำไม.....” คราเทลถึงกับพูดรัวออกมาเป็นชุดโดยไม่เห็นใจคู่สนทนาเลยว่าเขาฟังไม่ทัน!
“พอก่อนๆ เอาเป็นว่า ฉันมารับแกสาย แต่เผอิญว่าแกมาสายกว่า ก็เท่านั้น” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ มือหนาเอื้อมไปจับไหล่บางทั้งสองข้างของน้องสาวเอาไว้พร้อมกับหมุนร่างของคราเทลไปมาราวกับว่ากำลังดูสินค้าชิ้นหนึ่งอยู่
“ไม่ได้เจอกันแค่สองปี ดูโตขึ้นเยอะเลยนี่เรา แถมยังสวยขึ้นด้วยนะเนี้ย” ว่าแล้วเนเธอร์ก็ขยี้ผมน้องของตนเองเล่นอย่างมันส์มือด้วยความหมั่นเขี้ยวทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมั่นเขี้ยวเรื่องอะไร
“พอได้แล้วพี่เนเธอร์! ผมฉันยุ่งหมดแล้วเนี่ย เห็นไหม”
คราเทลเอ่ยด้วยน้ำเสียงฉุนๆแล้วออกแรงผลักพี่ชายของตนเองก่อนจะใช้มือนั้นจัดผมของตนเองให้กลายเป็นทรงอีกครั้งอย่างหัวเสีย
“เออหน่า....ว่าแต่ หิวหรือยัง”
“ถามมาได้” ยัยตัวแสบหันไปแยกเขี้ยวใส่ผู้เป็นพี่ชายที่เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามแล้วจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำว่า
“หิว!!”
“ฮ่าๆๆ ถ้าอย่างนั้นไปเก็บกระเป๋าที่บ้านพี่ก่อน จากนั้นเราค่อยออกไปหาอะไรกินก็แล้วกัน!”
“มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว” คำพูดชวนให้หมั่นไส้ของร่างบางส่งผลให้ชายหนุ่มจัดการขยี้ผมเธอแรงๆอีกครั้งก่อนจะเอื้อมมือไปฉวยเอากระเป๋าเป้ของคราเทลมาสะพายที่หลังของตนแล้วเดินนำไปยังทางออกจากสถานีรถไฟแห่งเมืองเดแฮมเบล