หลายอาทิตย์ต่อมา หลังจากที่เมฆาว่างและติดต่อหาช่างมากั้นห้องให้ปริมได้ เขาก็คอยมาอยู่เป็นเพื่อนปริมในช่วงที่ปรางค์วลัยไม่อยู่เสมอ จนกระทั่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มก็ช่วยดูแลเรื่องข้าวของเครื่องใช้สำหรับห้องนอนใหม่ของปริมทั้งหมดจนหญิงวัยกลางคนเกรงใจไม่น้อย
ทางด้านปรางค์วลัย ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของเธอกับนพรุจจะคืบหน้ามากขึ้น เมื่อเขาขอมาเยี่ยมปริมที่บ้านด้วยตัวเอง แทนที่จะฝากของมาเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
หญิงสาวชั่งใจอยู่หลายวัน เมื่อเห็นว่าเธอกับเขาก็อยู่ในสถานะคนที่กำลังพูดคุยกัน แล้วอีกอย่างเขาก็เป็นคนสม่ำเสมอชอบพอเธอมาหลายปี จึงตั้งใจว่าจะแนะนำให้ปริมรู้จักเขาในสถานะคนที่กำลังพูดคุยกัน
ในช่วงวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันหยุดของปรางค์วลัยและนพรุจพอดี เธอนัดให้เขามาบ้านของเธอในช่วงบ่าย เพราะตั้งใจว่าให้เขามาหลังจากที่มารดาได้นอนพักในช่วงกลางวัน เธอยังไม่ได้คบกับเขา แต่ก็คิดว่าการที่เธอจะพูดคุยกับใครก็ควรให้มารดารับรู้ด้วย
เสียงกดกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น ปรางค์วลัยที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วลุกขึ้นมาเปิดประตูพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ เธอเดินนำเข้าไปในบ้านโดยปิดงับประตูรั้วเอาไว้เท่านั้น
“พี่รุจคะ นี่แม่ของตูนค่ะ” ปรางค์วลัยจัดการแนะนำผู้อาวุโสเพียงคนเดียวในบ้านให้ชายหนุ่มรู้จักอย่างเป็นทางการ
“สวัสดีครับน้าปริม ขอโทษที่เพิ่งมีโอกาสได้มาทักทายนะครับ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ นั่งก่อนสิ”
“ขอบคุณครับ”
นพรุจหย่อนกายนั่งลงบนโซฟาตัวเล็กโดยที่ปรางค์วลัยก็หย่อนตัวนั่งลงตรงข้ามกับเขา เธอยิ้มให้กำลังใจเขา แต่ก็รู้ดีว่าตัวนพรุจเองเป็นคนมั่นใจในตัวเองมากเกินกว่าจะมานั่งเกร็ง
“อาการป่วยน้าปริมเป็นยังไงบ้างครับ”
“ทรงๆ แล้วล่ะจ้ะ ไม่ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้แย่ลง ยังมีเวลาได้จัดการอะไรอีกพอสมควร”
“ผมขออนุญาตถามได้ไหมครับ”
“ว่าทำไมน้าถึงไม่รักษาใช่ไหม”
“ครับ”
“เพราะน้ารู้ตัวว่าถึงรักษาไป มันก็ไม่ได้หาย มันแค่ชะลอเวลา งั้นแทนที่น้าจะต้องมาเจ็บมาทรมานกับการรักษาที่ไม่รู้ว่าร่างกายของน้าจะรับไหว หรือว่าจะมีเอฟเฟคอะไร มาใช้ชีวิตที่เหลือให้มีความสุขและมีเวลาจัดการกับอะไรๆ ไม่ดีกว่าเหรอ น้าคิดแบบนี้นะ น้าไม่กลัวความตาย น้ากลัวความทรมาน”
“ผมเข้าใจครับ”
นพรุจชวนปริมคุยอยู่พักใหญ่ก็ถึงเวลามื้อเย็น เขาจึงพาปริมกับปรางค์วลัยออกไปกินข้าวข้างนอกและพากลับมาส่งที่บ้านในช่วงหัวค่ำ ปริมปลีกตัวเข้าบ้านก่อน ปล่อยให้หนุ่มสาวคุยกันตามอัธยาศัยเพราะยังไม่ดึกมากนัก
“เอาไว้พี่จะพาไปหาอะไรกินริมทะเลนะ น้าปริมจะได้พักผ่อนด้วย”
“ได้ค่ะ เอาไว้นัดกันนะคะ เพราะแม่ก็ไม่มีนัดไปหาหมอแล้วด้วย คงอยากไปเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง”
“เราว่างตรงกันทุกเสาร์อาทิตย์ วันไหนตูนสะดวกก็นัดพี่ได้เลยนะ”
“ได้ค่ะ”
ระหว่างที่สองหนุ่มสาวกำลังพูดคุยกันอยู่ ก็มีรถยนต์คันที่คุ้นเคยขับเข้ามาจอดลงที่หน้าบ้านข้างๆ พร้อมกับที่ร่างของเมฆาลงจากรถมาด้วยหน้าตาที่เงียบขรึม เขาพยักหน้าทักทายปรางค์วลัยก่อนจะเดินหายเข้าไปในบ้านของหญิงสาวโดยไม่ได้พูดอะไร
“สนิทกันเหรอครับ”
“ค่ะ แล้วเขาเป็นหมอด้วย ก็เลยคอยมาดูแม่ให้น่ะค่ะ”
“อ๋อ ครับ งั้นพี่กลับบ้านก่อนนะ”
“ค่ะ”
หยิงสาวยืนรอส่งจนรถยนต์คันสวยไปจอดที่หน้าบ้านของเขา เธอถึงหมุนตัวเดินกลับเข้าไปภายในบ้าน รอจนเมฆาพูดคุยกับมารดาเสร็จแล้วกลับออกไปเธอถึงเดินไปปิดล็อกประตูบ้านแล้วกลับขึ้นห้องนอนไป
หญิงสาวเดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วหายเข้าไปในห้องน้ำ ไม่นานก็กลับออกมาพร้อมกับชุดนอนสีขาวสะอาดตา ก่อนจะเดินไปหน่อยตัวนั่งลงบนเก้าอี้ ดวงตากวาดมองไปยังข้าวของต่างๆ ที่นพรุจซื้อมาให้เธอในโอกาสต่างๆ มาหลายปี แววตาหวานเหม่อลอยไปไกล
กว่าค่อนคืน ที่หญิงสาวหลับสนิทอยู่บนเตียงนอน จนกระทั่งรู้สึกได้ว่าเตียงนอนของเธอยุบลงราวกับมีคนอื่นอยู่บนเตียงกับเธอด้วยก็สะดุ้ง ดวงตากลมโตเบิกโพลงด้วยความตกใจ
“หมอเมฆ เข้ามาได้ยังไง!!!”
“ก็มีกุญแจ”
“ไม่ใช่ หมายถึงว่าเข้ามาทำไมตอนนี้ กลางค่ำกลางคืน”
“มีเรื่องจะคุยด้วย อาทิตย์นี้กลางวันเคสเยอะมาก ไม่มีเวลาคุย เลยมาคุยตอนนี้”
“มีเรื่องอะไรคะ” หญิงสาวยันตัวขยับลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงโดยไม่ลืมดึงมาห่มขึ้นมาคลุมกายเอาไว้เหนืออกเพื่อปิดบังร่างกายจากสายตาของเขา
“เมื่อเย็นพาใครเข้ามาที่บ้าน”
“พี่รุจค่ะ ทำไมคะ”
“อย่าให้ใครเข้าบ้านมั่วซั่ว ไว้ใจได้มากแค่ไหน เรากับน้าปริมอยู่กันแค่ 2 คน ถ้าเกิดเขาคิดอะไรไม่ดีเราจะทำยังไง”
“เรารู้จักกันมานานพอที่ตูนจะรู้ว่าเขาเป็นคนดีค่ะ”
“พี่เตือนด้วยความหวังดี เขาเป็นผู้ชาย ถ้าคิดจะทำอะไรขึ้นมา ตูนกับแม่จะป้องกันตัวเองจากเขาไหวไหม”
“อย่าคิดเยอะเลยค่ะ ตูนคิดว่าพี่นพเป็นคนดีมากพอที่จะไม่ทำอะไรไม่ดี เขาไม่เอาหน้าที่การงานของเขามาเสี่ยงหรอกค่ะ บุกรุกเข้ามาเพราะเหตุผลไร้สาระมากค่ะ เชิญกลับได้แล้วค่ะ ตอนนี้ยามวิกาล ไม่ต้อนรับคนอื่นค่ะ” ปรางค์วลัยออกปากไล่เขาตามตรง สายตามองเขาอย่างไม่พอใจ
“.....” เมฆาดูเหมือนมีอะไรจะพูด แต่เขาก็เงียบ ใบหน้าหล่อเหลาขยับ ก่อนที่ร่างสมส่วนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วเดินออกจากห้องนอนของหญิงสาวไปโดยไม่ลืมที่จะคว้ากุญแจออกไปด้วย
หญิงสาวมองตามอยู่พักใหญ่ถึงแม้ว่าประตูห้องนอนของเธอจะปิดไปนานแล้วก็ตาม เธอส่ายหน้าไปมาเบาๆ ก่อนจะเอนศีรษะพิงกำแพง เรื่องนี้มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเธอ เป็นเรื่องของครอบครัวเธอ เธอไม่เข้าใจว่าเขาเข้ามายุ่งทำไม
นานหลายสิบนาทีกว่าที่ปรางค์วลัยจะเอนตัวลงนอนเหมือนเดิม หลังจากที่พยายามเคลียร์ความคิดของตัวเองให้ว่าง เธอเคยเจ็บปวดอย่างหนักเพราะเมฆาและใช้เวลานานในการรักษาแผลใจตัวเอง อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นเธอยังเด็ก แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเรื่องของหัวใจมันบังคับกันไม่ได้
วันต่อมา หญิงสาวลงมาข้างล่างเพื่อจัดการอาหารให้มารดาแต่เช้า ก่อนจะกลับขึ้นไปบนห้องนอนอีกครั้ง แล้วกลับลงมาในช่วงสาย
“ไม่นอนพักอีกหน่อยล่ะ พรุ่งนี้ก็ไปทำงานแล้วนี่”
“พอแล้วค่ะ”
“ตูน เมื่อคืนเมฆเข้ามาเหรอ”
“.....ค่ะ แม่รู้ได้ยังไงคะ”
“แม่ออกมาเข้าห้องน้ำพอดี เห็นหลังไวไวตอนขึ้นไปน่ะ มีอะไรหรือเปล่า ไม่ได้ทะเลาะกันใช่ไหม”
“เปล่าค่ะ ไม่ได้ทะเลาะ เขาเข้ามาโวยวายที่พาคนอื่นเข้ามาในบ้าน” ปรางค์วลัยตอบมารดาพลางทำสีหน้าเรียบเฉย เธอไม่อยากแสดงอาการหรือความรู้สึกอะไรให้มารดารู้แล้วต้องมาเป็นห่วงเธอ
“มีอะไรก็คุยกันดีๆ นะตูน ถึงยังไงเราก็อยู่ข้างบ้านกัน รู้จักกันมาตั้งนานแล้ว”
“จะพยายามค่ะ ถ้าเขาไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายเรื่องของตูนมากเกินไป”
“เมฆเขาก็คงเป็นห่วงเรานั่นแหละ เขาเห็นเรามาตั้งแต่เด็ก” ปริมพูดไปตามที่คิด เธอไม่เคยรู้สิ่งที่ปรางค์วลัยเคยคิดกับเมฆา
“อาจจะใช่มั้งคะ แต่ตูนโตแล้วค่ะแม่ แล้วถึงยังไงก็เป็นเรื่องของบ้านเราค่ะ”
“เราก็บอกกับเขาดีๆ”
“ค่ะ แม่จะกินผลไม้ไหม เดี๋ยวตูนไปเอาให้”
“แล้วแต่หนูเลย”
“งั้นเดี๋ยวตูนมา”
ปรางค์วลัยเฉไฉลุกขึ้นจากโซฟาเดินหายเข้าไปในครัว โดยมีปริมมองตามอาการของบุตรสาวอย่างใช้ความคิด
ทางด้านเมฆา วันนี้วันหยุด เขาจึงได้ใช้เวลาอยู่กับความคิดของตัวเอง เมื่อไหร่กัน....ที่สาวน้อยข้างบ้านที่เคยวิ่งตามเขาต้อยๆ เริ่มห่างเหินไปจากเขา เขาไม่ใช่คนช่างสังเกตมากนัก จึงไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่ แต่รู้สึกตัวอีกทีปรางค์วลัยก็ห่างเหินเขาไปแล้ว เขาไม่ทันได้รู้สึกตัวด้วยซ้ำ ว่าเด็กน้อยตัวเล็กๆ ได้เติบโตเป็นสาวแล้ว