“พี่ปุญญ์”
ชายหนุ่มในเสื้อเชิร์ตสีอ่อนดูภูมิฐาน ใบหน้าเรียบสงบทักหญิงสาวที่ชื่อบัวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ว่าไงคะคนสวยของพี่”
บัวคว้ากระเป๋าของเธอตรงไปหาปุญญ์ คล้องแขนแล้วบอกขึ้นว่า “ไปเถอะค่ะ บัวไม่อยากใช้บริการที่นี่แล้ว”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
เสียงเขาถามอย่างอ่อนโยนอีกครั้งลูบศรีษะบัวด้วยความเอ็นดู จนพิชชาอรอดเบือนหน้าไม่ได้ เธอแปลกใจอยู่บ้างที่เห็นเขาอีกครั้งในที่ทำงานของเธอ วันนี้มันวันอะไรกันเนี่ย
“พูดจาสับปลับ บอกบัวว่าลดราคา พอคิดเงินจะเอาราคาเต็ม”
พิชชาอรหน้าเจื่อน คนมาใหม่เลยถามต่อ “เท่าไรคะ มานี่พี่เคลียร์ให้” พิชชาอรจึงรีบใช้โอกาสนี้อธิบายให้ปุญญ์ฟังอีกครั้ง เขายิ้มพยักหน้าตามฟังจนจบแล้วสรุป “โอเคครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง บัวเข้าไปทำเลย พี่จะรอนะ” ท้ายประโยคเขาบอกหญิงสาวที่ชื่อบัว
“พี่ปุญญ์...ทำไมน่ารักแบบนี้เนี่ย”
สาวน้อยเอียงคอมองเขาด้วยสายตาหวานฉ่ำ แล้วลุกขึ้นเพื่อไปที่ห้องทรีทเม้นต์ คล้อยหลังบัวไปแล้ว พิชชาอรจึงรับหน้าที่ดูแลเขาต่อ
“ขอบคุณมากนะคะ ถ้ามีอะไรให้ทางเราช่วย แจ้งได้เลย ทางเรายินดีให้ความร่วมมือค่ะ”
ปุญญ์เพียงยิ้ม สายตาของเขาดูลุ่มลึกแปลกๆชนิดที่ทำให้พิชชาอรรู้สึกประหม่าขึ้นมาได้ในนาทีนั้น เลยส่งยิ้มและแสดงความนอบน้อมให้ไปพร้อมกับขอตัวทำงานต่อ เบาใจที่ไม่ต้องมาเสียลูกค้าแบบหญิงสาวที่ชื่อบัวไป เพราะไม่ใช่แค่ยอดเงินที่จะไม่ได้ แต่หมายถึงลูกค้าปากต่อปากที่มาจากหญิงสาวที่ชื่อบัวที่ผ่านมามีไม่น้อยเลยทีเดียว และรวมไปถึงภาพลักษณ์ของร้านอีกด้วย ภาระงานถาโถมเข้ามาหาเธออีกครั้ง จวบจนเลิกงานจึงได้ผ่อนลมหายยาวโล่งอกที่มันหมดไปอีกวันอย่างไม่มีอะไรร้ายแรงนัก
หลังจากวันที่เธอได้เจอปุญญ์ครั้งล่าสุด อีกสามวันถัดมาก็ได้รับสายเรียกเข้าขณะเปิดประตูห้องพัก พิชชาอรเห็นเป็นเบอร์แปลกแต่ก็ต้องกดรับสายเพราะอาจเป็นเบอร์ของอมิตา รายนั้นชอบเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์บ่อยๆ เคยสารภาพว่าเชื่อเรื่องโชคลาภ ตัวเลขนำโชคอะไรพวกนั้น จึงคิดว่าน่าจะเป็นอมิตาที่โทรหาเธอ
ทันทีที่เชื่อมต่อสัญญาณ ปลายสายก็ทักขึ้นมาทันที หากสุภาพน้อยกว่านี้เธอคิดว่ายังพอรับมือกับเขาได้ง่ายกว่า
“รบกวนเวลาหรือเปล่าครับ”
“คุณ…” พิชชาอรงำงึมเสียงเบา จนปลายสายต้องรีบทวนเรื่องราววันก่อนที่เธอบอกไว้
“เห็นวันนั้นคุณบอกว่าถ้ามีเรื่องอะไรให้ช่วย บอกได้เลย ผมเลยโทรมาขอให้คุณช่วยอะไรหน่อย” เขาเท้าความถึงวันนั้นแทนที่จะบอกว่าตนเองเป็นใคร คิดว่าคนฉลาดอย่างพิชชาอรต้องรู้แน่ว่าเป็นเขา
พิชชาอรจำได้มั่น เธอถามกลับไปอย่างสุภาพเช่นกัน “มีอะไรให้ช่วยเหลือคะ”
“พรุ่งนี้ผมต้องกินข้าวคนเดียว ที่บ้านเขาไปทัวร์กันหมด จะรบกวนคุณมาร่วมโต๊ะด้วย...ได้ไหม” ดีหน่อยที่ยังมีคำสุดท้ายบอกเชิงขอร้อง ไม่อย่างนั้นเธอคิดว่ามันเหมือนคำสั่งมากกว่าจะชวนเสียอีก
“พรุ่งนี้ฉันมีประชุมค่ะ เลิกก็เกือบสี่ทุ่ม”
“ผมรอได้”
หญิงสาวเงียบไปอึดใจ นึกหาคำปฏิเสธแบบนุ่มนวลที่สุดมาตอบเขา ไม่ใช่ว่าเล่นตัว แต่งานของเธอไม่เอื้อให้ไปสังสรรค์กับใครหรือไปเตร่ที่ไหนได้เลย
“แต่ฉันคงเหนื่อยมากที่จะไปกินข้าวที่ไหนต่อหลังสี่ทุ่มน่ะค่ะ”
เธอพยายามบอกปัดเขาอย่างสุภาพ น้ำเสียงที่ใช้ก็ดูอ่อนลง หวังว่าเขาคงจะตีความออกว่าเธอไม่อยากไป เขาไม่ใช่คนแรกที่รู้เบอร์ของเธอ เคยมีทั้งหนุ่มและไม่หนุ่มหลายรายทำแบบที่เขาทำมาแล้ว พิชชาอรคิดว่าตนเองจัดการกับคนและปัญหาพวกนี้ได้ไม่ยากอย่างแน่นอน ชนิดที่บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่นด้วย
“งั้น...เลื่อนไปอีกวันได้ไหม”
เขายังคงไม่ละความพยายาม พิชชาอรเงียบคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงตอบตกลง นี่คงเป็นครั้งแรกที่เธอยอมถอยหลังเช่นนี้ เพื่อที่เขาจะได้ไม่มีข้ออ้างมายุ่งเกี่ยวกับเธอได้อีก
ถึงวันนัดที่คิดว่าไม่น่ามีอะไรแต่เธอกลับตื่นเต้นขึ้นมาเสียอย่างนั้น บอกไม่ถูกว่าเพราะเหตุใดจึงตื่นเต้น อาจเพราะนี่เป็นการนัดกินข้าวกับผู้ชายครั้งแรกของเธอก็เป็นได้
พิชชาอรเคยถูกชวนแบบนี้ออกบ่อยไป แต่เธอหาทางหลบเลี่ยงได้ทุกครั้ง แต่คราวนี้กลับรู้สึกกระอักกระอ่วนใจชอบกล คงเพราะเขาให้ความช่วยเหลือเธอไปเมื่อคราวก่อน จึงทำให้เธอเลี่ยงได้ยาก แต่แล้วก็นึกปลอบใจตนเองว่านี่คงแค่ครั้งเดียว และก็เป็นแค่การกินข้าวเท่านั้นเองไม่น่ามีปัญหาอะไร
ใกล้ถึงเวลานัด เธอบอกเขาว่าจะเดินทางไปเอง ต่างคนต่างมาก็แล้วกัน นัดหมายกันไว้ที่จุดเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าสาธารณะแหล่งใหญ่ใจกลางเมือง
พอมาถึงเธอเห็นเขายืนเอามือไพล่หลังมองไปทางอาคารสูงของห้างสรรพสินค้าเบื้องหน้า พิชชาอรเดินเข้าไปหาเอ่ยคำทักทายทางด้านหลังของเขา
“สวัสดีค่ะ”
ปุญญ์หันกลับมาแล้วส่งยิ้มน้อยๆให้
“หิวหรือยังครับ”
เสียงทุ้มถามอย่างสุภาพ
พิชชาอรยิ้มอ่อนหวาน แล้วจึงตอบรับ “หิวแล้วค่ะ ปกติพอเลิกงาน ฉันจะหาอะไรง่ายๆกินก่อนกลับบ้านทุกที”
“ถ้างั้นเรารีบไปกันเถอะครับ ก่อนที่คุณจะหิวมากกว่านี้”
เขายวนยิ้มๆ ทำเอาคนฟังอดปรายตามองค้อนให้ไม่ได้ แล้วออกเดินเคียงไปพร้อมกับเธอ เขาเปิดฉากคุยอย่างไม่ถือตัว ปุญญ์คุยสนุกและเป็นคนตลกมากจนพิชชาอรแปลกใจ เธอผ่อนคลายลงในเวลาไม่นาน ขณะเดินไปด้วยกันนอกจากพูดคุยเรื่องผ่อนคลายไปแล้วเขาบอกทางเธอไปพลางจนมาหยุดลงที่ร้านอาหารข้างทางร้านหนึ่ง
เธอคิดว่าเขาคงชวนไปในละแวกนี้ที่มีร้านอาหารแพงลิบบนดาดฟ้า หรือไม่ก็ห้องอาหารในตึกสูงเบื้องหน้านี่ แต่...
“ร้านนี้เหรอคะ”
พิชชาอรถามอย่างแปลกใจ เธอไม่ได้ผิดหวังที่เขาพามาร้านแบบนี้กลับโล่งอกเสียมากกว่า เพราะมันดีกว่าที่จะต้องไปนั่งกินอาหารแปลกๆในสถานที่หรูหราท่ามกลางผู้คนที่คิดว่าตนเองอยู่ในระดับสูงกว่ามนุษย์เดินถนนปุถุชนทั่วไปด้วยซ้ำ
ปุญญ์ยิ้มน้อยๆ ตอนนี้ท่าทางของเขาดูคล้ายกับเด็กชายจอมซนขึ้นมาในทันที “ผมอยากมากินร้านนี้นานแล้ว แต่ไม่มีเพื่อน เขาว่าร้านนี้อร่อย แซ่บมาก”
พอเขาว่าแบบนั้นเธอเลยเสริมเขาไป “รู้จักคำว่าแซ่บด้วยหรือคะคุณน่ะ แต่ร้านนี้เขาอร่อยจริงค่ะ อาหารรสจัดมากจะไหวหรือคะ”
ปุญญ์ทำหน้าราวกับถูกท้าทายเขายักไหล่พร้อมรับคำ “ต้องลองดูครับ ผมเป็นคนชอบพิสูจน์ด้วยสิ ว่าแต่...คุณมีเบอร์อีเมอร์เจนซี่หรือพวกแอมบูแลนซ์แล้วใช่ไหม” พิชชาอรยิ้มกว้างนึกขำเขาขึ้นมาทันที ปากบอกว่าอยากลองแต่ไม่วายจะกลัว ประหลาดคน ว่าแล้วตกลงเลือกโต๊ะที่ว่างอยู่พอดีพร้อมกับนั่งลงด้วยกันถามย้ำอีกที
“แน่ใจนะคะ”
ปุญญ์พยักหน้ารับ ท่าทางจริงจัง จนเธออดหัวเราะน้อยๆออกมาไม่ได้ “งั้นสั่งอาหารเลยก็แล้วกัน”
“คุณกินเผ็ดได้แค่ไหนคะ” พิชชาอรถามยิ้มๆ แล้วส่งเมนูที่รับมาจากพนักงานของร้านให้เขาก่อน ถึงรับอีกเล่มมาเปิดดูรายการอาหารบ้าง “ให้ระดับหนึ่งได้น้อยมากถึงสิบเผ็ดมาก คุณได้ถึงระดับไหนคะ”
“เหมือนถูกท้าทายยังไงไม่รู้นะ” ปุญญ์บอกยิ้มๆ เขามองใบหน้าสวยของเธอไม่สนใจมองเมนูอาหารเลยสักนิด “แต่ผมอยากลองดูก่อน...คิดว่าน่าจะไหวถึงที่ระดับสิบอยู่นะ”
พิชชาอรเงยหน้ามาพอดีจึงเห็นว่าเขามองเธออยู่ ความรู้สึกประหลาดแผ่กระจายล้อมรอบตัวกับสายตาคมของปุญญ์ เธอมองสบตาตอบอยู่อึดใจแล้วก้มหน้าลงมองรายการอาหาร ใจที่เคยสงบนิ่งมานานเต้นระรัวเหมือนเพิ่งวิ่งมาเป็นระยะทางไกล แล้วจึงสั่งอาหารระดับพื้นๆที่ไม่เผ็ดมากไปสามรายการและน้ำผลไม้สำหรับเขาและเธออีกอย่างละแก้ว
“แล้วปกติคุณมากินกับใครคะ เวลาที่บ้านคุณทิ้งคุณน่ะค่ะ”
“แหม ทิ้งเลยเหรอ พูดแบบนี้รู้สึกเสียเซลฟ์ขึ้นมาเลยสิ” ปุญญ์ว่ายิ้มๆแล้วนึกหาคำตอบมาบอกเธอ “ก็…จะมากับเพื่อนๆบ้าง”
“แล้วคราวนี้ทำไมไม่ชวนเพื่อนมาละคะ หรือว่าถูกเพื่อนทิ้งอีกหรือไงกัน” พิชชาอรว่ายิ้มๆ ปุญญ์โต้ออกไปแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“คุณบอกว่ามีอะไรให้ช่วยก็บอก ผมเลยนึกถึงคุณขึ้นมาคนแรก”
พิชชาอรกดมุมปากทำหน้าไม่อยากเชื่อเขานัก ทำเอาเขาต้องออกตัวย้อนถามออกไปยิ้มๆ “ไม่เชื่อผมเหรอ”
“ยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะคะ”
ปุญญ์ยิ้มสบตากับเธอด้วยแววตาวาววับอีกครั้ง ดูลุ่มลึกจนพิชชาอรต้องเบือนสายตาไปมองทางอื่นบ้าง โชคดีที่พนักงานในร้านช่วยคลายบรรยากาศตรงนั้นลง อาหารที่สั่งไว้ก็ถูกนำมาวางจนครบทั้งสองจึงลงมือกินพร้อมกัน ปุญญ์ตักอาหารใส่จานให้เธอก่อน ค่อยตักของตัวเอง แต่แค่คำเดียวเขาก็ถึงกับนิ่งไป
“ใช้ได้เลยนะ”
ปุญญ์ว่าพร้อมกับวางช้อนลง ยกน้ำขึ้นจิบ พิชชาอรมองเขายิ้มๆแต่ไม่พูดว่าอะไร เธอตักอาหารให้เขาบ้าง โดยตักจานที่เป็นรสจืดหน่อย กินกันไปเพียงไม่กี่คำ ก็เห็นว่าเขายกน้ำดื่มจนหมดทั้งริมฝีปากของเขาก็แดงจัด เหงื่อซึมออกมาทั้งๆที่อากาศไม่ได้ร้อนเลยสักนิด
เธอเรียกพนักงานเพื่อขอน้ำเปล่าเพิ่ม แล้วจึงยื่นแก้วน้ำของตนเองที่ยังไม่ได้จิบส่งให้เขาไปก่อน ปุญญ์ห่อปากเพราะความเผ็ดของอาหาร ก่อนจะยิ้มรับแก้วมาดื่มอักๆเพื่อดับความแผดร้อน
“อื้อม์ น้ำอะไรเนี่ย หวานชื่นใจ” ถามแล้วจิบอีกครั้งยืนยันคำพูดที่บอกออกไป
พิชชาอรวางช้อน ตอบเขายิ้มๆ “น้ำกระเจี๊ยบค่ะ”
“สีสวยด้วยนะ”
ปุญญ์ว่าพร้อมกับยกแก้วในมือขึ้นมองแล้วจิบจนเกือบหมด ในที่สุดเขาก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับอาหารตรงหน้ายกมือเป็นสัญญาณว่าแพ้ บอกเธอ
“ไม่ไหวแล้ว ผมยอม”
พิชชาอรยิ้มแล้วรวบช้อนอิ่มตามเขา ปุญญ์ถามว่าเธอต้องการอะไรเพิ่มไหม เมื่อไม่มีใครอยากกินอะไรอีก จึงเรียกพนักงานมาเก็บเงิน เรียบร้อยแล้วจึงพากันเดินออกมาด้านนอกของร้าน ตอนนี้ผู้คนเริ่มบางตาลงมาบ้างแล้ว พิชชาอรจึงถือโอกาสร่ำลาเขา
“ดึกแล้ว เราแยกกันตรงนี้เลยนะคะ”
“เดินทางปลอดภัยนะครับ”
ปุญญ์ไม่เร้าหรือเธอ ปล่อยให้พิชชาอรกลับตามที่บอก ทั้งยังยืนมองจนหญิงสาวลับตาไปแล้วจึงกลับที่พักของตนเอง ถึงบ้านแล้วก็พบว่าด้านในยังเปิดไฟสว่างจ้าอยู่
“อ้าว...ยังไม่เข้านอนอีกเหรอครับ” เขาทักขึ้น ก่อนจะตามมานั่งลงข้างมารดา
“ยัง แม่รอเราอยู่นะปุญญ์”
บุตรชายคนเดียวของหุ้นส่วนใหญ่แห่ง PKR Group ขมวดคิ้วมุ่น เพราะปกติมารดาไม่เคยรอหากเขาต้องกลับบ้านค่ำมืด จึงออกปากถามท่านออกไป “รอทำไมครับ”
“ยัยบัวบอกว่าเราออกไปกินข้าวกับผู้หญิง”
“โธ่...คุณแม่ครับ ผมออกไปกินข้าวกับผู้หญิงแปลกตรงไหนกัน ถ้าไปกับผู้ชายน่ะค่อยมารายงานคุณแม่นะคะบัวคนสวยของพี่”
ปุญญ์กับมารดาแล้วเลยไปกระเซ้าหญิงสาวที่ชื่อบัว
บัวเป็นลูกต่างมารดากับปุญญ์ ถึงกระนั้นเธอก็ถูกตามใจมาแต่เด็กๆ เพราะคุณนิ่ม ภรรยาอีกคนของบิดาเขาเสียชีวิตทันทีหลังคลอดบัวออกมา ด้วยใบหน้าที่จิ้มลิ้มน่ารัก มารดาของเขาจึงรักและเอ็นดูถึงขั้นหลงใหลสาวบัวเสมือนเป็นบุตรสาวของตนเองอีกคน ด้วยว่าตนเองก็ไม่อยากตั้งครรภ์มีบุตรรอีกเพราะกว่าจะมีเขาได้มารดาก็บนบานศาลเจ้าอยู่หลายที่ ทำทุกวิธีทางการแพทย์ และกว่าจะคลอดได้ก็เกือบหลุดแท้งอยู่หลายครั้ง ท่านจึงเข็ดหราบกับการมีบุตร พอสบโอกาสได้เด็กมาเลี้ยงจึงยึดเอามาเป็นของตนเสียง่ายๆ ไหนๆก็มีเลือดของสามีอยู่ครึ่ง ส่วนแม่นิ่มเองก็หัวอ่อนนัก เธอไม่ได้นึกรังเกียจที่เป็นภรรยาอีกคนของสามี แบบบ้านอื่นที่มีปัญหากันมาเลย
“อย่ามาทำเฉไฉนะตาปุญญ์ เราออกไปกับใครมา” คุณอัมพรคาดคั้นไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ
“ก็…” ปุญญ์บอกค้างไว้แค่นั้น เพราะกำลังนึกถึงชื่อของเธอ คนที่เพิ่งแยกย้ายกันเมื่อครู่ จะบอกอย่างไรดีว่าลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายชื่ออะไร จำได้แค่เพียงว่าเป็นคู่กรณีกับนาวิน ญาติผู้น้องที่สนิทที่สุดของเขา และเขาก็ไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับเธอเลย เพียงแค่นึกสนุกชวนออกไปกินข้าวด้วยเท่านั้นเอง
ทีแรกไม่คิดว่าเธอจะตอบตกลงด้วยซ้ำ แต่เมื่อยอมไปเขาก็เลยเลือกร้านแบบธรรมดาไม่ใช่ร้านหรูหราอะไร ปุญญ์ดูคนออก เขาเดาไม่ผิดว่าเธอเองก็คงพอใจกับร้านอาหารที่เขาพาไปกิน
คนที่ชอบปิดบังตัวตนอย่างนั้น ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงอะไร สบายใจในสิ่งแวดล้อมและผู้คนแบบเดิมๆ ที่คุ้นเคย เขาเห็นท่าทางรวมไปถึงแววตาของเธอผ่อนคลายทันทีที่เห็นร้านข้างทางนั่น และมีความเป็นมิตรมากกว่าครั้งแรกที่เจอกัน ไม่แน่ว่าครั้งต่อๆไปก็คงง่ายแล้วสำหรับผู้หญิงคนนี้
หากได้ลิ้มรสเธอแล้ว เขาคิดว่าครั้งเดียวเขาคงเบื่อ หญิงสาวคนนั้นไม่ได้มีอะไรถูกใจเขาสักเรื่องเดียว ไม่ว่าจะหน้าตาก็ยอมรับว่าสวยดีอยู่แต่ไม่ใช่แบบที่เขาชอบ รูปร่าง ผิวพรรณ กิริยาท่าทางแข็งเกินกว่าจะชักจูงได้ง่ายๆ รวมๆแล้วไม่มีอะไรที่เขานึกติดใจเลยสักอย่าง ดูเอาอย่างชื่อของเธอเถอะ เขายังจำไม่ได้เลยว่าชื่ออะไร
“ว่ายังไง ลูกไปกินข้าวกับใครกันปุญญ์”
“ก็...พวกสาวๆน่ะครับแม่ ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกครับ”
“ระวังเถอะนะคะ บัวเคยได้ยินว่าพี่กี๋น่ะ ใครดีก็ดีใจหาย ถ้าใครร้ายพี่กี๋จะร้ายกลับแบบไม่ให้ผุดให้เกิดเลยล่ะค่ะ” สาวบัวที่รู้ว่าพี่ชายไปกับใครมาบอกคล้ายเตือน จากที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากับจอโทรศัพท์ยังอุตส่าห์เงยหน้าขึ้นมาบอกปุญญ์ พี่ชายร่วมบิดากับตนเอง
ปุญญ์ทำเพียงยิ้มเท่านั้น เขาไม่เคยทุกข์ใจเพราะหญิงสาวคนใดมาก่อนในชีวิต ทั้งยังนึกหมิ่นในใจว่าไม่มีทางที่ผู้หญิงแบบนั้นจะมาทำอะไรเขาได้
“ทำมาเตือนพี่ เราน่ะระวังไว้เถอะ เอาแต่ใจมากๆ พี่ยอร์ธจะทนไม่ไหวเอา”
ปุญญ์ย้อนคืนสาวน้อยที่ตนรักเสมือนน้องสาวแท้ๆ อ้างถึงชายรุ่นใหญ่ที่ตกลงคบหาดูใจกับสาวบัวได้มาระยะหนึ่งแล้ว
สาวน้อยเงยหน้าตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ “พี่ยอร์ธไม่มีทางที่จะทนบัวไม่ได้แน่นอนค่ะ”
“วันไหนร้องไห้ขี้มูกโป่งมา พี่ไม่ให้ซบอกด้วยนะเออ”
ก่อนจะโต้เถียงกันมากไปกว่านี้ คนเป็นแม่ก็ออกปากห้ามทันที
“พอๆเลิกเถียงกันเป็นเด็กเสียที ส่วนเรานะตาปุญญ์”คนเป็นแม่ไม่วายวกกลับมาเรื่องเดิม “แค่เล่นๆแม่ไม่ว่าอะไรปุญญ์ก็รู้ แต่อย่าลืมเสียล่ะว่าแม่จองว่าที่แม่ของลูกเอาไว้ให้แล้ว อย่าเผลอไปไข่ไว้สร้างปัญหาขึ้นมาก็แล้วกัน แม่ไม่ยอมแน่ๆ”
บัวเงยหน้าถาม ขมวดคิ้วมุ่น “ใครคะคุณแม่ อย่าบอกนะว่ายัยสุภัคสรณ์”
“เอ...เรานี่ยังไงกันยัยบัว ทำไมชอบมายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่” คุณอัมพรเอ็ดเอา ไม่ยอมตอบแบบนี้แสดงว่าใช่ยัยนั่นแน่ๆ บัวเบ้หน้าหันไปคุยกับปุญญ์ต่อ
“อึ๋ย ถ้าพี่ปุญญ์แต่งกับยัยศรจริงๆนะ บัวไม่ไปงานแน่ บัวไม่ชอบยัยนั่นเลยค่ะ”
“ชอบใครบ้างเฮอะเราน่ะ” ปุญญ์ว่ายิ้มๆ
“พี่ปุญญ์!” บัวเรียกชื่อพี่ชายลั่นบ้าน “คราวหลังบัวจะไม่ช่วยเลยคอยดู” สาวบัวที่ช่วยให้ปุญญ์ได้เป็นพระเอกขี่ม้าขาวคราวนั้น คราที่มีปัญหาในคลินิกเสริมความงามทวงบุญคุณพี่ชายทันที
คุณอัมพรส่ายหน้า ก่อนจะออกปากแยกสองคนพี่น้อง “พอกันทั้งคู่ ปุญญ์ไปอาบน้ำ บัวขึ้นห้องเร็วลูก”
ปุญญ์ทิ้งเวลาไว้อีกเพียงสัปดาห์เดียวจึงติดต่อหาพิชชาอรอีกครั้ง เขาหงุดหงิดเล็กน้อยที่เธอไม่รับสายเขาในสามครั้งแรกที่ติดต่อไป ไม่เหมือนหญิงสาวคนอื่นที่พอเขาหายหน้าไปแล้วติดต่อกลับจะรีบตอบรับในทันที
หลังเชื่อมต่อสัญญาณเขาถามเธอด้วยท่าทีสบายๆในแบบของเขา“ว่างไหมครับ”
“มีอะไรหรือคะ”
แทนที่เธอจะตอบรับเขาว่าว่าง กลับถามกลับ นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปุญญ์ทวีความไม่พอใจขึ้นมาอีกลงจากที่พยายามสงบมันได้แล้ว ต้องบอกตนเองว่าอย่าไปสนใจ ถามต่อในทันที
“พรุ่งนี้ว่างไหม ผมไม่มีเพื่อนกินข้าว”
“ฉันไม่สะดวกค่ะ” พิชชาอรตัดสินใจปฏิเสธเขาไปตรงๆ
“ผมรบกวนคุณหรือเปล่าครับ พอดีว่าเห็นคุณยังอยู่ในคลินิกเลยคิดเอาเองว่าคุณน่าจะยังไม่ได้กินอะไร” ปุญญ์ที่ยืนมองจากสถานีรถไฟฟ้าเข้าไปในสถานเสริมความงามและเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยืนคุยสายตรงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ก่อนจะเห็นว่าเธอมองหาเขาเช่นกันแล้วเดินเลี่ยงออกไปอีกทาง
“แค่นี้หรือเปล่าคะธุระของคุณ ไม่มีอะไรแล้วฉันจะได้วางสาย”
“สรุปว่าคุณไม่ว่างพรุ่งนี้ ถ้าเป็นอีกวันละ ว่างไหม”
ปุญญ์ได้ยินเสียงถอนใจจากปลายสาย ก่อนที่เธอจะตอบกลับมา “ฉันไม่สะดวกค่ะไม่ว่าจะวันนี้ พรุ่งนี้ หรือจะถัดไปอีกกี่วัน ต้องไปประจำที่สาขาพัทยาแล้วค่ะ”
“อ้าว ถ้าอย่างนั้น... ก็ได้เจอกันทุกวันเลยสิครับ” ปุญญ์ว่าแล้วยิ้มน้อยๆขณะบอกกลับไป ได้ยินเสียงของเธอถามคล้ายงงงัน
“คะ?”
“ผมต้องไปที่พัทยาเหมือนกัน”
พิชชาอรอมยิ้มหน่อยหนึ่ง คุยกับเขาอีกครู่แล้ววางสายลง ได้ยินเขาว่าต้องไปดูแลกิจการที่พัทยาเช่นเดียวกับเธอที่ต้องไปดูสาขานั้นสลับกับผู้จัดการคนอื่น เพราะยังหาใครไปลงที่นั่นไม่ได้ ระยะเวลาที่ไปก็พรุ่งนี้เช่นกัน แต่อาจอยู่ไม่นานเท่า ปุญญ์ไม่เซ้าซี้จะชวนเธอไปกินข้าวแล้วตอนนั้น แล้วเปลี่ยนมาคุยกับเธอเรื่องอ่่ืนแทนจนพิชชาอรลืมความตั้งใจเดิมไปจนหมดสิ้น ว่าจะต้องตัดไฟแต่ต้นลม เธอรู้ใจตนเองดีว่าหากได้ใกล้ชิดกับคนอย่างปุญญ์มากไปกว่านี้ คงไม่แคล้วต้องมอบหัวใจให้เขาไปทั้งดวงแน่ๆ