หลังจากทุกคนกลับได้เดินทางกลับบ้านของตัวเองไปแล้ว ฉันก็พยุงร่างกายพร้อมกับใจช้ำๆ ของตัวเองในบ้านด้วยความรู้สึกวูบโหวง ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าชีวิตของตัวเองที่เกือบจะกลับมาโดยสมบูรณ์กำลังจะขาดหายไปอีกครั้งอย่างที่ฉันเคยเผชิญเมื่อในอดีต
"น้ำหวาน กินข้าวลูก" ปรีชาที่พึ่งกลับมาจากซื้อกับข้าวข้างนอกเรียกหาลูกสาวเพียงคนเดียวของตนให้มาทานข้าวด้วยกันกับเขา
"น้ำหวาน ทำไมตาแกบวมแบบนั้นละลูก" ปรีชาจ้องเขม็งไปยังลูกสาวด้วยรู้สึกสงสัย ด้วยว่าปกติแล้วลูกสาวเขานั้นไม่ใช่คนที่จะร้องไห้ออกมาให้ใครได้เห็นแต่โดยง่ายนั่นเอง
"พ่อคะ..."
"อะไร ใครทำอะไรแกน้ำหวาน บอกพ่อซิ" ปรีชาเริ่มที่จะรับรู้ได้แล้วสิ่งที่ลูกสาวกำลังจะบอกกล่าวตนนั้นมิใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน เพราะถ้าหากเรื่องที่ว่านั้นเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ ลูกสาวของเขาก็คงไม่ร้องไห้ออกมาเสียจนตาบวมอย่างเช่นในตอนนี้แน่
"หนู...มีหลานให้พ่อไม่ได้แล้วนะคะ"
เมื่อความผิดหวังที่เขากำลังจะต้องพบเจอกลายเป็นเรื่องเดียวกันกับสิ่งที่เขากำลังปรารถนามากที่สุดในชีวิตนั้นทำให้ปรีชารู้สึกจุกในหัวอกหัวใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
"จ้าว...จ้าวเป็นหมันค่ะพ่อ" อันที่จริงฉันไม่ได้พร้อมสำหรับการบอกพ่อหรอกในเรื่องนี้หรอกนะเพราะโดยทุนเดิมพ่อเองมีความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีกับจ้าวเขาอยู่ก่อนแล้ว
แต่ที่ฉันเลือกที่จะตัดสินใจบอกคุณพ่อไปตรงๆ ตั้งแต่ตอนนี้มันก็เป็นเพราะฉันคิดว่ามันก็คงจะยังดีเสียกว่าการที่ปล่อยให้พ่อรอคอยหลานตัวน้อยด้วยหัวใจที่มีความหวังไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีวันที่จะเป็นจริง...
"ไม่เป็นไรลูก...ไม่มีลูกก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยเนอะ"
แม้ปากจะพูดไปแบบนั้น แต่ภายในใจของคนเป็นพ่อกลับรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวกับสิ่งที่ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่คนอยากอุ้มหลานเสียจนใจจะขาดอย่างเขาไม่อยากที่จะได้ยินมันที่สุด
วันต่อมา...
"อาทิตย์หน้าก็จะถึงวันสำคัญของเราแล้วสินะ" ฉันส่งยิ้มอ่อนๆ ไปให้จ้าวที่ตั้งแต่ได้รับรู้ถึงความจริงที่ว่าเขาไม่สามารถที่จะให้กำเนิดบุตรได้ ก็แทบที่จะไม่ค่อยเปิดปากสนทนากับใครเลยแม้กระทั่งฉันเองที่เป็นถึงว่าที่ภรรยาของเขา...
"ครับ" จ้าวโฮปมองหน้าว่าที่ภรรยาเด็กด้วยหัวใจที่เจ็บปวดรวดร้าว เขาเสียใจ...เสียใจเหลือเกินที่เขาไม่สามารถมีลูกด้วยกันกับผู้หญิงที่เขารักอย่างที่เคยฝันไว้ ทำไมเรื่องแบบนี้จะต้องมาเกิดขึ้นกับเขาที่กำลังจะแต่งงานสร้างครอบครัวกับคนที่เขารักด้วยนะ ทำไมกัน...
"ไม่เห็นเป็นไรเลยค่ะจ้าว น้ำหวานไม่ปล่อยให้จ้าวต้องเหงาแน่นอนค่ะ" น้ำหวานว่าก่อนจะส่งยิ้มกว้างไปยังว่าที่สามีของเธอ รอยยิ้มที่เกิดจากการเปิดริมฝีปากให้กว้างออกเพียงอย่างเดียว หากแต่สายตาคู่หวานนั้นมิได้สดใสตามรอยยิ้มที่เธอกำลังทนฝืนกระทำออกมาเลยแม้แต่น้อย...
และหญิงสาวก็คงไม่ทันที่จะได้รู้ตัวว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นอ่านความหมายที่ถูกสื่อออกมาจากตาคู่นั้นได้ดีเสียยิ่งกว่าใคร...
Rasita Wedding
นับได้ว่าเป็นการลองสวมชุดแต่งงานที่ไร้ซึ่งความครื้นเครงดังเช่นคู่รักที่เคยเดินทางเข้ามาใช้บริการภายในร้านหรูแห่งนี้ ทุกอย่างช่างดูเศร้าโศกและเงียบเหงาเสียจนทำให้ผู้ที่รับหน้าที่เป็นตากล้องจนไปถึงเจ้าของร้านได้แต่พากันมองตากันไปมาด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ แต่ก็มิได้กล้าพอที่จพพูดอะไรออกไปเพราะมันไม่ใช่กงการอะไรของพวกตนนั่นเอง...
พรพฤกษา เฮ้าส์
"โอยตายแล้ว สวัสดีครับท่านบูรพา สวัสดีครับคุณหญิงฮันน่า ไม่เห็นต้องลำบากมาถึงนี่เลยครับ เรื่องสินสอดให้จ้าวเขาเป็นคนคุยเองก็ได้"
นายปรีชาถึงกับอยู่ไม่สุขเมื่อเห็นว่าเป็นใครที่กำลังยืนกดกริ่งอยู่ที่หน้าบ้านหลังน้อยของตนและลูกสาว
"ได้ยังไงละคะพี่ปรีชา เรื่องสำคัญแบบนี้ฮันกับพี่บลูก็ต้องเป็นคนเดินทางมาเจรจาเองสิคะ" นางฮันน่ายิ้มกว้างอย่างไม่มีท่าทีรังเกียจรังงอนต่อนายปรีชาเลยแม้แต่น้อย...
"เอ่อ...คุณหญิงครับไม่จำเป็นต้องเรียกผมว่าพี่เลยจริงๆ ครับ" นายปรีชาก้มหัวให้ว่าที่คู่ดองที่มีศักดิ์เป็นถึงมาเฟียคุมคาสิโนทั่วทั้งแถบเอเชียอีกทั้งยังมีธุรกิจนำเข้าซุปเปอร์คาร์และส่งออกอัญมณีอันดับต้นๆ ของประเทศไทยเสียอีกด้วย...
"พี่ปรีชาเองก็อย่าเรียกฮันคุณหญิงเลยค่ะฮันเขิน ขนาดพี่บลูที่เป็นสามียังเรียกฮันว่าคุณหญิงน้อยจนนับครั้งได้เลยค่ะ เรียกฮันว่าน้องฮันก็พ่อค่ะ แล้วก็พี่บลู" นางฮันน่ายกมือเรียวขึ้นเกาหัวตัวเองอย่างเคอะเขิน
"หากจะมาพูดคุยกันเรื่องสินสอดทองหมั้น ผมเกรงว่าผมคงจะไม่ขอรับครับ" นายปรีชากดหัวลงน้อยๆ อย่างอยากที่จะยืนยันในความตั้งใจจริงของตัวเอง
"งั้นพี่ปรีชาช่วยยินยอมที่รับสินสอดตามที่กระผมอยากจะมอบให้ลูกสะใภ้ใหญ่ของผมและภรรยาด้วยนะครับ" ท่านบูรพาเอ่ยขึ้นบ้าง
"ถือเสียว่าแทนคำขอบคุณที่พี่ปรีชายอมจะให้ยัยหนูเขาตกลงแต่งงานกับลูกชายของผม ทั้งๆ ที่รู้ว่าไอ้จ้าวมัรเป็นหมัน กระผมขอบคุณจริงๆ ครับพี่ปรีชา" ท่านบูรพากดหัวอย่างนึกขอบคุณปรีชา เพราะหากลองได้เป็นพ่อกับแม่คนอื่นๆ ด้วยแล้วนั้นก็คงไม่ปรารถนาที่จะให้ลูกสาวตัวเองได้ตบแต่งกับผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้อย่างแน่นอนแม้ว่าอีกฝ่ายจะมีฐานะที่ร่ำรวยมากแค่ไหนก็ตาม...
"ถ้าจะให้พูดตรงๆ เลยก็คือผมเองเคยได้พลั้งพลาดทำร้ายจิตใจลูกสาวของตัวเองเอาไว้เยอะพอสมควร มาถึงตอนนี้ที่ลูกสาวของผมเธอกำลังจะแต่งงานมีคู่ครอง ผมจึงไม่คิดปรารถนาสิ่งใดไปมากกว่าสิ่งที่จะทำให้ลูกสาวผมมีความสุขแล้วครับท่าน"
ถึงแม้เขาลึกๆ แล้วเขาจะจะรู้สึกโกรธที่เคยถูกว่าที่ลูกเขยอย่างจ้าวโฮปยกปืนขึ้นมาจ่อหัว แต่ลึกๆ แล้วเขาก็รู้ตัวเองดีว่า พ่อเลวๆ อย่างเขาสมควรแล้วที่จะได้รับมัน...
"ผ่านมาแล้ว...ไม่เป็นไรนะครับ" ท่านบูรพาเลื่อนมาบีบมือนายปรีชาอย่างวิสาสะ "หลังจากนี้ทุกคนจะต้องมีแต่ความสุขครับ ผมเชื่อแบบนั้น"
"ขอบพระคุณมากครับ ที่ไม่รังเกียจคนที่เคยกู้หนี้ยืมสินเขาไปทั่วอย่างผม"
"คนทุกคนล้วนแต่มีสิทธิในการเริ่มต้นใหม่ได้เสมอครับ" ท่านบูรพายิ้มอย่างยินดี แล้วเขาจะรังเกียจผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าของเขาและภรรยาในตอนนี้ไปใย และเขาก็เชื่อเหลือเกินว่าไม่มีใครในโลกใบนี้ที่ไม่เคยผิดและพลั้งพลาดอย่างแน่นอน อย่างเช่นเขาเองก็เคยเทียวใช้ลูกตะกั่วเจาะเข้าใส่ใครไปทั่วเพียงเพราะรู้สึกไม่ถูกชะตา จนกระทั่งมาถึงวันที่เมียและลูกแฝดในท้องเกือบต้องมาตายเพราะความบ้าระห่ำของตัวเองนี่แหละที่ทำให้เขาตัดสินใจที่จะละตัวเองออกจากมาความดิบเถื่อนในจุดนั้นมาได้ โดยมีภรรยาอันเป็นที่รักอย่างฮันน่าเป็นคนช่วยขัดเกลาจิตใจเทาๆ ให้กลับมาเป็นสีแดงอยู่อีกแรง
อย่างนั้นแล้วมันจะมีเหตุผลอะไรที่ปรีชาจะต้องไม่ได้รับการให้อภัยกันเล่า ในเมื่อเขาไม่ได้หลงผิดเช่นที่เคยเป็นมาแล้วเหมือนกัน...
ท่านบูรพาเชื่อในโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้ไม่มีใครหรอกที่จะขาวสะอาด ไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยพลั้งพลาดไปกระทำในสิ่งที่ผิด เราทุกคนต่างก็เคยหลงผิดกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องเหมือนกันแทบจะทั้งนั้นไม่ต่างกัน...
ความคิดดีนะท่านบูรพา แล้วก็อย่าลืมเอาไปอบรมสั่งสอนลูกชายของตัวเองด้วยละ 🤣