ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง การที่นางสลับตัวกับ ‘เหอเยว่ซิน’ ก็นับว่าเป็นเรื่องดีแล้ว ต่อให้ ‘เหอเยว่ซิน’ ไม่มีคนรัก นางไม่ควรมาใช้ชีวิตจมปลักกับคนที่ไม่อาจรักนางได้
เรื่องเช่นนี้ นางเข้าใจและไม่คิดจะเข้าไปขัดขวางแต่อย่างใด
“โอ๊ะ!” นางร้องอย่างตื่นตกใจ ไม่คิดว่าโสมคนที่ขุดได้จะหัวใหญ่ขนาดนี้ ใหญ่ขนาดนี้เอาไปขายได้หลายตำลึงแน่ๆ แต่...นางตั้งใจหาโสมคนไปบำรุงฉู่ห่าวหรานนี่นะ
เจ้าตัวหิวเงินในท้องโต้เถียงกันไปมา นางได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ นางต้องบำรุงชายผู้นั้นให้แข็งแรง นางเพียงมีหน้าที่ที่ต้องทำ ตามที่รับปาก ‘พ่อบุญธรรม’ ไว้
อา... นางจะเถลไถลมิได้แล้ว มิเช่นนั้นหาก ‘แม่บุญธรรม’ ส่งคนมาตามหานาง ความสงบสุขของที่นี้ก็คงหายไปหมดสิ้น.
....
หันซูมองอาหารตรงหน้าของตนแล้วเงยหน้ามองใบหน้าของหญิงสาวที่ยกอาหารมาบริการด้วยตนเอง นางยิ้มกว้างและคะยั้นคะยอให้เขากินอาหารที่นางทำ
“กินเยอะๆ สิท่านพ่อบ้าน” เยว่ซินคะยั้นคะยอ “หมั่นโถนี่กินตอนร้อนๆอร่อยนะ”
“แม่นางเยว่ซินมีอะไรต้องการใช้ข้าน้อยหรือขอรับ”
“ใช้อะไรกัน พ่อบ้านก็พูดเกินไป” นางหัวเราะคิกคัก “หมั่นโถวสี่ห้าลูกจะเอามาหลอกล่อพ่อบ้านได้อย่างไรกัน”
หันซูกระตุกยิ้ม หากนางพูดจามีหางเสียงสักนิด ไม่ชอบทำหน้าเจ้าเล่ห์อีกสักหน่อย หรือแม้แต่ยกยอว่าตัวเองเลิศเลอเพียงใด ก็นับได้ว่านางเป็นสตรีที่น่าคบหาไม่น้อย มือใหญ่เอื้อมมือไปหยิบหมั่นโถว แต่เยว่ซินหยิบตัดหน้าไปก่อน นางอ้าปากคำโตกัดหมั่นโถวเนื้อนุ่มขาวเนียน หันซูได้แต่ทำตาปริบๆ
แววตาของนางมีรอยขบขัน แต่ยังทำหน้าใสซื่อแล้วเอ่ยต่อ “อันที่จริงข้ารู้ว่าอาหารที่ข้าทำ พ่อบ้านล้วนชิมเองก่อนให้ใต้เท้า ข้าก็เลยกิน หมั่วโถวนี้เอง พ่อบ้านจะได้สบายใจ”
“เจ้า!”
“อยู่ใต้ชายคาเดียวกันมาร่วมเดือน พ่อบ้านเรียกข้าเยว่ซินก็ได้ ข้าไม่ถือสาหรอก” อันที่จริงนางไม่อยากให้ใครต่อใครเรียกนางว่า ‘เหอเยว่ซิน’ เพราะนางคือ ‘เซียงเยว่ซิน’ แต่เพราะหลายปีมานี้ นางแทบไม่เคยบอกแซ่กับใคร เพียงแค่นางไม่อยากคิดถึงเรื่องบิดามารดา และนางทำตัวไม่ดี เกรงจะทำให้สกุลของบิดาแปดเปื้อน
“เจ้าต้องการอะไรกันแน่” เขากัดฟันกรอด ความอดทนของเขามีจำกัด ไม่เหมือนนายท่านที่อดทนต่อเจ้าลิงน้อยซุกซนเช่นนางได้
“ที่ข้าทำหมั่นโถวมาให้ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้น นอกจากตั้งใจดูแลพ่อบ้าน ท่านเองก็ต้องใช้ร่างกายและจิตใจรับใช้ใต้เท้าฉู่ ก็ต้องบำรุงร่างกายให้แข็งแรงถึงจะถูก”
ที่นางกล่าวมาก็ถูกอยู่หลายส่วน แต่เหตุใดฟังแล้วแปลกหูพิกล
เยว่ซินไม่หยอกพ่อบ้านเล่นอีกจึงพูดเข้าประเด็น “ข้าเพียงอยากสอบถามอาการบาดเจ็บเรื้อรังของใต้เท้าฉู่”
“แม่นาง...เอ่อ...เจ้าอยากรู้ไปทำไม” ในเมื่อนางไม่อยากให้เรียกแค่ชื่อก็ย่อมได้เขาก็ไม่ขัดนางก็แล้วกันและอยู่ร่วมกันมาได้ระยะหนึ่ง เขาเองก็ไม่อยากถ่อมตัวต่อนางนัก เพราะนางเองก็ชอบปีนเกลียวเสียเหลือเกิน
“พ่อบ้านไม่อยากให้ใต้เท้าหายดีหรือ?”
“หายดี? เจ้าคิดว่าข้าดีใจที่เห็นนายท่านสภาพนี้หรือ ข้าดูแลรับใช้นายท่านมาเป็นสิบปีไม่มีเลยที่จะต้องทนเห็นชีวิตนายท่านลำบากเช่นนี้”
“ใช่ๆ ใต้เท้าฉู่เป็นคนดียิ่ง ไม่ควรต้องเป็นเช่นนี้เลย” นางรีบพูดขึ้น รินน้ำชาแล้วส่งให้พ่อบ้านด้วยท่าทีนอบน้อม หันซูคล้อยตาม รับน้ำชามาดื่มแล้วหยิบหมั่นโถวมากินพลางเล่าเรื่องในเมืองหลวง
“หากไม่เพราะนิสัยของใต้เท้าเป็นคนเถรตรง ชีวิตคงไม่เป็นเช่นนี้”
“เถรตรงไม่ดีตรงไหนรึ” นางยังแสร้งโง่ รินน้ำชาไม่ได้ขาด
“เถรตรงเป็นเรื่องดี แต่บุรุษเราก็ต้องรู้จักยืดได้หดได้ บางครั้งนายท่านก็ไม่ยอมคล้อยตามผู้อื่น ยึดมั่นอุดมการณ์ แม้ถูกยึดทรัพย์ก็ไม่คิดตอบโต้แต่อย่างใด”
“ยึดทรัพย์? เป็นไปได้หรือ? ข้าได้ยินว่าใต้เท้าฉู่ไม่ยึดติดลาภยศสรรเสริญ เดินทางออกจากเมืองหลวงตัวเปล่า”
จะเรียกว่าตัวเปล่าก็ไม่ถูก เพราะที่ขนมาคือหนังสือหลายสิบหีบต่างหากล่ะ นางลอบค้นห้องหับต่างๆ ดูแล้ว ต่อให้งัดกระเบื้องออกทุกแผ่นก็มั่นใจได้ว่า ฉู่ห่าวหรานไม่มีทรัพย์สินมีค่าใดเลย สิ่งที่เขาหวงแหนคงมีแต่ตำราเหล่านั้น
หมั่นโถวกับน้ำชานี่ไม่เลวเลยจริงๆ แม้จะเทียบกับอาหารที่กินในวังหลวงมิได้ แต่ก็นับว่าดีมากแล้วในชนบทเช่นนี้
“ใช่ที่ไหน แท้จริงเพราะฮ่องเต้ไม่ทรงไว้ใจใต้เท้าฉู่ต่างหาก ถึงได้...”
“หันซู”
“ขอรับ!”
น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยเรียกนั้นทำให้หันซูถึงกับดีดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ เยว่ซินลอบเบ้ปากใส่ น่าจะรอให้หันซูเล่าให้หมดไส้หมดพุงก่อนค่อยเข้ามานะ ใต้เท้าฉู่!
“ที่ข้าให้เตรียมอุปกรณ์สอนเด็กๆ เหล่านั้น เจ้าเตรียมเรียบร้อยแล้วหรือ?”
“เอ่อ... บ่าวกำลังจะไปทำให้เรียบร้อยขอรับ”
“ก็ไปสิ”
“ขอรับ” หันซูรีบเดินไปทันที แต่ไม่ยังใช้สายตาบอกเยว่ซินให้เก็บหมั่นโถวให้ไว้ให้ด้วย นางขยิบตาส่งสัญญาณว่า ‘ได้’
หันซูเดินจากไปลับตาแล้ว ฉู่ห่าวหรานเข็นรถเข้ามาใกล้นางแล้วเอ่ยขึ้น “หากเจ้าอยากรู้อะไรก็ถามข้าได้โดยตรง ไม่ต้องอ้อมค้อมหรือหลอกหันซูเช่นนี้”
“ข้าไม่ได้หลอกเสียหน่อย” นางโต้กลับทันทีแล้วรีบยกจานหมั่วโถวขึ้น “ข้าตั้งใจทำเชียวนะ”
ฉู่ห่าวหรานคร้านจะต่อปากต่อคำจึงได้แต่ส่ายหน้าไปมา
“แต่ข้าเตรียมชาดีบัวไว้ให้ท่านด้วย ช่วยแก้อาการหงุดหงิดนอนไม่หลับ บำรุงหัวใจ เหมาะกับท่านที่สุด”
“เจ้าเป็นหมอหรือไร เหตุใดรู้เรื่องพวกนี้” เขาขมวดคิ้ว ท่าทางนางไม่ดูเฉลียวฉลาดอะไรนัก ติดจะซุกซนเหมือนเด็กชายเสียมากกว่า ดูอย่างไรก็ห่างไกลคำว่า ‘คณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวง’
“ไม่ใช่หมอ” นางหัวเราะร่า “พ่อบุญธรรมสอนข้าว่า ความรู้มีอยู่รอบตัว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นความรู้ได้ทั้งสิ้น ข้าเองก็ท่องเที่ยวในยุทธภพมาไม่น้อย เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องเป็นความลับอันใด ใครๆ ก็รู้กัน”
“แม่นาง..”
“เยว่ซิน เรียกข้าว่าเยว่ซิน” นางพูดแก้ให้เขา เมื่อไหร่เขาจะเรียกชื่อนางอย่างสนิทสนมเสียทีนะ
ฉู่ห่าวหรานกระแอมไอเล็กน้อยแล้วเริ่มพูดใหม่ “เจ้าดูอายุยังน้อย รู้จักท่องยุทธภพแล้วหรือ?”
หญิงสาวหัวเราะร่าแล้วชี้นิ้วใส่หน้าเขาอย่างไม่เกรงมารยาท