“แม่นางเยว่ซินกล่าวเกินไปแล้ว” เขาพูดพลางยกมือขึ้นเกาท้ายทอย “หากมีเรื่องใดโปรดเรียกใช้งานข้าได้ทุกเวลา”
“เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว ท่านทำตะขอเพิ่มให้ข้าอีกห้าอันนะ”
“ได้ๆ เสร็จแล้วข้าจะเอามาให้พร้อมหินลับมีด”
“รบกวนท่านอาแล้ว”
เยว่ซินเดินไปส่งช่างตีเหล็กที่หน้าคฤหาสน์ อันที่จริง นางไม่ได้ตั้งใจเดินไปส่ง แต่เดินไปดูบริเวณหน้าคฤหาสน์ต่างหาก ตามจริงนางควรนั่งคุยเจรจากับเขาเสียที แต่มีเรื่องวุ่นวายเข้ามาตลอด นางยกมือขึ้นนับนิ้วว่าใช้เวลาหมดไปกี่วันแล้ว ป่านนี้ ‘เหอเยว่ซิน’ คงเดินทางไปถึงจุดหมายใช้ชีวิตกับคนรักของนางแล้ว
คิดถึงตอนนี้นางก็เผลอยิ้มออกมา
อันที่จริง ราชครูผู้นี้ก็ดูมิใช่คนเลวร้ายสักเท่าไร และดูไม่ใช่คนโง่อะไรนัก เหตุใดไม่สงสัยในตัวนาง แม้นางมีรูปโฉมงดงามไม่น้อย แต่เขาน่าจะพบพิรุธในตัวนาง เยว่ซินยกมือขึ้นม้วนปลายผมของตนเองเล่นพลางเดินขึ้นไปบนเขา นางชอบภูเขาลูกนี้มาก อุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก เสมือนครัวขนาดใหญ่ ธารน้ำตกที่ไหลจากภูเขาหล่อเลี้ยงคนเบื้องล่าง หากทำการเพาะปลูกดีๆ หาวิธีผันน้ำไปใช้ย่อมสร้างประโยชน์ได้มากมาย คนในหมู่บ้านมีราวสามร้อยคนเท่านั้น หากจะนำของป่าไปขาย ต้องคำนวนเวลาในการในเดินทางให้ดี ออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ เที่ยงวันคงไปถึง แต่ในเมืองคึกคักมาก นางจำได้ว่าตอนที่เดินทางผ่านมานั้นเห็นผู้คนมาซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันมาก
เยว่ซินดึงมีดสั้นที่พกติดตัวออกมาตัดเถาวัลย์ที่เกะกะทางเดินเบื้องหน้า ทว่าจิตใจกลับหวนคำนึงถึงวัยเด็กของตน บิดาเป็นบัณฑิตตกยาก มารดามักพูดด้วยรอยยิ้มเสมอว่า ท่านพ่อเป็นพวกยอมหักไม่ยอมงอ ซื่อตรงจนเกินไป จึงต้องมาอยู่ชนบทเช่นนี้ หากแต่ในความทรงจำของนางนั้น บ้านก็คือกระท่อมหลังน้อยที่อยู่รวมกัน พ่อแม่และพี่ชายทั้งสอง พี่ใหญ่มักฮึดฮัดอยู่เสมอเมื่อพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ วัยเด็กของนางเติบโตในทุ่งกว้าง ขึ้นเขากับพี่รองที่ชอบล่าสัตว์กับพรานป่า หรือบางครั้งก็เข้าป่าหาสมุนไพร เป็นชีวิตที่เรียบง่ายสงบสุข ท่ามกลางเสียงพร่ำบ่นของบิดาให้นางหมั่นฝึกเขียนอักษรและอ่านตำรา แต่นางสมองทึบไม่เหมือนพี่ชายทั้งสองที่ชาญฉลาด แต่กระนั้นนางก็ได้ทักษะการทำอาหารจากมารดา แม้นางเป็นหญิงชาวบ้าน แต่สองข้างของมารดาดุจมีเวทมนตร์เสกทุกสิ่งรอบกายให้เป็นอาหารแสนโอชะ หากท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ นางคงได้สืบทอดวิชาความรู้นี้มามากกว่านี้
ความเจ็บแปลบแล่นเข้าสู่หัวใจจนหญิงสาวต้องยกมือกดหน้าอกตัวเองไว้ ทุกคราวที่คิดถึง นางเจ็บหัวใจทุกครั้งไป เพียงพริบตา นางกลายเป็นเด็กกำพร้า เหลือเพียงคนเดียวที่รอดอยู่
‘หนีไป ไม่ต้องหันกลับมา’
‘ท่านแม่’
‘จำที่แม่สอนให้ดี ตามหาพี่ใหญ่ของเจ้า’
‘ไป! อย่าหันกลับมา’
มารดาใช้ร่างตนเองปกป้องนาง มือของมารดาปิดปากนางแน่น ไม่ให้ส่งเสียงร้อง จนกระทั้งมือนั้นอ่อนแรงและร่วงลงข้างตัวนาง นางไม่มีเสียงร้องไห้ ได้แต่ลืมตาโพลงในความมืด ร่างของมารดาปกป้องนางจากทหารพ่ายทัพและยังปกป้องนางจากความหนาวเหน็บของค่ำคืน เหลือเพียงร่างอันเยียบเย็นและไร้ลมหายใจ
เด็กหญิงกัดริมฝีปากแน่น นางเจ็บแผ่นหลังมาก แต่บาดแผลที่สาหัสที่สุดคือหัวใจดวงน้อย ร่างเล็กค่อยๆ อาศัยความมืดหลบเร้นกายไม่ให้ผู้ใดพบเห็นแล้วจึงมุ่งหน้าก้าวเท้าออกไป
‘พี่ใหญ่ ท่านอยู่ที่ไหน’
‘เหตุใดท่านพ่อท่านแม่พี่รองไม่พาข้าไปด้วย’
นางได้แต่พร่ำเพ้อซ้ำแล้วซ้ำเล่า เด็กหญิงวัยเพียงสิบขวบค่อยๆ ลอบหนีออกมา และพบว่าหมู่บ้านที่เคยอาศัยอยู่จมอยู่ในทะเลเพลิง เหตุการณ์ในครั้งนั้นไม่ใช่แค่ครอบครัวของนางที่สูญเสีย อีกหลายครอบครัวก็เช่นกัน นางตัดสินใจออกจากหมู่บ้าน แต่แอบติดตามขบวนพ่อค้าเร่ เข้าเมืองหลวง แต่สภาพนางในเวลานั้นน่าเวทนานัก กว่าพ่อค้าเร่จะรู้ว่ามีเด็กน้อยแอบอยู่ในเกวียนบรรทุกสินค้า นางก็มีไข้ขึ้นสูง บาดแผลตามตัวเป็นหนอง พวกเขาคิดว่านางไม่รอดแน่แล้ว ทว่าขณะนั้นบังเอิญผ่านวัดแห่งหนึ่งจึงเข้าไปขอความช่วยเหลือ พวกเขาฝากฝังนางไว้ที่นั้น ในค่ำคืนที่นางทุรนทุรายจากบาดแผลบนร่างกาย นางคิดว่าตนเองจะได้พบพ่อแม่และพี่รองแล้ว แต่ไต้ซือรูปหนึ่งกลับยื้อชีวิตนางไว้ได้
น้อยคนนักที่จะรู้ว่า ก่อนเกิดเหตุร้ายในคืนนั้น ‘พี่ใหญ่’ ของนาง แอบหนีออกจากบ้าน พ่อกับพี่ใหญ่มีความคิดไม่ลงรอยกันมานาน ส่วนพี่รองนั้นมักเอนเอียงไปทางบิดาเสียทุกเรื่อง ส่วนนางเอาแต่เล่นซุกซนไปวันๆ พี่ใหญ่หนีออกจากบ้านไปก่อน เขาไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องราวเลวร้ายเช่นนี้ ไม่อย่างนั้น พี่ใหญ่ไม่มีวันทอดทิ้งนางแน่นอน
ที่สำคัญ นางมีคำสั่งเสียสุดท้ายของบิดาส่งถึงพี่ใหญ่
นี่คงเป็นเหตุผลให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไปกระมัง?
ด้วยเหตุผลทั้งหลายทั้งปวงผลักดันให้นางใช้ชีวิตเร่ร่อนเพื่อตามหาพี่ใหญ่ เมื่อชีวิตไม่ต่างจากขอทาน ถูกความหิวโหยโบยตีจนทนไม่ไหว นางลักเล็กขโมยน้อยเพื่อประทังชีวิต
เยว่ซินระบายลมหายใจเบาๆ ดวงตาเหลือบเห็นต้นโสมคน แรกทีเดียวไม่มั่นใจนัก แต่เมื่อทรุดตัวลงนั่ง พิจารณาดูลักษณะใบและลำต้นแล้วจึงค่อยๆ ลงมือขุด เป็นภูเขาที่อุดมสมบูรณ์อย่างแท้จริง ได้โสมคนต้นนี้กลับไปนางจะนำไปปรุงเป็นอาหารให้ชายผู้นั้น
เพียงคิดถึงเขา นางก็ทำหน้าตึงขึ้นมา เหตุใดต้องมาเสียเวลาดูแลชายใบหน้าน้ำแข็งเช่นนั้นด้วยนะ หรือเพราะเขามีท่าทางคล้ายบิดาของนาง คนจำพวก ‘ยอมหักไม่ยอมงอ ซื่อตรงเกินไป’ อย่างที่มารดาเคยพูดไว้บ่อยๆ ที่จริงนางก็ทำอาหารได้แค่อาหารชาวบ้าน แต่เขาเป็นถึงราชครู ยอมกินอาหารฝีมือนางก็นับได้ว่าไม่ใช่คนหัวแข็งยากเกินเยี่ยวยา จากที่เคยได้ยินเรื่องของฉู่ห่าวหรานมาบ้างนับได้ว่าตรงจากที่ร่ำลือกัน แต่เรื่องที่นางไม่รู้ คือเหตุใดจนป่านนี้เขายังไม่มีภรรยา ไม่มีแม้กระทั้งอนุหรือสาวใช้ข้างห้อง มีแค่ ‘หันซู’ คนสนิทเพียงคนเดียว หันซูมีวรยุทธ์แม้ไม่สูงส่งแต่ปกป้องผู้เป็นนายได้แน่นอน
หรือว่าคนทั้งสองรักใคร่กันจริงๆ
อืม
ก็น่าจะเป็นไปได้นะ