หอแดงเกี่ยวใจ
ณ แคว้นฉางโจว
เมืองฝูหานด้านหนึ่งติดทะเล มีภูเขาสูงเป็นฉากหลังของแผ่นดินกว้างใหญ่ นอกจากนั้นบางวันมีถึงสามฤดู ตอนเช้าแดดออก ยามบ่ายกลับมีฝน ตกกลางดึกหนาวจัดจนเป็นเหตุให้คนโสดต้องหาใครสักคนมานอนข้างกาย หากใครไร้คู่ย่อมต้องใช้บริการเหล่าคณิกาหญิงหรือชาย นอกจากนั้นยังมีโรงเตี๊ยม บ่อนการพนันซึ่งเปิดอย่างเสรี ด้วยฝูหานเป็นเมืองเศรษฐกิจ คือแหล่งทำเงินอันดับต้นๆ ที่ส่งภาษีให้แก่แคว้นฉางโจว อีกทั้งยามนี้ใกล้เทศกาลขนมกระดูกขาว และการละเล่นดอกไม้ไฟ เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายจึงมีผู้คนเข้ามาในเมืองใหญ่มากกว่าปกติ รวมถึงบุรุษรูปงามแซ่อู๋ นามว่า หยางจี ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อเตรียมตัวรับใช้ประชาชนในเมืองนี้ อันเป็นอดุมการณ์ที่เขาถูกปลูกฝังตั้งแต่วัยเยาว์
ร่างสูงของชายหนุ่มหน้าใส ซึ่งมีผิวขาวอมชมพู ยืนมองซ้ายแลขวา เขาค่อนข้างเครียดอยู่ซักหน่อย ด้วยเมื่อก้าวมาถึงเมืองนี้ ก็มีเหตุให้เสียทรัพย์ ซึ่งแต่เดิม อู๋หยางจี ฝักใฝ่เรื่องตำรามากกว่าการจับดาบ กระนั้นเขาก็เป็นบุรุษเต็มตัว หล่อเหลา สง่าผ่าเผยดั่งเช่นผู้มีปัญญาเป็นอาวุธ เขามีความคิดรุดหน้ากว่าคนในวัยเดียวกัน ปีนี้อายุย่างยี่สิบสาม หากไร้ซึ่งภรรยาคู่ใจ การเป็นหนุ่มโสดจึงทำให้เขาเนื้อหอม อีกทั้งสกุลอู๋นับว่ามีกินมีใช้ หาได้ยากจน ด้วยเถาเม่ย มารดาเขามีความชำนาญด้านเครื่องหอม ซึ่งเลื่องลือไปทั้งแคว้น แต่เขาหาได้อยากใช้ชื่อเสียงของนางเป็นใบเบิกทาง คนอย่างอู๋หยางจีต้องการให้ผู้อื่นนิยมในตัวเขา ผ่านความสามารถที่มี
อู๋หยางจี ศึกษาการอ่าน เขียนและตำราต่างๆ มามิน้อย อาจไม่ถึงขั้นแตกฉานเช่นบรรพบุรุษแต่เขาถือว่ามีความรู้เกินใครในบุรุษสกุลอู๋ตอนนี้
เขาเดินทางมาจากบ้านนอกตำบลเหอเจียวซึ่งห่างจากเมืองฝูหานราวๆ หนึ่งพันลี้ เขาตั้งใจมาเตรียมตัวสอบเพื่อรับใช้ราชการที่เมืองนี้ ในตำแหน่งอารักษ์ที่หอตรวจการประจำเมือง พร้อมไต่เต้าเป็นคนใหญ่คนโตในภายภาคหน้า อู๋หยางจีหวังทำหน้าที่เพื่อรับใช้ราษฎร เป็นขุนนางตงฉินดั่งเช่นครั้งหนึ่งปู่ทวดของเขาซึ่งล่วงลับไปนานแล้ว เคยรับใช้ในตำแหน่งอันทรงเกียรติที่เมืองหลวง
หลังจากอู๋ฉินหมิงพี่ใหญ่ของอู๋หยางจีได้เห็นประกาศ ซึ่งแจ้งข่าวว่าปีนี้ว่ามีตำแหน่งอารักษ์ว่างในเมืองฝูหาน คราแรกเขาอิดออดเนื่องจากห่วงเถาเม่ย ด้วยนางทำงานหนักมาหลายปี อีกทั้งเขาไม่มีสะใภ้มารับใช้นาง นับว่าเป็นบุตรชายอกตัญญู แต่มารดาผลักดันให้เขาตามใจปรารถนา โอกาสดีเช่นนี้นับว่าหาไม่ได้ง่ายๆ
“รับใช้ราษฎรอย่างที่เจ้าต้องการเถิดจีเอ๋อ แม่อยากให้เจ้ามีความสุขดั่งเช่นท่านพ่อ” เถาเม่ยกล่าว พร้อมให้พรลูกชายคนเล็ก
“แล้วท่านแม่เล่า อยู่ทางนี้ทำงานหนักมิน้อย ใครจะคอยแบ่งเบาภาระ” อู๋หยางจีมิวายห่วงมารดา
“เด็กน้อย แม่ชอบเครื่องหอม และมีคนช่วยงานมากมาย ขาดเจ้าไปสักคน แม่คงไม่เดือดร้อน ขอเพียงมีหลานมาให้แม่อุ้มสักคนสองคน แม่ก็ดีใจแล้ว” หญิงวัยกลางคนมองลูกชายคนเล็กของนาง
“จริงด้วยเสี่ยวตี้ พี่ใหญ่เจ้าถึงจะไม่ได้เรื่อง แต่งเมียเข้าสกุลทีไรก็ไม่ได้ความ แถมเอาแต่นอนเป็นหมูไม่ช่วยงานที่ร้าน ถึงอย่างนั้นเสี่ยวตี้อย่าได้ห่วง พี่ใหญ่จะหาเมียบ่าวอีกสักคน มาช่วยงานท่านแม่อย่างขยันขันแข็งให้ได้” พี่ชายคนโตอู่หยางจีว่าอย่างติดตลก เขาเป็นคนทึ่มแต่รักมารดาและน้องชายคนนี้มาก
“พี่ใหญ่ ท่านรับปากข้าเช่นนี้มาหลายหน จนตอนนี้ทั้งเมียและลูกของท่านมีเกือบยี่สิบสองชีวิต”
อู๋หยางจีไม่ได้โทษอู๋ฉินหมิง เขาเพียงอยากเตือนอีกฝ่ายให้เข้มงวดกับเมียและลูกบ้าง มิเช่นนั้น ในภายภาคหน้าคงหาเลี้ยงกันไม่ไหว
“เสี่ยวตี้ ข้าจะมีเมียบ่าวอีกคนเดียวเท่านั้น หนนี้จะให้ท่านแม่ช่วยส่งเสริม เลือกด้วยตนเอง”
อู๋หยางจีถอนหายใจออกมาเสียงดัง ก่อนมองไปยังมารดาของเขา และนางแสดงออกว่าเบื่อหน่ายที่ลูกชายคนโตซึ่งกำลังจะหาเมียใหม่เข้าบ้าน
ทว่าระหว่างการเดินเขาทั้งนั่งรถม้า สลับการเดินเท้า แล้วขึ้นเรือ ซึ่งต้องใช้จ่ายเงินมากมาย กระนั้นด้วยเป็นมีจิตใจเมตตาจึงช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากอยู่มิขาด แต่ซ้ำร้ายเขากลับถูกโจรปล้น หลังจากเข้ามาในประตูเมืองได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม และยังหวิดถูกจับไปขายตัวที่หอคณิกาชาย หากสุดท้ายด้วยวาสนายังมีจึงเอาตัวรอดได้
อู๋หยางจีรู้ว่าตนจิตใจดีจนบางครั้งอาจไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมผู้อื่น แต่เขายังยึดมั่นเรื่องนี้ เมื่อเห็นคนเดือดร้อน หรืออดยากมักนิ่งเฉยไม่ได้ เนื่องจากเงินทองติดตัวหายเกลี้ยง เขาจึงไปยังโรงรับจำนำ เอาตำราของลัทธิเต๋าซึ่งหายากกับภาพวาดของนักกวีเยว่ถังผู้โด่งดังในเมืองหลวง ซึ่งเป็นภาพวาดทางการแพทย์ รวมถึงศาสตร์บุปผากลืนมังกรซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการมีบุตรยาก แล้วยังกล่าวถึงการอุ่นเตียงด้วยท่วงท่าแสนรัญจวนใจ ถึงจะเสียดาย แต่ของล้ำค่าทั้งหมดทำให้เขามีเงินหาที่พักและมีอาหารตกถึงท้อง อย่างน้อยคงอยู่ได้อย่างไม่อดยากสักครึ่งเดือนในเมืองใหญ่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขาจะใช้ท่องตำรา เตรียมสำหรับการสอบรับราชการในช่วงต้นเดือนหน้า