ยามเซิน
ร่างสูงกำยำของอุปราชปีศาจทรงยืนทอดพระเนตร องค์หญิงน้อยจากแคว้นเย่วกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานภายในอุทยานตำหนักลืมเลือนมาตั้งแต่ช่วงเช้า จนล่วงเลยมาถึงยามเซินโดยไม่รู้ตัว องค์หญิงน้อยช่างพูด ช่างเจรจาและฉลาดเฉลียวเป็นยิ่งนัก เรียนรู้อะไรได้เร็วและที่สำคัญนางเป็นผู้มาจากดวงดาว
อุปราชปีศาจฝึกวิชาอมตะ ซึ่งเป็นวิชาโบราณสุดยอดของวรยุทธ์ ไม่เคยมีผู้ใดฝึกสำเร็จมาก่อนด้วยเพราะจะต้องจบชีวิตลงทุกคนเมื่อฝึกถึงขั้นสุดท้าย หากแต่อุปราชรูปงามเป็นเพียงผู้เดียวที่ฝึกวิชาอมตะนี้เป็นผลสำเร็จ ทั่วหล้าไร้ผู้ใดเทียมทานไม่มีคู่ต่อสู้ใดที่จะสามารถเปรียบเทียบวรยุทธ์ด้วยได้ มีชีวิตที่ไม่มีวันตายและยังคงรูปกายเดิมเป็นอุปราชหนุ่มในวัย 23 พระชันษาไปชั่วกาลนานเพราะสำเร็จวิชาอมตะในขณะที่ยังหนุ่มแน่น
ทว่าพระองค์ต้องแลกกับการมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว และความอ้างว้างเดียวดาย ผ่านกาลเวลาที่หมุนเวียนเปลี่ยนผ่านไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ต้องพบเห็นคนรอบข้างล้มตายไปคนแล้วคนเล่าด้วยเพราะอายุขัยที่เป็นไปตามกลไกของธรรมชาติ อีกทั้งการสำเร็จวิชาอมตะทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใกล้พระองค์ได้เลย
จึงเป็นเหตุให้พระองค์ไร้สิ้นพระชายา ไม่มีแม้กระทั่งนางสนมหรือคนรัก ไร้สิ้นพระโอรสและพระธิดาของตัวเอง วิชาอมตะทำให้พระองค์มีแต่ความเลือดเย็น หัวใจนั้นว่างเปล่าและด้านชาอย่างยิ่งยวด ชีวิตอมตะที่ความตายไม่อาจมาเยี่ยมเยือนอุปราชเฟิงหลงได้นั้น กลับก่อให้เกิดความเงียบเหงาและเปล่าเปลี่ยวเกิดขึ้นกับอุปราชปีศาจไปด้วยเช่นกัน
จวบจนกระทั่งสวรรค์ได้ลิขิตให้พระองค์พานพบกับองค์หญิงตัวน้อยจากแคว้นเยว่ ซึ่งพระองค์ก็ล่วงรู้เช่นกันจากเคล็ดวิชาที่จารึกเอาไว้ว่า ผู้ที่เกิดในวันที่จักรพรรดิแห่งดวงดาวปรากฏ
คนผู้นั้นสามารถย่างกายเข้าใกล้และสัมผัสพระองค์ได้ ซึ่งเมื่อหกปีก่อนดวงดาวไท่อี๋ ได้ปรากฏขึ้นในเวลาเช้าตรู่พร้อมกับแสงพระอาทิตย์แรกโผล่ขึ้นขอบฟ้า พร้อมกับองค์หญิงน้อยได้ประสูติออกจากครรภ์พระมารดาและมีเพียงชีวิตเดียวเท่านั้นที่ถือกำเนิดในวันดังกล่าว
ในขณะที่อุปราชปีศาจล่วงรู้แต่เพียงว่าผู้ที่ถือกำเนิดในวันดังกล่าวจะเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถเข้าใกล้พระองค์ หากแต่ทรงไม่ล่วงรู้ว่า นอกจากจะเข้าใกล้พระองค์ได้แล้วยังสามารถสังหารอุปราชปีศาจได้ด้วยเช่นกัน และที่สำคัญผู้มาจากดวงดาวถูกลิขิตให้เป็นคู่ครองของอุปราชปีศาจซึ่งพระองค์ไม่เคยล่วงรู้ความลับนี้เลย
ทันใดนั้นเอง
“องค์หญิงเพคะ! องค์หญิง!”
“เพ่ยเอ๋อร์! เพ่ยเอ๋อร์เจ้าอยู่ที่ไหน...ส่งเสียงขานรับพี่หน่อยเพ่ยเอ๋อร์!!!!”
“ทูนหัวของหม่อมฉันหายไปไหนเพคะ...ตายแน่เลย ตายแน่ๆ หายไปไหนตั้งแต่เช้าก็ไม่รู้จนเย็นย่ำเข้ายามเซินแล้วก็ยังหาองค์หญิงไม่พบเลย”
เสียงเอ็ดอึงของบรรดาทหารและนางกำนัล รวมไปถึงเย่วฮองเฮาที่ออกตามหาองค์หญิงน้อยด้วยตัวเอง ดังไปทั่วบริเวณอันเป็นที่ตั้งของพระราชวังถังเฉี่ยน ซึ่งมีสระน้ำขนาดใหญ่ขวางกั้นระหว่างกลางตำหนักลืมเลือนที่ถูกลืม
บรรดาทหารหลวงและทหารองครักษ์รวมไปถึงนางกำนัลขันที ต่างทยอยเข้ามารายงานเย่วฮองเฮาเมื่อออกตามหาจนทั่วแล้วก็ยังไม่พบ
“พวกเจ้าออกไปค้นหาองค์หญิงแล้วได้ความว่าอย่างไรบ้าง”เย่วฮองเฮารับสั่งถาม
บรรดาทหารหลวงและทหารองครักษ์ รวมไปถึงนางกำนัลและขันทีต่างพากันส่ายหน้าไปมาอย่างพร้อมเพรียง อันเป็นคำตอบที่ถูกส่งกลับมาทำให้เย่วฮองเฮา พระทัยหายไปโดยพลันครั้นทอดพระเนตรอาการเช่นนั้น
“องค์หญิงตัวเล็กนิดเดียว ทหารทั่วทั้งวังหลวงกลับหาน้องสาวของข้าไม่พบเหรอนี่! นางไม่สามารถออกไปนอกวังได้เพียงตามลำพังอย่างแน่นอน พวกเจ้าหาจนทั่วดีแล้วอย่างนั้นเหรอ”เย่วฮองเฮารับสั่งถามสุรเสียงขุ่นเคือง ก่อนจะได้ยินเสียงของหัวหน้าองค์รักษ์เอ่ยขึ้น
“ออกค้นหาจนทั่วทั้งวังหลวงแล้วก็ไม่พบเลยพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่ามียังมีอีกสถานที่แห่งหนึ่งที่ไม่ได้เข้าไปค้นหาซึ่งก็คือตำหนักลืมเลือน อันเป็นสถานที่ต้องห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าไปใกล้แม้เพียงหนึ่งฉื่อเลยพ่ะย่ะค่ะ”หัวหน้าองครักษ์รายงานกลับไป
รายงานของหัวหน้าองครักษ์ทำให้เย่วฮองเฮาขมวดพระขนงเข้าหากันครั้นได้ยินเช่นนั้น
“ตำหนักลืมเลือนอย่างนั้นเหรอ”รับสั่งสุระเสียงพึมพำพร้อมเอ่ยขึ้น
“ในเมื่ออยู่ในเขตของพระราชวังหลวงเช่นกันเหตุใดจึงได้รับการยกเว้นอยู่นอกเหนือเช่นนี้ ไม่สามารถเข้าไปตรวจค้นสถานที่แห่งนั้นได้”รับสั่งด้วยไม่เข้าพระทัย
“พระตำหนักทุกหนทุกแห่งภายในพระราชวังถังเฉี่ยน แห่งนี้ มีเพียงตำหนักลืมเลือนเท่านั้นที่ไม่ว่าผู้ใดก็ตามห้ามเข้าไปแตะต้องเป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ องค์ฮ่องเต้ปฐมราชวงศ์ของเป่ยถัง ทรงมีพระราชโองการจารึกเอาไว้หน้าพระตำหนักลืมเลือน ห้ามผู้ใดเข้าไปบุกรุก ยึดครองและทำลายตำหนัก รวมไปถึงห้ามถอดถอนพระยศหวังเพื่อทำลายความสงบของมหาอุปราช ซึ่งเป็นพระเชษฐาเป็นอันขาด เรื่องเล่านี้มีมาตั้งแต่สร้างแคว้นเป่ยถังมานานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เย่วฮองเฮาทรงยืนนิ่งงันไปชั่วขณะเมื่อได้ยินถ้อยคำกราบทูลของหัวหน้าองครักษ์เช่นนั้น ใบหน้างามยังคงคลางแคลงใจไม่รู้วายด้วยไม่คาดคิดว่าตำนานเรื่องเล่าของอุปราชปีศาจจะมีอยู่จริง
“นี่เจ้ากำลังบอกกับข้าว่า ตำหนักลืมเลือนคือสถานที่ประทับของอุปราชปีศาจ ที่ทั่วหล้าต่างกล่าวขานกันตามตำนานมาอย่างช้านานอย่างนั้นนะเหรอ”เย่วฮองเฮารับสั่งถามย้ำเพื่อความแน่พระทัย
“ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตำหนักลืมเลือนก็คือสถานที่ประทับของมหาอุปราชเฟิงหลงในตำนานสร้างแคว้นเป่ยถัง”หัวหน้าองครักษ์ทูลย้ำเสียงหนักแน่น
และนั่นทำให้เย่วฮองเฮาจากที่ยืนนิ่งไปชั่วครู่ค่อยๆ ปรากฏเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
“แต่เรื่องเล่าของอุปราชปีศาจผ่านมานานสามร้อยกว่าปีแล้ว พวกเจ้ายังคิดว่าอุปราชในตำนานยังคงมีพระชนม์ชีพอยู่อย่างนั้นหรอกเหรอ หากนับอายุแล้วนับตั้งแต่เป่ยถังสถาปนาแคว้นจนถึงทุกวันนี้ก็เกือบสามร้อยสามสิบปีแล้วมิใช่รึ มหาอุปราชจะมีอายุยืนยาวนานได้ตราบเท่าทุกวันนี้ได้อย่างไร...ข้าไม่มีวันเชื่อหรอก”เย่วฮองเฮารับสั่งพลางส่ายพระพักตร์ไปมา
“แต่เอาเถิดนั่นคือเรื่องเล่าในตำนานสร้างแคว้นของเป่ยถัง ข้ามิอาจก้าวล่วงได้ ในเมื่อตำหนักลืมเลือนเป็นสถานที่หวงห้ามของพระราชวังถังเฉี่ยนนี้ ข้าในฐานะแม่ของแผ่นดินเป่ยถัง ก็จะไม่กระทำการหมิ่นพระเกียรติอุปราชในตำนาน เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งหมดแยกย้ายออกตามหาองค์หญิงเยว่เพ่ยเพ่ยให้พบ!!!”เยว่ฮองเฮารับสั่งสุระเสียงเฉียบขาด
“รับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”บรรดาทหารองครักษ์ต่างขานรับคำสั่งกันอย่างพร้อมเพรียง
ทว่าเย่วฮองเฮามิล่วงรู้เลยว่า ถ้อยรับสั่งของพระนางทุกประโยคและทุกคำที่พรั่งพรูออกมานั้น ตลอดจนการสนทนาตอบโต้เมื่อครู่ อุปราชปีศาจล้วนได้ยินจนหมดสิ้น
และทุกถ้อยเจรจาของเย่วฮองเฮาหาได้รอดพ้นหรือตกหล่นไปแม้แต่เพียงประโยคเดียว รอยแย้มเยือนปรากฏขึ้นที่มุมปากบางเบาครั้นอุปราชปีศาจได้ยินทุกอย่างจนหมดสิ้น
พระวรกายสูงสง่าฉลองพระองค์สีขาวงาช้าง กำลังยืนเอามือไพล่หลังไว้เพียงข้างเดียว ส่วนอีกข้างกำลังจับผีเสื้อและปล่อยไปทางองค์หญิงน้อยที่กำลังวิ่งไล่จับผีเสื้อหลากสีมากมายอย่างสนุกสนานอยู่ในเวลานี้
วิชาอมตะของพระองค์ นอกจากจะได้มอบชีวิตที่เป็นนิรันดร์ให้แล้ว ยังสามารถทำให้พระองค์มีหูทิพย์สามารถได้ยินการสนทนาของผู้คนร่วมไปถึงความในใจทุกอย่าง
“ดูท่าฮองเฮาผู้นี้จะรักและหวงน้องสาวของนางเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว”รับสั่งพลางหันหลังกลับไปทอดพระเนตรองค์หญิงน้อยที่กำลังส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานอยู่ในเวลานั้น
“เพ่ยเพ่ย”สุรเสียงนุ่มรับสั่งเพรียกหาองค์หญิงน้อย
ร่างอ้วนกลมสมบูรณ์ที่กำลังวิ่งไล่จับเหล่าผีเสื้ออยู่ในเวลานั้น หยุดชะงักก่อนจะหันกลับไปมองทางด้านหลังครั้นได้ยินเสียงเพรียกหาดังกล่าว ก่อนจะเห็นอุปราชปีศาจยื่นพระหัตถ์ออกมา
“มาหาข้าเด็กดี!”รับสั่งพลางกวักพระหัตถ์ขึ้นลงให้องค์หญิงน้อยเข้ามาหา
ครั้นองค์หญิงน้อยได้ยินอุปราชปีศาจรับสั่งเพรียกหานางเช่นนั้น นางไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไปหาอุปราชในตำนานทันใด พร้อมพระวรกายสูงใหญ่ก้มลงต่ำพลางอ้าแขนทั้งสองข้างรอรับร่างอ้วนกลมที่กำลังวิ่งเข้ามาหา ก่อนจะสวมกอดองค์หญิงน้อยพร้อมอุ้มเอาไว้แนบอก
“ท่านปู่มีอะไรเหรอจึงเรียกหาเพ่ยเพ่ย”องค์หญิงน้อยถามกลับไปอย่างไร้เดียงสา
พระพักตร์หล่อเหลาส่งยิ้มให้กับองค์หญิงน้อยทุกครั้ง เมื่อได้ยินนางเรียกพระองค์ว่าท่านปู่
“พี่สาวของเจ้ากำลังตามหาจนวุ่นวายไปทั่วทั้งวัง นี่ก็เย็นมากแล้วด้วย ถึงเวลากลับไปยังตำหนักของเจ้าแล้วนะ”อุปราชปีศาจรับสั่งกับองค์หญิงน้อย
และนั่นทำให้ใบหน้าอ้วนกลมขององค์หญิงน้อยที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเมื่อครู่ ค่อยๆ จางหายไปทันใดครั้นได้ยินเช่นนั้น
“เพ่ยเพ่ยยังไม่อยากกลับ ยังอยากจับผีเสื้ออยู่ที่นี่”องค์หญิงน้อยตอบกลับไป
“ตำหนักของข้าอยู่ที่นี่ไม่ได้หายไปไหน เจ้าอยากมาจับผีเสื้อเมื่อไรก็ได้เท่าที่ใจต้องการ แต่ต้องตกลงกันก่อนว่าเมื่อมาเล่นภายในตำหนักของข้า ถึงเวลาก็ต้องกลับเพื่อไม่ให้พี่สาวของเจ้าต้องเป็นห่วง เข้าใจหรือไม่เพ่ยเพ่ย”
องค์หญิงน้อยพยักพระพักตร์ขึ้นลงติดต่อกันครั้นได้ยินเช่นนั้น
“เพ่ยเพ่ยเข้าใจแล้วท่านปู่”องค์หญิงน้อยตอบรับไม่ดื้อดึงแต่อย่างใดสร้างความพึงพอพระทัยให้แก่อุปราชปีศาจเอ็นดูนางมากนับเท่าทวีคูณ
“ช่างน่าสอนสั่งเสียจริงนะเจ้า”รับสั่งพึมพำก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“มีบางเรื่องที่เจ้าจะต้องสัญญากับข้านะเพ่ยเพ่ย”อุปราชปีศาจรับสั่งออกมา และนั่นได้สร้างความสงสัยให้แก่องค์หญิงน้อย
“สัญญาอะไรเหรอท่านปู่”องค์หญิงน้อยถามกลับไปด้วยความอยากรู้พลางยกสองมือกอดคออุปราชรูปงามเอาไว้ทันทีก่อนจะได้ยินสุระเสียงดังขึ้น
“เจ้าจะต้องสัญญาว่า จะไม่บอกผู้ใดเป็นอันขาดว่าได้เข้ามาภายในสภานที่แห่งนี้ และไม่ว่าอย่างไรก็ตามจะต้องไม่บอกกับผู้ใดว่ามาพบข้า และบอกเล่าลักษณะของข้าให้ผู้อื่นได้ล่วงรู้ สัญญาได้หรือไม่เพ่ยเพ่ย”อุปราชหนุ่มรับสั่งถามกลับไป
องค์หญิงน้อยแม้ว่าจะฟังไม่เข้าใจเสียเท่าใดนัก แต่ก็พยักพระพักตร์ขึ้นลงเป็นการตอบรับ
“แม้ว่าข้าจะไม่รู้เรื่องที่ท่านปู่สั่งกำชับเสียเท่าใดนัก แต่ก็พอจะเข้าใจเองได้ว่าท่านปู่ไม่ต้องการให้ผู้ใดพบเห็น ถ้าเช่นนั้นขอได้โปรดวางใจเถิด เพ่ยเพ่ยจะปิดปากให้สนิทเลยแต่ท่านต้องให้ข้ามาเล่นด้วยที่ตำหนักนี้ทุกวัน”องค์หญิงน้อยเสนอขอแลกเปลี่ยนกลับไปทันที
และข้อแลกเปลี่ยนขององค์หญิงน้อยสร้างความขบขันให้แก่อุปราชปีศาจอย่างยิ่งยวด ครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น
“เด็กเจ้าเล่ห์! อายุเพิ่งจะเพียงเท่านี้ รู้จักขอสิ่งแลกเปลี่ยนกับข้าเสียแล้ว ช่างแก่แดดเสียจริง เหตุใดข้าจะไม่ให้เจ้าเข้ามาเล่นด้วยเล่า ในเมื่อตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เข้าใกล้ข้าได้ แน่นอนว่าข้าย่อมดีใจยิ่งนักที่เจ้ามาทุกวัน”
คำตอบดังกล่าวของอุปราชเฟิงหลงสร้างความดีใจให้แก่องค์หญิงน้อยอย่างยิ่งยวด สองแขนที่กอดรอบคอใหญ่อยู่ในเวลานั้นโผซุกเข้าหาไออุ่นพร้อมเอ่ยขึ้น
“ข้าดีใจจังเลยท่านปู่ ที่อนุญาตให้เข้ามาเล่นในตำหนักนี้ได้ทุกวัน!”องค์หญิงน้อยรับสั่งพร้อมกอดคออุปราชรูปงามเอาไว้แน่นท่ามกลางรอยแย้มเยือนด้วยความเอ็นดูองค์หญิงน้อย
“ข้าต้องอนุญาตเจ้าอยู่แล้ว วันไหนไม่มาเล่นกับข้าจะไปตามถึงในตำหนักเลยเชียวละ”รับสั่งพลางอุ้มกระชับร่างอ้วนกลมที่อยู่ในอ้อมกอด
เพียงครู่พระองค์สัมผัสได้ว่าองค์หญิงน้อยได้ผล็อยหลับอยู่บนบ่ากว้างไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่อาจล่วงรู้ได้
“อ้าวหลับไปเสียแล้ว! นี่แหละนะขึ้นชื่อว่าเด็กน้อย พอเล่นเหนื่อยมากก็หลับไปอย่างไม่รู้ตัว ดูท่าข้าจะต้องนำส่งเพ่ยเพ่ยไปถึงภายในตำหนักของนางเสียแล้ว”สิ้นเสียงของอุปราชปีศาจ
พลังยุทธ์จากวิชาอมตะส่งจากพระหัตถ์ก่อนจะสัมผัสกับร่างอ้วนกลมขององค์หญิงน้อย จนห่อหุ้มคล้ายรังไหมเรืองแสงและค่อยๆ ลอยขึ้นออกจากบ่ากว้างของอุปราชปีศาจพร้อมสุระเสียงรับสั่งดังขึ้น
“นำองค์หญิงกลับตำหนัก!”รับสั่งเพียงสั้นๆ
ฟิ้วววว!!!! สิ้นเสียงรับสั่งรังไหมเรืองแสงที่ห่อหุ้มองค์หญิงน้อยถูกพระหัตถ์ของอุปราชปีศาจ สะบัดเพียงปลายนิ้วพระหัตถ์รังไหมดังกล่าวเลือนหายไปชั่วพริบตา มุ่งหน้าไปยังพระตำหนักลู่เหวินอันเป็นที่ประทับของเย่วฮองเฮา
เปลือกพระเนตรปิดลงเมื่อพระองค์กำลังใช้วิชาอมตะอันลี้ลับนำส่งองค์หญิงเย่วเพ่ยเพ่ยออกจากตำหนักลืมเลือน โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้และที่สำคัญไม่มีผู้ใดเห็นการมาและการกลับไปขององค์หญิงน้อยแต่อย่างใด
พระวรกายสูงใหญ่ยังคงยืนนิ่งอย่างสงบ คล้ายราวกับว่าอุปราชปีศาจกำลังทอดพระเนตรองค์หญิงน้อยอยู่ตลอดเวลา เมื่อนางได้กลับเข้าไปตำหนักลู่เหวินและกำลังนอนหลับสนิทด้วยความเหนื่อยเพราะเล่นมาตลอดทั้งวัน จวบจนกระทั่งเย่วฮองเฮาเสด็จก้าวเข้ามาในห้องบรรทมขององค์หญิงน้อยด้วยความเหนื่อยอ่อนเพราะออกตามหาน้องสาวมาตลอดทั้งวัน
และทันทีที่เสด็จก้าวเข้ามาภายในห้องพระบรรทมขององค์หญิงน้อย เย่วฮองเฮาเป็นอันต้องชะงักงันไปทันใดครั้นทอดพระเนตรร่างอ้วนกลมกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนแท่นพระบรรทม
“เพ่ยเอ๋อร์!!!”รับสั่งเพรียกหาองค์หญิงน้อยพร้อมถลาเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยกพระหัตถ์ลูบไล้ใบหน้าไปมาด้วยความโล่งพระทัยที่เห็นน้องสาวปลอดภัย
“เจ้าเด็กซุกซน ทำให้ข้าตกใจหมดเลยเที่ยวออกตามหาเจ้าตลอดทั้งวัน จนทั่วทั้งวังวุ่นวายกันไปหมด แต่เจ้านี่สิแอบไปเล่นที่ไหนก็ไม่รู้ มิหนำซ้ำกลับเข้ามาในตำหนักตั้งแต่เมื่อไรก็ยังไม่มีผู้ใดเห็นและมานอนหลับหน้าตาเฉย คอยดูเถอะนะตื่นขึ้นมาเมื่อไรจะต้องทำโทษกันบ้างแล้ว”รับสั่งบ่นพึมพำไปเรื่อย หากแต่พระหัตถ์กลับยกขึ้นลูบไล้ใบหน้ากลมขององค์หญิงน้อยไปมาด้วยความรักและเอ็นดูอย่างยิ่งยวด
ภาพเหตุการณ์ดังกล่าวล้วนตกอยู่ในสายพระเนตรของอุปราชปีศาจ ซึ่งทอดพระเนตรจากตำหนักลืมเลือนอยู่ในเวลานี้ วิชาอมตะไม่ได้ทำให้พระองค์มีหูทิพย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ทำให้พระองค์มีพระเนตรทิพย์ได้ด้วยเช่นกัน เป็นวรยุทธ์จากแดนสวรรค์ ซึ่งมีเพียงผู้ที่สวรรค์ลิขิตและถูกเลือกให้สำเร็จวิชานี้เท่านั้นจึงจะสามารถมีชีวิตที่เป็นอมตะไปชั่วนิจนิรันดร์
ทว่าในแดนมนุษย์กลับกล่าวขานวิชาอมตะนี้ว่าเป็นวิชามาร ผู้ที่ฝึกวิชาอมตะสำเร็จจะกลายเป็นจอมมารที่ไม่ว่าจะย่างกายไปแห่งหนใดจะทำลายทุกชีวิตให้สูญสลายไปเพียงชั่วพริบตา
และนั่นจึงทำให้อุปราชเฟิงหลงถูกกล่าวขานว่าพระองค์คือจอมมาร ที่เข่นฆ่าผู้คนจนล้มตายไปนับหลายแสนชีวิตโดยไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย จึงทำให้พระองค์ถูกเรียกว่าเป็น “อุปราชปีศาจ”
พระพักตร์หล่อเหลาปรากฏรอยยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก เปลือกพระเนตรเปิดขึ้นพร้อมพระเนตรสีนิลลุกวาววับระยิบระยับ
“พรุ่งนี้และวันต่อๆ ไป มาเล่นด้วยกันใหม่นะเพ่ยเพ่ย ดาวราชินีของข้า”รับสั่งสุระเสียงพึมพำพร้อมเสียงพระสรวลดังออกมาจากลำคอบางเบา
พระวรกายใหญ่หันกลับพร้อมเสด็จเข้าไปยังห้องประทับส่วนพระองค์ เมื่อถึงเวลาที่ต้องเสด็จเข้าที่ประทับภายใน หลังจากที่บรรดาข้าราชบริพารเข้ามาจัดเตรียมและดูแลในเรื่องพระกระยาหารค่ำ ตลอดจนสระสรงน้ำและเข้าบรรทมซึ่งอุปราชปีศาจจะต้องประทับอยู่เพียงลำพัง และเป็นเช่นนี้มาตลอดระยะเวลา 329 ปี