แคว้นเป่ยถัง
แคว้นเป่ยถังตั้งอยู่ระหว่างกลางแคว้นต้าซาง ต้าเย่วและต้าเหยี่ยน มีพรมแดนติดกับต้าเหยี่ยนเสียเป็นส่วนใหญ่ และติดกับชายแดนของคนเถื่อนหรือที่รู้จักกันเป็นอย่างดีคือชาวทุ่งหญ้า ท่ามกลางแคว้นใหญ่ที่ล้อมรอบและชาวเผ่าทุ่งหญ้าที่ต้องการครอบครองเป่ยถังมาโดยตลอด มาจากสาเหตุที่เป่ยถังมีพื้นที่ราบเหมาะทำการเกษตรและให้พืชผลเป็นอย่างดีเยี่ยม
อีกทั้งอากาศภายในแคว้นไม่แปรปรวน มีครบทั้งฤดูร้อน ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูฝน ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว จึงทำให้พืชผลทางการเกษตรมีออกมาครบทุกฤดูกาล มีเทือกเขาสูงและอากาศที่เย็นจัดจนเป็นเทือกเขาน้ำแข็งเฉพาะที่มีชายแดนติดต่อต้าเหยี่ยนเท่านั้นซึ่งตั้งอยู่ตอนเหนือสุด และที่สำคัญเป่ยถังมีทองคำและหยกสูงค่าเนื้องามหายากอย่างยิ่งยวดที่เกิดจากธรรมชาติซุกซ่อนอยู่ในเทือกเขาสูงทั้งลูก
และด้วยสาเหตุที่มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบ มีภูมิประเทศคล้ายหัวมังกรเกือบครึ่งตัวเลยที่เดียว ส่วนหัวคือเทือกเขาสูงเสียดฟ้า ส่วนลำตัวนั้นคือพื้นที่ราบและมีแม่น้ำฉางเจียงซึ่งไหลมาจากตอนเหนือสุดพาดผ่านมาจากดินแดนแห่งคนเถื่อน(ทิเบต) หรือในปัจจุบันเรียกแม่น้ำสายนี้ว่าแม่น้ำแยงซีเกียง
จึงทำให้เป่ยถังมีภูมิประเทศที่เป็นปราการด่านทางธรรมชาติ ยากยิ่งนักที่จะยกทัพบุกเข้าแผ่นดินแห่งนี้ได้โดยง่ายทั้งต้าซาง ต้าเย่วและต้าเหยี่ยนรวมไปถึงชนเผ่าทุ่งหญ้าจะต้องใช้กำลังความคิดและกำลังทหารอย่างมหาศาลมากมายยิ่งนักที่จะสามารถฝ่าเทือกเขาสูงเสียดฟ้า และแม่น้ำฉางเจียงซึ่งเป็นแม่น้ำสายใหญ่เข้ามาถึงเป่ยถังได้
ด้วยเหตุนี้เองเป่ยถังจึงอยู่รอดปลอดภัยมานานถึง 329 ปี มีเจ้าผู้ครองแคว้นหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนขึ้นปกครองมาอย่างยาวนาน โดยมีราชวงศ์เฟิงปกครองแคว้นเป่ยถังมาโดยตลอด ซึ่งสถาปนาแคว้นมาพร้อมกับต้าซางซึ่งมีราชวงศ์ซางปกครอง ในขณะที่เป่ยถังนั้นมีราชวงศ์เฟิงสืบสายสกุลมาตั้งแต่โบราณเช่นเดียวกับราชวงศ์ซางเช่นกัน
และสาเหตุสำคัญที่ทำให้เป่ยถังดำรงอยู่ได้อย่างแข็งแกร่ง เป็นหนึ่งในแคว้นใหญ่อยู่ในเวลานั้นมาจากอุปราชแห่งเป่ยถัง พระนามว่าเฟิงหลง พระองค์คืออุปราชของแคว้นเป่ยถังมาตั้งแต่ประกาศสถาปนาแคว้น และพระองค์คือผู้ก่อตั้งแผ่นดินเป่ยถังทั้งหมดอันกว้างใหญ่ไพศาลและได้ภูมิประเทศที่ดีล้วนมาจากฝีมือของพระองค์ทั้งสิ้น
ตำนานของแคว้นเป่ยถังเล่าขานกันต่อๆ มาว่าอุปราชเฟิงหลงสังหารกองทัพนับหลายแสนชีวิตของฝ่ายศัตรูตรงกันข้าม ด้วยวิธีการ เพียงแค่เสด็จพาดผ่านทุกชีวิตที่อยู่ภายในระยะใกล้ ร่างพลันสลายไปเองเพียงชั่วพริบตา ทำให้ได้รับชัยชนะเหนือแคว้นใดทั้งหมดในเวลานั้น ต่อหน้ากองทหารจากสามแคว้นที่รวมตัวกันบุกยึดเป่ยถังเพื่อหวังแบ่งปันแผ่นดินออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยซึ่งอยู่ติดกับเขตชายแดนของตัวเอง
เมื่อเหตุการณ์กลับแปรเปลี่ยน แทนที่เป่ยถังจะล่มสลายกาลกลายเป็นว่ากองทัพจากทั้งสามแคว้นสลายหายไปเพียงชั่วพริบตาเสียเอง จึงทำให้เกิดเสียงลือเสียงเล่าอ้างไปทั่วทุกสารทิศ ว่าพระองค์คือ “อุปราชปีศาจ”
ทั้งสามแคว้นไม่กล้าที่จะนำชีวิตของเหล่าแม่ทัพและกำลังทหารต้องมาสังเวยหรือก่อสงครามกับเป่ยถังอีกตราบใดที่อุปราชปีศาจยังคงอยู่ พระองค์ได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ภายในเวลาเพียงแค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น เป็นหนึ่งก้านธูปที่สังหารชีวิตฝ่ายตรงกันข้ามไปเพียงชั่วพริบตา
ครั้นชัยชนะได้ตกเป็นฝ่ายของเป่ยถังหากแต่อุปราชเฟิงหลงกลับไม่ขึ้นครองแผ่นดินแต่มอบให้เฟิงหู่ พระอนุชาขึ้นปกครองราชบัลลังก์แทน โดยมีพระองค์ดำรงตำแหน่งมหาอุปราช ทรงคอยให้คำปรึกษาในการบริหารแผ่นดินของเจ้าแคว้นเป่ยถังและสืบต่อเช่นนี้เรื่อยมาโดยตลอด
จวบจนกระทั่งกาลเวลาผ่านไปนานกว่า 329 ปี อุปราชเฟิงหลงก็ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่มาอย่างยาวนานหาได้สิ้นพระชนม์ดั่งเช่นองค์ฮ่องเต้ซึ่งเปรียบเสมือนลูกหลานของพระองค์แต่อย่างใด
ในขณะที่เจ้าผู้ครองแคว้นของเป่ยถังนั้นต่างสวรรคตไปตามระยะกาลเวลาของอายุขัยพระองค์แล้วพระองค์เล่า แต่อุปราชเฟิงหลงกลับยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่เช่นนั้นดุจเดิม หากรวมพระชนมายุในขณะที่ทำการสถาปนาแคว้นเป่ยถังซึ่งในเวลานั้นพระองค์มีพระชนมายุ 23 พระชันษา นั่นก็เท่ากับว่าอุปราชเฟยหลงในเวลานี้ทรงมีพระชนมายุมากถึง 352 พระชันษาแล้ว
อุปราชปีศาจประทับอยู่ภายในพระตำหนักอี๋หว่างกุง ซึ่งเป็นพระตำหนักส่วนพระองค์อยู่ทางทิศบูรพาของพระราชวังถังเฉี่ยนมาอย่างช้านาน หรือที่ผู้คนทั่วไปรวมไปถึงข้าราชบริพารภายในพระราชวังหลวงถังเฉี่ยน ต่างพากันเรียกขานว่าตำหนักลืมเลือน ซึ่งพระตำหนักดังกล่าวถูกสร้างขึ้นประหนึ่งพระราชวังหลวงเช่นเดียวกับพระราชวังถังเฉี่ยนและยิ่งใหญ่เหนือเสียยิ่งกว่าพระราชวังหลวงเสียอีกด้วยซ้ำนับตั้งแต่สร้างแคว้นและให้มีพระบัญชาสร้างพระราชวังถังเฉี่ยนขึ้นมา
ซึ่งมีพื้นที่นับหลายร้อยหมู่ กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาเป็นยิ่งนัก เฉพาะพระตำหนักอี๋หว่างกุงหรือตำหนักลืมเลือนเพียงแห่งเดียว ก็มีพื้นที่ถึงร้อยหมู่มีข้าราชบริพารส่วนพระองค์และทหารองครักษ์เปรียบเสมือนกองทัพย่อมๆ ที่ถวายความจงรักภักดีต่ออุปราชผู้สร้างแคว้นเป่ยถัง นับพันชีวิตและกองทหารอีกหนึ่งหมื่นนาย คอยดูแลและถวายอารักขาอยู่ภายในพระตำหนักดังกล่าวมาอย่างช้านาน
ทว่าเจ้าของตำหนักอี้หว่างกุงหรือพระตำหนักลืมเลือน หาได้ปรากฏพระวรกายมาให้ผู้ใดได้พานพบมานานถึง 329 ปีแล้ว นับตั้งแต่ยกพระราชบัลลังก์นี้ให้แก่พระอนุชาปกครอง
ส่วนพระองค์นั้นกลับประทับอยู่แต่ภายในพระตำหนักอี๋หว่างกุงมาโดยตลอด หากเจ้าผู้ครองแคว้นเสด็จมาเข้าเฝ้าเพื่อขอคำปรึกษาต่างๆ จากมหาอุปราช ก็จะประทับคอยอยู่ภายในห้องหนังสือซึ่งจะได้ยินแต่เพียงพระสุรเสียงเท่านั้นที่ให้คำปรึกษา
พระสิริโฉมของอุปราชเฟิงหลงหามีผู้ใดได้พานพบเพราะไม่สามารถมีผู้ใดเข้าใกล้พระองค์ได้เลย ด้วยเพราะมีเสียงเล่าลือต่อๆ กันมาว่าอุปราชเฟิงหลงทรงฝึกวิชาลึกลับที่ไม่เคยปรากฏบนผืนแผ่นดินนี้ เพื่อทำให้เป่ยถังเป็นปึกแผ่นและแข็งแกร่งยืนหนึ่งกว่าแคว้นใดทั่วหล้า
วิชาลึกลับดังกล่าวทำให้พระองค์มีวรยุทธ์ที่หาผู้ใดทัดเทียม ผู้ที่เข้าใกล้พระองค์อย่าว่าแต่สัมผัสเลยเพียงแค่ย่างกายเข้ามาใกล้ในระยะยังไม่ถึงสิบฉื่อเสียด้วยซ้ำ ร่างจะต้องสลายเหลือเพียงเถ้าธุลีขาว และนั่นจึงทำให้พระองค์ทรงได้รับสมญานามว่า”อุปราชปีศาจ”
และนี่คือเหตุผลว่าเพราะอะไรอุปราชเฟิงหลง จึงทรงประทับอยู่แต่ในพระตำหนักเพียงพระองค์เดียวมาโดยตลอด ไร้สิ้นพระชายาเคียงข้างพระวรกาย พระสนมและพระโอรสพระราชธิดาแต่อย่างใด
ตำนานแคว้นเป่ยถังต่างพากันเล่าขานต่อๆ กันมาว่า ในช่วงที่พระอนุชาทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ มีเพียงฮ่องเต้เฟิงหู่พระองค์เดียวเท่านั้นที่เข้าเฝ้าพระเชษฐาเพื่อมาเยี่ยมเยือนอยู่สม่ำเสมอ
ด้วยฮ่องเต้เฟิงหู่สงสารในชะตากรรมของพระเชษฐาที่จะต้องพบกับความทรมานในพระชนม์ชีพหลังจากฝึกวิชาลึกลับนี้สำเร็จจนสามารถรวบรวมแผ่นดินเป่ยถังจนสำเร็จ ทว่ากลับทำให้พระองค์ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวและเดียวดาย ทรงประทับอยู่อย่างอ้างว้างแต่เพียงลำพังในพระตำหนักอี๋หว่างกุงแต่เพียงผู้เดียว
แม้แต่คนสนิทและข้าราชบริพารที่คอยถวายการรับใช้ยังไม่อาจอยู่ใกล้ได้ ต้องอยู่ให้ห่างจากพระวรกายเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของตัวเอง
ครั้นฮ่องเต้เฟิงหู่สวรรคตลงและเจ้าผู้ครองแคว้นพระองค์ใหม่ซึ่งเป็นหลานของอุปราชเฟิงหลงขึ้นปกครอง อุปราชผู้กล้าก็ไม่ให้ผู้ใดพานพบพระพักตร์อีกเลย
มีเพียงอนุญาตให้แค่มาเข้าเฝ้าถวายพระพรหรือขอคำปรึกษาหารือราชการแผ่นดินได้เท่านั้น ถึงกระนั้นก็ต้องจัดที่ประทับให้อยู่ห่างพระองค์อย่างน้อยสิบจั้งจึงจะปลอดภัยกับชีวิตของทุกคน และจะสามารถเห็นอุปราชผู้สร้างเป่ยถังผ่านทางม่านสีขาวซึ่งนำมาขวางกั้นเอาไว้ ในขณะที่องค์อุปราชประทับอยู่บนตั่งเพื่อให้คำปรึกษา
ทว่าในระยะสามร้อยปีให้หลังฮ่องเต้เป่ยถังในรัชสมัยต่อๆ มา ไม่ได้ให้ความสำคัญกับอุปราชเฟิงหลงดั่งช่วงต้นรัชกาลแต่อย่างใดไม่เข้ามาขอคำปรึกษาและหารือดั่งที่ควรจะเป็น ด้วยเพราะได้ลืมเลือนการเสียสละและสิ่งที่อุปราชเฟิงหลงได้ทรงมอบให้ไว้ไปจากความทรงจำจนหมดสิ้น
ด้วยเหตุนี้ “อุปราชปีศาจ” จึงถูกลืมเลือนไปจากความทรงจำของผู้คน เป็นสาเหตุทำให้ตำหนักอี้หว่างกุง กลายเป็นตำหนักที่ถูกลืมในเวลาต่อมา ซึ่งอุปราชผู้กล้าก็ไม่ได้ใส่พระทัยแม้แต่น้อยในความคิดของลูกหลานชนรุ่นหลัง ตรงกันข้ามพระองค์กลับทรงคิดว่าเป็นการดีกับชีวิตของทุกคนที่ไม่ต้องมาจบลงโดยไม่รู้เรื่องราวแต่อย่างใด
ทว่าถึงแม้ว่าอุปราชเฟิงหลงซึ่งประทับอยู่ภายในตำหนักอี๋หว่างกุงจะถูกลืมเลือนไปจากความทรงจำไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังได้รับการดูแลเอาใจใส่มิให้ตำหนักต้องตกอยู่ในสภาพรกร้างและทรุดโทรมแม้แต่น้อย ทุกชีวิตภายในตำหนักลืมเลือนยังใช้ชีวิตเป็นปกติและมีความสุขและสงบมากกว่าในเขตราชสำนักของถังเฉี่ยนเสียด้วยซ้ำ
โดยที่ฮ่องเต้ในรัชสมัยต่อมาไม่เคยคิดจะพระราชทานทรัพย์ในท้องพระคลังหลวงนั้นเผื่อแผ่มาที่ตำหนักลืมเลือนแม้แต่อย่างใด ตรงกันข้ามอุปราชเฟิงหลงกลับทรงมีพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์อย่างมหาศาลที่หามีผู้ใดล่วงรู้
นั่นก็คือทองคำที่ซุกซ่อนอยู่ในเทือกเขาสูงเสียดฟ้าทั้งลูก มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ล่วงรู้ว่าเทือกเขาลับดังกล่าวเต็มไปด้วยทองคำและหินหยกหายาก ทรงนำมาแปรสภาพและนำมาเป็นค่าใช้จ่ายภายในตำหนักของพระองค์ให้กับทุกชีวิตอย่างไม่เดือดร้อนแต่อย่างใดตลอดหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา
ด้วยเหตุนี้พระตำหนักลืมเลือนจึงถูกตัดขาดจากเขตพระราชวังหลวงถังเฉี่ยนนับตั้งแต่นั้นมา บ้างก็คิดว่าด้วยกาลเวลายาวนานนับสามร้อยปีที่ล่วงเลยผ่านไปนั้น อุปราชเฟิงหลงผู้ก่อตั้งแผ่นดินเป่ยถังสิ้นพระชนม์ไปนานมากแล้ว บ้างก็คิดว่าหากยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่จริง
เพราะเป็นผลสืบเนื่องมาจากการฝึกวิชาลึกลับดังกล่าว อดีตอุปราชผู้กล้าก็จะต้องทรงชราภาพเสียจนยากยิ่งนักที่จะลุกเหินไปไหนต่อไหนได้อีกต่อไป และมองอะไรไม่เห็นอีกแล้วเปรียบซากคนตายแต่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นข้อสันนิษฐานกันไปเองตลอดสามร้อยกว่าปีที่ผ่านมา
แม้ว่าจะมีเสียงเล่าลือเสียงกล่าวอ้างไปต่างๆ นานา แต่ก็ไม่มีฮ่องเต้เป่ยถังพระองค์ใดหาญกล้าถอดถอนพระยศของพระองค์และบุกยึดเพื่อเข้าครอบครองตำหนักลืมเลือน
ด้วยเพราะฮ่องเต้เฟิงหู่ปฐมราชวงศ์ทรงมีพระราชโองการห้ามไม่ให้ผู้ใดทำการถอดถอนพระยศและหมิ่นพระเกียรติพระเชษฐาของพระองค์ เพราะนั้นหมายถึงหายนะร้ายจะมาเยือนแก่ทุกชีวิตหากอุปราชในตำนานเสด็จออกจากพระตำหนักลืมเลือนมาสู่ภายนอก
จวบจนกระทั่งกาลเวลาได้มาถึงรัชสมัยฮ่องเต้เฟิงอวิ๋น ซึ่งขึ้นปกครองแคว้นตั้งแต่พระชนมายุ 17 พระชันษาจวบจนในเวลานี้ทรงมีพระชนมายุ 42 พระชันษา พระองค์เป็นฮ่องเต้เป่ยถังที่เต็มไปด้วยปัญญาอันปราดเปรื่อง และทรงมีพระวรกายที่สูงใหญ่สง่างามและน่าเกรงขาม
อีกทั้งทรงมีวรยุทธ์ล้ำเลิศ จึงเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่อีกทั้งยังเป็นนักรักตัวยง ทรงมีเซวียนฮองเฮาเป็นแม่ของแผ่นดินและฟูเหรินทั้งสี่ รวมไปถึงมีพระสนมมากมายอีกนับร้อยกว่าพระองค์ ซึ่งมาจากการออกล่าดินแดนและการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีระหว่างแคว้น ทำให้แผ่นดินเป่ยถังมีดินแดนขยายออกกว้างไกลกว่าที่มีอยู่
ฮ่องเต้เฟิ่งอวิ๋น ทรงมีพระโอรสสามสิบห้าพระองค์และพระราชธิดาอีกสิบเก้าพระองค์ รวมจำนวนพระโอรสและพระราชธิดาทั้งสิ้นถึงห้าสิบสี่พระองค์
ด้วยเหตุนี้รัชสมัยของฮ่องเต้เฟิงอวิ๋นจึงมีแต่การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ทั้งวังหน้าและวังหลังจนภายในราชสำนักไร้ความสุขสงบอย่างยิ่งยวด ข้างฝ่ายขุนนางก็เอาแต่ดีใส่ตัวและประจบสอพลอเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจของตัวเอง
พระตำหนักลู่เหวิน
พระตำหนักลู่เหวินเป็นที่ประทับของฮองเฮาแห่งแคว้นเป่ยถัง ในยามนี้เซวียนฮองเฮาได้สิ้นพระชนม์ลงด้วยทรงประชวรมาเป็นเวลานานเพราะพระพลานามัยอ่อนแอมาโดยตลอด สามวันดีสี่วันไข้จนไม่อาจปกครองวังหลังได้ทำให้อำนาจของวังหลังตกมาอยู่กับจีฟูเหรินซึ่งถูกสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งฟูเหรินอันดับหนึ่งเป็นรองเพียงแค่เซวียนฮองเฮา
และจีฟูเหรินหมายมั่นตำแหน่งฮองเฮาว่าจะต้องตกมาอยู่ในกำมือของนางอย่างแน่นอน หากแต่เกิดเหตุพลิกผันอย่างไม่คาดฝันเมื่อเฟิงอวิ๋นฮ่องเต้ กลับทรงตัดสินพระทัยเลือกองค์หญิงเย่วซูเจินจากแคว้นเย่วเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับพระนาง เพื่อต้องการจะครอบครองแคว้นเย่วเอาไว้ในกำมือ อีกทั้งองค์หญิงเย่วซูเจินนี้มีพระสิริโฉมงดงามเป็นที่เลื่องลือจึงทำให้ฮ่องเต้เฟิงอวิ๋นนักรักผู้ยิ่งใหญ่หลงใหลนางยิ่งนัก
ครั้นนางพลาดจากตำแหน่งฮองเฮาไปอย่างไม่คาดฝัน ทำให้จีฟูเหรินเจ็บแค้นอยู่ในใจอย่างยิ่งยวด แต่จำต้องถอยกลับไปตั้งหลักเพื่อรอดูลาดเลาว่าฮองเฮาพระองค์ใหม่จะสามารถกำจัดได้โดยง่ายหรือไม่ เพราะเซวียนฮองเฮาที่สิ้นพระชนม์ลงไม่ใช่มาจากเพราะสุขภาพของพระนางเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่เป็นเพราะจีฟูเหรินเป็นผู้วางแผนทำให้พระนางสิ้นพระชนม์ลงไปเองด้วยเพราะล่วงรู้มาว่าอดีตฮองเฮานั้นทรงแพ้อะไรง่าย จึงพยายามหาสิ่งที่ระคายเคืองต่อสุขภาพของพระนางเร่งให้สิ้นพระชนม์ลงโดยเร็ว ซึ่งนั้นก็คือละอองเกสรดอกไม้ทุกชนิดมารวมตัวกันนั้นเอง
และนั่นจึงเป็นสาเหตุทำให้เซวียนฮองเฮาเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง เมื่อละอองเกสรดอกไม้รวมทุกชนิดถูกนำไปปล่อยใกล้ห้องพระบรรทม ทำทีดูคล้ายสายลมนำละอองเกสรดอกไม้นั้นพาดผ่านมาด้วยความบังเอิญ จึงเป็นเหตุทำให้เซวียนฮองเฮาสิ้นพระชนม์ลงในเวลาอันรวดเร็ว
ทว่าสำหรับฮองเฮาพระองค์ใหม่จากแคว้นเย่วนี้ดูท่าจะทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงดีมาก อีกทั้งยังมีพระชนมายุเพียง 20 พระชันษาเท่านั้น ทั้งงดงามและอ่อนเยาว์อย่างยิ่งยวด และแน่นอนว่าฮ่องเต้เฟิงอวิ๋นทั้งรักทั้งหวงเหนือสิ่งอื่นใด จีฟูเหรินจึงจำต้องเฝ้ารอคอยโอกาสที่จะกำจัดฮองเฮาพระองค์ใหม่อย่างเงียบเงียบ
“เพ่ยเพ่ย! เพ่ยเพ่ย!เพ่ยเพ่ย!!!”สุระเสียงของฮองเฮาสาวร้องเรียกหาชื่อของสตรีนางหนึ่งจนดังกึกก้องไปจนทั่วพระตำหนักลู่เหวิน
พระวรกายบอบบางของฮองเฮาสาวเสด็จออกมาจากห้องทรงพระสำราญด้วยท่าทีร้อนรน เป็นเหตุให้นางกำนัลคนสนิทที่ติดตามมาจากแคว้นเย่วด้วยนั้น รีบก้าวเข้ามาภายในห้องดังกล่าวอย่างรวดเร็ว
“พระนางรับสั่งต้องการสิ่งใดหรือเพคะ เอ็ดอึงเสียใหญ่เชียว”นางกำนัลคนสนิทซึ่งอยู่วัยกลางคนเอ่ยทูลถามกลับไปพลางรีบเดินตรงเข้าไปหา
“เพ่ยเพ่ยไปไหนเหตุใดนางจึงไม่มาหาข้า! นี่ข้าเดินไปที่ห้องของนางแล้วก็ไม่เห็นแม้แต่พระพี่เลี้ยงไปไหนกันหมด”ฮองเฮาสาวรับสั่งถามด้วยเป็นห่วงอย่างยิ่งยวด
“โธ่ฮองเฮาเพคะ องค์หญิงยังทรงพระเยาว์เพิ่งจะหกพระชันษาเท่านั้น ย่อมซุกซนเป็นเรื่องปกติ ดูท่าคงจะไปวิ่งเล่นในอุทยานหลวงกระมังเพคะ”นางกำนัลคนสนิทกราบทูลกลับไป
“ก็เพราะนางยังเยาว์นะสิข้าจึงต้องห่วง เสด็จแม่กำชับหนักหนาก่อนสิ้นพระชนม์ให้ข้าคอยดูแลนางให้ดีๆ อย่าให้คลาดสายตาจากนางเป็นอันขาด”เย่วฮองเฮารับสั่งถึงพระมารดาซึ่งเป็นถึงอดีตฮองเฮาแห่งแคว้นเย่วซึ่งสิ้นพระชนม์ไปแล้ว
อดีตฮองเฮาแคว้นเย่วซึ่งคือพระมารดาของฮองเฮาเย่วซูเจินและองค์หญิงน้อย ทรงมีพระนามว่าเริ่นหลิ่งเฟย เริ่นฮองเฮาภายหลังจากประสูติองค์หญิงเย่วเพ่ยเพ่ย พระธิดาองค์เล็กลำดับที่ห้าให้แก่ฮ่องเต้ต้าเย่วแล้วก็ทรงไม่ค่อยแข็งแรงมาโดยตลอด จวบจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ลงหลังจากมีพระประสูติกาลพระธิดาองค์เล็กมาแล้วสิบเดือน
ก่อนจะสิ้นพระชนม์ได้มอบให้พระธิดาองค์รองทำหน้าที่คอยดูแลพระธิดาองค์เล็กแทนพระนาง และยังกำชับให้คอยดูแลองค์หญิงเยว่เพ่ยเพ่ย ไม่ให้คลาดสายตาเป็นอันขาดพร้อมบอกความลับสุดยอดให้แก่พระธิดาองค์รองให้ล่วงรู้ ทำให้องค์หญิงเย่วซูเจินไม่คาดคิดว่าน้องสาวตัวน้อยของพระนางจะเกิดมาพร้อมลักษณะพิเศษคู่กายเช่นนี้
และนับตั้งแต่พระมารดาสิ้นพระชนม์พระนางจึงเป็นผู้เฝ้าดูแลองค์หญิงน้อยร่วมกับแม่นมและพระพี่เลี้ยงมาโดยตลอด จวบจนกระทั่งต้องอภิเษกสมรสกับฮ่องเต้เฟิงอวิ๋นมาที่แคว้นเป่ยถัง
เย่วฮองเฮาจึงได้กราบทูลร้องขอพระราชบิดานำพระขนิษฐาที่ยังเยาว์วัยไปประทับอยู่ที่แคว้นเป่ยถังด้วยพร้อมกัน จนกว่าองค์หญิงเย่วเพ่ยเพ่ยจะครบสิบพระชันษาก็ไม่ต้องห่วงแล้ว เพราะเมื่ออายุครบสิบพระชันษาทุกอย่างก็จะปลอดภัยไม่ต้องห่วงอีกต่อไป
“แยกย้ายออกตามหานางให้ทั่ว! รีบนำเพ่ยเพ่ยกลับมาหาข้าโดยเร็ว!!!”เย่วฮองเฮารับสั่งสุระเสียงดังก้อง
“พ่ะย่ะค่ะ! เพคะ!”เสียงของเหล่านางกำนัลและขันทีรวมไปถึงทหารองครักษ์ต่างพากันขานรับก่อนจะแยกย้ายออกตามหากันจ้าละหวั่น
สระหยกมณี
ร่างอ้วนป้อมของเด็กหญิงตัวน้อยวัยเพียงหกปีเท่านั้น กำลังเดินลัดเลาะมาจากอุทยานหลวงจนมาถึงสระหยกมณีซึ่งน้ำในสระใสดั่งกระจกจนเห็นตัวปลาแหวกว่ายอยู่ภายใต้สายธารา
และเด็กหญิงตัวน้อยก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่นางคือองค์หญิงเย่วเพ่ยเพ่ยจากแคว้นเย่ว พระราชธิดาองค์เล็กซึ่งประสูติจากเริ่นฮองเฮา อดีตฮองเฮาแคว้นเย่วนั้นเอง
พระธิดาตัวน้อยเดินดูตัวปลาแหวกว่ายไปตามสายน้ำด้วยความไร้เดียงสา แต่น่าแปลกก็คือทันทีที่องค์หญิงน้อยก้าวเข้าสู่เขตสระหยกมณีซึ่งเป็นอาณาเขตของพระตำหนักลืมเลือน ฝูงปลามากมายต่างแหวกว่ายตรงไปหาโผล่ขึ้นมาให้เห็นตัวราวกับดีใจที่เห็นนางอย่างยิ่งยวด จนพระธิดาตัวน้อยเห็นฝูงปลาโผล่ขึ้นมาและเดินมาตามทางที่ทอดยาวข้ามสะพานสระหยกมณี
จวบจนกระทั่งองค์หญิงน้อยมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูพระตำหนักลืมเลือน ดวงตากลมโตเบิกกว้างพลางเอื้อมมืออ้วนกลมไขว่คว้าผีเสื้อหลากสีมากมาย ที่จู่ๆ ก็บินมารวมตัวกันอยู่ตรงหน้าองค์หญิงน้อย
ก่อนจะพากันบินนำหน้าลอดเข้าไปใต้รั้วที่มีรอยแตกของกำแพงพระตำหนัก จึงทำให้องค์หญิงน้อยมุดรั้วลอดเข้าไปตามรอยแตกเข้าไปภายในเขตของตำหนักลืมเลือนเพื่อติดตามฝูงผีเสื้อเหล่านั้น
องค์หญิงน้อยกระโดดไขว่คว้าเหล่าผีเสื้อราวกับว่าพวกมันกำลังชวนนางเล่นด้วย โดยไม่ล่วงรู้เลยว่าได้เดินพลัดหลงเข้ามาภายในพระตำหนักลืมเลือนจนลึกเข้าไปถึงเขตพระตำหนักชั้นใน อันเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของอุปราชเฟิงหลงอยู่ในเวลานี้
ทั่วทั้งบริเวณเงียบงันไร้สิ้นเสียงผู้คน ด้วยเหล่าข้าราชบริพารต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ก่อนที่องค์อุปราชจะตื่นพระบรรทมและต้องรีบออกจากบริเวณที่เป็นเขตหวงห้ามเพื่อมิให้ชีวิตต้องสลายกลายเป็นเถ้าธุลีเมื่ออุปราชเฟิงหลงปรากฏพระวรกาย
องค์หญิงน้อยวิ่งจับผีเสื้อมาตามทางเดินที่ทอดยาว จวบจนกระทั่งมาถึงห้องกว้างที่เต็มไปด้วยสวนดอกไม้และสระน้ำที่เต็มไปด้วยตัวปลา ตรงกลางห้องมีโต๊ะหนังสือและตั่งขนาดใหญ่วางอยู่ พรั่งพร้อมไปด้วยกาน้ำและชุดถ้วยชาสำหรับดื่มกำลังส่งกลิ่นหอมพวยพุ่งออกมา
และบริเวณกลางห้องดังกล่าวปรากฏบุรุษรูปร่างสูงใหญ่นั่งอยู่บนตั่งเห็นเพียงด้านหลังกำลังนั่งจิบชาอย่างเพลิดเพลิน กำลังจ้องสิ่งที่อยู่ภายในมือนั่นก็คือตำราไม้ไผ่ ดวงตาเฝ้าจับจ้องอยู่แต่ตัวอักษรโบราณตรงหน้า
เส้นผมยาวสยายหากแต่ไม่ใช่สีดำแต่กลับเป็นสีเงินยวงยาวจนถึงบั้นเอว เกล้าขึ้นไว้ครึ่งศีรษะพับเป็นมวยเสียบปิ่นหยกขาวเนื้อดีเพียงหนึ่งอัน เส้นผมสีเงินส่องแสงประกายเงางามสาดแสงกระทบกับแสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้า
ทันทีที่องค์หญิงน้อยเห็นบุรุษคนดังกล่าวกำลังนั่งจิบชาอย่างละเมียดละไมอยู่ในเวลานั้น ร่างน้อยๆ ที่อ้วนกลมสมบูรณ์สวมอาภรณ์องค์หญิงชั้นเอกเดินตรงเข้าไปหาบุรุษผู้นั้นอย่างรวดเร็วด้วยเพราะนางกระหายน้ำอย่างยิ่งยวดเสียเหลือเกิน
เสียงฝีเท้าของเด็กหญิงตัวน้อยเบาและเงียบกริบจนทำให้บุรุษที่กำลังนั่งหันหลังอยู่ในขณะนั้นไม่ได้ใส่ใจอะไร สาเหตุเพราะภายในบริเวณดังกล่าวจะเป็นอุทยานดอกไม้ ดังนั้นบรรดากระรอกมักจะวิ่งผ่านไปมาอยู่เสมอ และทันทีที่องค์หญิงตัวน้อยเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังของบุรุษคนดังกล่าว
ตุบ! ตุบ! ตุบ! มือน้อยอ้วนกลมตบลงบนไหล่กว้างภายใต้อาภรณ์ขาวสีงาช้างเหลื่อมระยับพร้อมเอ่ยขึ้น
“ท่านปู่! ท่านปู่! ข้าขอดื่มชาสักถ้วยจะได้หรือไม่”เสียงขององค์หญิงเย่วเพ่ยเพ่ยเอ่ยขึ้น
ตึก! มือใหญ่ที่กำลังยกถ้วยชาขึ้นจิบอยู่ในเวลานั้นหยุดชะงักไปโดยพลัน ทันทีที่ถูกเด็กหญิงตัวน้อยใช้มือของนางตบลงบนบ่ากว้างราวเขาคือเพื่อนสนิทของนาง
ควับ!!! ใบหน้าหล่อเหลาหันกลับมาตามเสียงเรียกของเด็กน้อยโดยพลันด้วยความตกใจอย่างยิ่งยวดเมื่อได้เห็นเด็กหญิงตัวน้อยกำลังยืนอยู่ตรงหน้าในระยะใกล้ไม่ถึงหนึ่งฉื่อเสียด้วยซ้ำไป และที่สำคัญร่างขององค์หญิงน้อยหาได้สลายกลายเป็นเถ้าธุลีขาวดั่งที่ควรจะเป็น
ดวงเนตรสีนิลกาฬคมกล้าจับจ้องใบหน้ากลมของเด็กหญิงตัวน้อย ที่กำลังส่งยิ้มให้จนแก้มนวลเนียนอมชมพูทั้งสองข้างเห็นลักยิ้มได้อย่างชัดเจนอยู่เป็นเวลานานด้วยความตกใจไม่รู้วาย
องค์หญิงตัวน้อยไม่ล่วงรู้เลยว่าบัดนี้นางกำลังเผชิญหน้ากับอุปราชเฟิงหลงในตำนานของแคว้นเป่ยถังด้วยความบังเอิญหรือสวรรค์เบื้องบนลิขิตให้ทั้งสองได้มาพานพบกันก็มิอาจรู้ได้
พระองค์คืออุปราชปีศาจที่ผู้ใดเพียงแค่เข้าใกล้ร่างจะต้องสลายกลายเป็นเถ้าธุลีขาวไปชั่วพริบตา ทว่าองค์หญิงน้อยกลับไม่เป็นเช่นนั้น
เวลาผ่านไปไม่รู้เนินนานเพียงใดที่อุปราชปีศาจจับจ้องใบหน้าขององค์หญิงน้อยอยู่เช่นนั้น ร่างของนางยังคงอยู่รอดปลอดภัยไม่สลายไปดั่งที่ควรจะเป็น พร้อมหันพระวรกายกลับมาเผชิญหน้ากับองค์หญิงน้อยที่พลัดหลงเข้ามาในตำหนักลืมเลือนของพระองค์ ครั้นทอดพระเนตรอาภรณ์ที่สวมใส่อยู่บนร่างขององค์หญิงน้อยก็ทรงล่วงรู้ได้ทันทีว่าเป็นองค์หญิงชั้นเอกของพระราชธิดาฮ่องเต้ซึ่งประสูติจากฮองเฮา
“เด็กน้อยผู้นี้เป็นเหลนรุ่นปัจจุบันในเวลานี้ของข้าเองหรือนี่”อุปราชปีศาจรำพึงอยู่ในพระทัยพร้อมมีรับสั่งถาม
“เจ้ามีนามว่าอะไรองค์หญิงน้อย”รับสั่งถามเสียงนุ่ม
องค์หญิงน้อยฉีกยิ้มกว้างส่งกลับไปให้จนเห็นไรฟันขาว แก้มยุ้ยน่าเอ็นดูเป็นยิ่งนัก
“ข้ามีนามว่าเพ่ยเพ่ย...เย่วเพ่ยเพ่ยคือนามเต็มของข้าท่านปู่!”องค์หญิงน้อยตอบกลับไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ
อุปราชหนุ่มพยักพระพักตร์ขึ้นลงเมื่อองค์หญิงน้อยตอบกลับมาก่อนจะรับสั่งถามขึ้นอีกครั้ง
“ปีนี้เจ้ากี่ขวบแล้วองค์หญิง”รับสั่งถามกลับไปด้วยความอยากรู้
“ปีนี้ข้าหกขวบแล้วท่านปู่”องค์หญิงน้อยตอบกลับไป
อุปราชปีศาจชะงักงันไปทันทีครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น เมื่อล่วงรู้ว่าองค์หญิงน้อยตรงพระพักตร์มีอายุปีนี้เท่ากับหกพระชันษา ซึ่งเมื่อหกปีก่อนมีปรากฏการณ์สำคัญบางอย่างเกิดขึ้นและมีผลต่อพระองค์อย่างยิ่งยวด หากแต่ยังไม่ทันที่จะมีรับสั่งถามเสียงขององค์หญิงน้อยก็ดังแทรกขึ้นมาทันใด
“พี่หญิงของเพ่ยเพ่ยเล่าให้ฟังว่า ข้าเกิดในวันที่ดวงดาวไท่อี๋ปรากกฎ”สิ้นเสียงขององค์หญิงน้อย
พระเนตรคมกล้าและเต็มไปด้วยความดุดันของอุปราชปีศาจแปรเปลี่ยนไปทันใดเมื่อได้ยินองค์หญิงน้อยกล่าวออกมาเช่นนั้น
“ผู้มาจากดวงดาวหรือนี่”อุปราชปีศาจรับสั่งพึมพำ
รอยยกยิ้มค่อยๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของอุปราชผู้กล้าที่ยังหล่อเหลาและรูปงามดั่งเช่นในครั้งอดีตกาลไม่มีเปลี่ยน พระพักตร์ในขณะที่มีพระชันษาปีที่ 23 ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
พระวรกายสูงใหญ่กำยำยังเต็มไปด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของวัยหนุ่มเมื่อสามร้อยกว่าปีก่อนอย่างไรก็อย่างนั้น มีเพียงเส้นผมสีดำสนิทเท่านั้นที่แปรเปลี่ยนกลายเป็นสีเงินยวงไม่เหมือนเดิมดั่งเช่นกาลก่อน พระหัตถ์เรียวยาวยื่นออกไปข้างหน้าเพื่อจับจูงองค์หญิงน้อยให้เข้ามาหาพระองค์
“มาหาข้าเพ่ยเพ่ย...เด็กดี!!!”รับสั่งพร้อมกวักพระหัตถ์ขึ้นลงให้นางก้าวเข้ามา
องค์หญิงน้อยด้วยความไร้เดียงสายื่นมืออ้วนกลมของนางไปให้อุปราชเฟิงหลงอย่างว่าง่าย ก่อนจะถูกดึงร่างน้อยๆ เข้ามาหาพระองค์จนหยุดยืนอยู่ตรงพระพักตร์ รอยแย้มเยือนด้วยความดีใจปรากฏขึ้นบนพระพักตร์หล่อเหลานั้นมิคลาดครา
“เพ่ยเพ่ยของข้า!”รับสั่งสุระเสียงเต็มไปด้วยความยินดีอย่างเห็นได้ชัด
พระเนตรจับจ้องอยู่แต่ใบหน้าอ้วนกลมขององค์หญิงน้อยอยู่เช่นนั้นนิ่งนาน ประหนึ่งได้พานพบสิ่งที่เฝ้ารอคอยมาตลอดสามร้อยกว่าปีที่ผ่านมา
ด้วยวิชาอมตะนั้นจะทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใกล้พระองค์ได้เลยเพราะร่างต้องสลายกลายเป็นเถ้าธุลีก่อนจะถึงตัวเสมอ แต่มีเพียงผู้ที่เกิดในวันที่ดาวไทอี๋ปรากฏ ซึ่งถือว่าเป็นจักรพรรดิแห่งดวงดาวที่สามารถเข้าใกล้และสัมผัสพระองค์ได้
และผู้ที่ถือกำเนิดในวันดังกล่าว คือผู้ที่ถูกสวรรค์ลิขิตให้มาพานพบอุปราชปีศาจ ซึ่งไม่เคยมีผู้ใดสามารถเข้าใกล้ได้เลยแม้แต่เพียงผู้เดียว