ตอนที่8.คาดเดาได้แม่นยำจนไม่น่าไว้ใจ

1595 Words
เขาไม่เคยรู้สึกผิดที่เรียกหาปีศาจ หากย้อนเวลาได้ เขายังคงทำเช่นเดิม พอยกแขนลงก็ไปแตะโดนกระดาษกองหนึ่ง เขาเพียงปรายตามองแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ที่ไม่เข้าใจก็คือ ไฉนฮองไทเฮาถึงได้นำรูปหญิงงามมาให้เขาเลือกเป็นพระชายา   “เจ้าก็เลือกเอาสักคนเถิด”  เขานึกถึงเสียงรับสั่งของฮองไทเฮา ไม่คิดว่ามีสตรีอยากชะตาขาดมาให้เขาเลือกเป็นพระชายานับสิบคน คงเพราะตำแหน่งพระชายาของชินอ๋องแห่งตุนหวงเย้ายวนจนยอมเอาชีวิตมาเสี่ยง แม้ไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากกระดานที่วางหมากอยู่นั้น แต่ก็เข้าใจความคิดของผู้เป็นนายที่ซิ่นเจี่ยงติดตามมานาน เขาเป็นเด็กกำพร้าเดิมทีใช้ชีวิตเร่ร่อน เพราะรูปร่างผอมบางตามประสาเด็กกินไม่อิ่ม ไม่มีเรี่ยวแรงมากมายไปต่อยตีกับผู้อื่น อาศัยที่ตนเองพอมีสติปัญญากับความเจ้าเล่ห์เพทุบาย เอาตัวรอดมาจนได้ อาจารย์วั่นมาพบเข้า ด้วยความเมตตาจึงรับเขาเป็นศิษย์ ให้อยู่ในสำนักศึกษาทำงานทั่วไปพร้อมกับร่ำเรียนไปด้วย และยังตั้งชื่อให้เขาอีก ซิ่นเจี่ยงจึงได้มีชีวิตใหม่ แม้ไม่ได้ร่อนเร่นอนข้างถนน ได้อยู่ในสำนักศึกษา แต่เพราะเป็นเด็กกำพร้าไม่รู้ชาติกำเนิด จึงถูกผู้อื่นดูถูกและกลั่นแกล้ง เขามุมานะเพียรพยายามในการเล่าเรียนจนเก่งกาจสอบขุนนางฝ่ายบุ๋นได้สำเร็จ ในครานั้น องค์ชายเฟยเทียนยังครองตำแหน่งรัชทายาท มีความสามารถมากล้น สมเป็นโอรสขององค์ฮ่องเต้ วรยุทธ์สูงส่ง แม้ออกรบหลายครั้ง แต่เป็นการศึกเล็กๆ มีเพียงครั้งนั้น...ศึกที่ถูกกล่าวขานว่าเป็น ‘ทรายย้อมโลหิต’ องค์ชายเฟยเทียนนำทัพออกต้านทหารมองโกล  เป็นการศึกครั้งใหญ่ กลับเลือกส่งคนที่ไม่เป็นงานมาร่วมรบกับองค์ชาย รวมทั้งเขาด้วย แม้แปลกใจที่ตนเองได้รับเลือกให้เป็นกุนซือออกรบกับองค์ชายเฟยเทียน ทว่าด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างชื่อหลังได้รับชัยชนะ เขากลับพบความจริงอันแสนเศร้าที่ว่า การศึกครั้งนั้นเป็นการตั้งใจกำจัดองค์ชายเฟยเทียนอย่างสง่างาม จะเป็นชะตาลิขิตหรือไร ซิ่นเจี่ยงไม่ได้สนใจแล้ว เชื่อว่าไม่ใช่ทุกผู้คนที่สามารถเรียกปีศาจมังกรเพลิงออกมาได้ องค์ชายเฟยเทียนได้บอกเล่าเงื่อนไขแลกเปลี่ยนครั้งนั้นแล้ว แต่เขาเห็นว่าปีศาจมังกรเพลิงนั้นเป็นทาสในอาณัติขององค์ชายมากกว่าที่องค์ชายจะเป็นทาสของปีศาจมังกรเพลิง นั่นคือเหตุผลที่เขาไม่เคยหวาดกลัวปีศาจมังกรเพลิง เพราะอย่างไรองค์ชายเฟยเทียนเป็นฝ่ายควบคุมมันได้ตลอดมา ด้วยความเป็นองครักษ์ ประสาทการรับรู้รวดเร็วกว่าคนทั่วไป เจิ้งหู่และเจิ้งไฉตวัดสายตามองไปยังร่างของหญิงสาวที่ประคองถาดอาหารเข้ามา นางไม่ได้สวมชุดแบบนางกำนัล แต่ก็ไม่เฉิดฉันเหมือนองค์หญิงทั่วไป เป็นเพียงการแต่งกายอย่างเรียบง่าย และมีผ้าโปร่งปิดครึ่งล่างของใบหน้า แม้ระแวดระวังจนเป็นนิสัย แต่เมื่อจมูกได้กลิ่นหอมหวานก็ลดความระแวงลงและจ้องมองสิ่งที่อยู่ในถาด  หากไม่มีผ้าโปร่งปิดครึ่งหน้าอยู่นั้น ว่านหนิงเหมยคงไม่อาจ สะกดกลั้นรอยยิ้มของตนเองได้ เพียงนางเปิดผ้าคลุมถาดอาหารออก เผยขนมหน้าตาน่ากิน ซ้ำกลิ่นยังหอมหวานชวนลิ้มลอง นางสังเกตเห็นลำคอขององครักษ์กำลังกลืนน้ำลาย “นี่คือตงเหยิน (บัวลอย) ทำจากแป้งข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อนกลม ใส่ไส้หวาน เช่น งา ถั่ว หรือถั่วหวาน และนี่ถั่วตัด หวังว่าองครักษ์ทั้งสองจะชอบ” หญิงสาวเพียงลอบมองทางองค์ชายเฟยเทียนที่เอกเขนกบนตั่งนุ่ม นางไม่กล้ามองเต็มตา จึงเบี่ยงสายตาไปทางกุนซือหนุ่มที่เงยหน้าจากกระดานหมากล้อมจ้องมองนางพอดี “นี่ชากุหลาบช่วยบำรุงหัวใจและขับสารพิษในร่างกาย สลายความอ่อนล้าปรับความสมดุล หวังว่าท่านกุนซือจะชอบเช่นกัน” “ขอบคุณแม่นาง” ว่านหนิงเหมยเพียงผงกศีรษะเล็กน้อยแล้วหมุนตัวเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกเสียงทรงอำนาจเรียกไว้ก่อน “แล้วของข้าล่ะ” ว่านหนิงเหมยหันกลับไป องค์ชายเฟยเทียนทรงลุกขึ้นนั่ง  ดวงตาที่มองมาทางนางยากจะคาดเดาอารมณ์ได้ “ท่านอ๋องต้องการสิ่งใด หม่อมฉันจะได้ให้นางกำนัลจัดเตรียมมาให้เพคะ” องค์ชายเฟยเทียนยื่นจอกสุราให้เจิ้งหู่รินสุรา โน้มตัวไปด้านหน้า จ้องมองใบหน้าที่ถูกปกปิดด้วยความรู้สึกรำคาญผ้าโปร่งนั่น “เจ้ารู้ใจคนสนิททั้งสามของข้า แต่ไม่รู้รึว่าข้าต้องการสิ่งใด”  “ขออภัย หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ” “แล้วไยเจ้ารู้ว่าคนสนิทของเราชอบอะไร” ‘เหล่าพฤกษาบอกเพคะ’ นั่นก็พูดออกไปไม่ได้อีก นางจึงได้แต่ยืดตัวตรงแล้วพูดไปเรื่องอื่น “นางกำนัลล้วนเป็นกังวล นำสุราอาหารมา ดูท่าไม่ถูกปากคนสนิทของท่านอ๋อง หม่อมฉันจึงคาดเดาไปว่าน่าจะชอบสิ่งเหล่านี้” “คาดเดาได้แม่นยำจนไม่น่าไว้ใจ” องค์ชายเฟยเทียนเอ่ยเสียงเรียบ ลุกขึ้นเดินมาทางนาง หญิงสาวไม่ทันเตรียมใจ ได้แต่ยืนนิ่งงัน ราวกับถูกดวงตาคู่นั้นสะกดไม่ให้ขยับเท้าถอยหนี ทั้งที่ในใจ หัวใจของนางกระดอนกระเด็นหนีไปหลบมุมห้องแล้ว นางไม่ได้หวาดกลัวเช่นผู้อื่น นี่เป็นครั้งแรก ไม่สิ ครั้งที่สองที่ได้ใกล้ชิดคนที่นางแอบรักต่างหาก นางหลงรักชายผู้นี้ตั้งแต่อายุสิบสอง หกปีผ่านไป เขาก็ยังเป็นคนที่นางแอบรักแต่ไม่อาจเอื้อมมือคว้าได้ ทว่ากลับเป็นมือใหญ่ยื่นมากระตุกผ้าโปร่งที่ปิดครึ่งหน้าของนางออก ดวงตาคมหรี่มองก่อนจะใช้ปลายนิ้วเชยคางนางขึ้น ออกแรงนิดเดียวก็บิดใบหน้าของนางให้เห็นซีกหน้าด้านขวาได้ชัดเจน ใช้นิ้วกร้านไล้รอยแผลเป็นนูนราวกับสำรวจว่าเป็นของจริงหรือไม่ ว่านหนิงเหมยได้สติรีบถอยหลังไปครึ่งก้าวก็พ้นมือที่ยกค้างอยู่  สำหรับบุรุษ ผู้ใช้ชีวิตผ่านสมรภูมิรบมาโชกโชนเช่นพวกเขาแล้ว แผลเป็นเพียงแค่นี้ถือเป็นแผลเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีความคิดที่ต้องปกปิด  แต่เมื่ออยู่บนใบหน้าของหญิงสาว มันย่อมเป็นบาดแผลน่าอับอายที่ไม่ต้องการให้ผู้ใดพบเห็น “หากไม่มีอะไรแล้ว หม่อมฉันขอตัวเพคะ” ว่านหนิงเหมยย่อตัวคารวะแล้วหมุนตัวเดินเร็วๆ ออกไป เพียงเท้าพ้นธรณีประตู นางก็ยกมือขึ้นทาบอกกดหัวใจที่เต้นแรงของตัวเอง ‘องค์ชาย จำหม่อมฉันไม่ได้จริงๆ’ นางเก็บงำคำถามที่ชวนให้น้อยใจนั้นลงท้อง เขาจำนางได้สิเป็นเรื่องประหลาด หกปีที่ผ่านมาเจอกันเพียงครู่เดียว นางก็ไม่ใช่ท่านหญิงจากตระกูลใหญ่โต ไม่มีรายชื่อที่ถูกนำเสนอเป็นพระชายาของท่านอ๋องด้วยซ้ำไป นางจะเอาสิทธิ์ใดไปน้อยใจได้เล่า หญิงสาวถอนหายใจหนักหน่วง นางทำอะไรลงไป หากฮองไทเฮาทราบว่านางมาเสนอหน้าแบบนี้จะไม่เท่ากับนางกำลัง ‘เสนอตัว’ ให้ตนเองเป็นตัวเลือกในตำแหน่งพระชายาของท่านอ๋องหรอกหรือ  เห็นทีต้องไปดูว่าเหล่าขันทีและบ่าวรับใช้จัดการลงต้นไม้ทะเลทรายเรียบร้อยหรือยัง นางจะได้รีบกลับบ้านเสียที.  ..... แม้จะไม่ใช่ ‘คนโปรด’ แต่ฮองไทเฮาก็ส่งนางกำนัลมาคอยดูแลว่านหนิงเหมยเป็นอย่างดี หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมเข้านอนแล้ว พวกนางกำนัลยังช่วยแปรงผมยาวให้ด้วย แม้นางปฏิเสธหลายครั้งเพราะไม่คุ้นชินกับการมีผู้อื่นมาปรนนิบัติ จนเมื่อนางกำนัลออกไปแล้วหญิงสาวถึงรู้สึกหายใจโล่งขึ้น หญิงสาวเดินไปที่หน้าต่าง เวลานี้ยามซวี เหม่อมองไปด้านนอกด้วยหัวใจที่ยังว้าวุ่นและสับสน  ‘โธ่ น่าสงสาร คนผู้นั้นจำนางไม่ได้’  ‘จะจำได้อย่างไร ตอนนั้นนางยังเด็ก’ “พวกเจ้าหยุดล้อข้าได้แล้ว” ว่านหนิงเหมยแลบลิ้นใส่ ใบไม้สั่นไหวเป็นเสียงหัวเราะคิกคัก “จะโกรธหรือน้อยใจก็ไม่ได้ ตอนนั้นข้าอายุแค่สิบสองเอง” ‘อายุแค่นั้นก็ริรักผู้ชาย’   ‘แล้วอย่างไรเล่า คนผู้นั้นหล่อเหลาองอาจถึงเพียงนั้น’ “พอเถิด ข้าอายเหลือเกิน” นางยกมือขึ้นปิดใบหน้า นางนี่แก่แดดแก่ลมเสียจริง ตัวแค่นั้นก็ริมีความรักแล้ว   ‘ตอนนั้นอายุสิบสอง ตอนนี้อายุสิบแปด เจ้าเป็นสาวสะพรั่งแล้ว ได้พบกันอีกครั้ง ไยไม่ไขว่คว้าโอกาสนี้ไว้’  “เจ้าพูดถึงเรื่องอะไรกัน” หญิงสาวถามกลับอย่างงุนงง   ‘ตอนนั้นเจ้ายังเด็ก ตอนนี้เป็นสาวแล้ว ไยไม่ใช้เสน่ห์ยั่วยวนเข้าหน่อยเล่า’  ‘จริงด้วย องค์ชาย อุ๊ย! ท่านอ๋องก็ไม่เห็นมีท่าทีรังเกียจแผลเป็นบนหน้าเจ้าเสียหน่อย’    ‘กล้ารักแล้ว ไยมิกล้าใกล้ชิด’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD