เหล่าพฤกษาส่งเสียงกระซิบกระซาบปนหัวเราะคิกคัก ว่านหนิงเหมยกลับใบหน้าแดงก่ำราวคนป่วยไข้ อย่างนางนะรึ จะเอาเสน่ห์ที่ไหนไปยั่วยวนใครได้
‘เหมยเอ๋อร์ที่รัก เจ้ามักคิดว่าตัวเองต้อยต่ำไร้ค่า แต่เจ้าลืมไปหรือไร มนุษย์ท้ายที่สุดแล้วก็กลับสู่พื้นดิน มิว่าสูงหรือต่ำเพียงใด จุดจบก็คือสถานที่เดียวกัน’
‘ถูกต้อง รักแล้วเก็บไว้ในใจ ใครเลยจะรู้ มิสู้เอ่ยไปไม่ดีกว่ารึ’
‘ประเดี๋ยวคนผู้นั้น จะเลือกพระชายาแล้ว ทำอะไรก็รีบทำเถิด’
“พวกเจ้าพูดจริงรึ” เรื่องเหล่านี้หากไม่ใช่กับเหล่าพฤกษาแล้ว นางไม่เคยกล้าพูดกับผู้ใด หญิงสาวยกมือขึ้นพันปลายผมของตนเล่น พลางครุ่นคิดเรื่องที่สนทนาไป
‘แย่แล้ว! นางกำนัลเป็นลม องครักษ์หามออกมาแล้ว’
“อะไรนะ ใครเป็นอะไร” ว่านหนิงเหมยสะดุ้ง เห็นใบไม้สั่นไหวรุนแรงราวกับมีกระแสลมผ่าน
‘นางกำนัลที่เข้าไปปรนนิบัติท่านอ๋องเป็นลมไปอีกแล้วนะสิ’
‘องครักษ์ต้องหามออกมาเชียว’
‘แล้วผู้ใดจะดูแลปรนนิบัติท่านอ๋องล่ะ’
“คงกลัวท่านอ๋องจนเป็นลมเป็นแล้งไปแน่เลย” ว่านหนิงเหมยกัดริมฝีปากครุ่นคิดก่อนถลาออกจากห้องไป แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นหญิงรับใช้สองนางยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนของนาง
“เอ่อ...ข้า...ข้าเพิ่งนึกได้ว่าลืมดูกล้วยไม้ของฮองไทเฮา”
“ให้พวกเราไปเป็นเพื่อนหรือไม่แม่นางว่าน”
“ไม่เป็นไร ข้าไปคนเดียวสะดวกกว่า”
ว่านหนิงเหมยยิ้มน้อยๆ แล้วรีบก้าวยาวๆ จนพ้นสายตาผู้อื่นแล้ว มือเล็กยกชายกระโปรงตัวยาวขึ้นออกวิ่งไปตำหนักที่องค์ชายเฟยเทียนพำนัก เมื่อตอนบ่ายนางกำนัลและขันทีกลัวจนแข้งขาอ่อน ได้แต่วางถาดอาหารไกลๆ ให้องครักษ์ทั้งสองมารับไป ทำไมถึงมีแต่คนกลัวชายผู้นั้นนะ มีปีศาจมังกรเพลิงสิงสถิตอยู่แล้วเป็นอย่างไรเล่า คนผู้นั้นเสียสละปกป้องแผ่นดินมังกร จนตนเองกลายเป็นปีศาจไปครึ่งหนึ่ง ไม่ควรแสดงความหวาดกลัวออกมาเช่นนี้
หญิงสาววิ่งไปถึงหน้าห้อง เห็นองครักษ์ทั้งสองกำลังหิ้วปีกนางกำนัลผู้หนึ่งออกมาพอดี เหล่าพฤกษานี่ช่างส่งข่าวให้นางได้รวดเร็วเหลือเกิน นางยืนหอบน้อยๆ ในขณะที่องครักษ์หน้าเข้มจ้องมองนาง
“ข้า.. เอ่อ...ข้ามาดูแลปรนนิบัติท่านอ๋อง” นางชี้ไปด้านใน
เจิ้งหู่และเจิ้งไฉจำหญิงสาวผู้นี้ได้ นางยกขนมของว่างและน้ำชามาดูแลพวกตน เขาจึงเข้าใจไปว่านางคงเป็นนางกำนัลหรือคนสนิทของฮองไทเฮา มิเช่นนั้นคงไม่กล้าเข้ามาใกล้องค์ชายเฟยเทียนเป็นแน่ ว่านหนิงเหมยเห็นทั้งสองพยักหน้าให้แล้ว นางรีบผลักประตูเข้าไปด้านในทันที
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันมาปรนนิบัติเพคะ” นางรีบพูดออกไปพร้อมกับก้าวเร็วๆ เข้าไปด้านใน แล้วก็เป็นตัวนางเองที่สะดุ้งเฮือก กว่าจะตั้งสติได้ก็รีบหันหลังให้กับบุรุษที่เปลือยท่อนบนอยู่
“ทำไมพวกเจ้าไม่บอกข้าว่าท่านอ๋องกำลังจะอาบน้ำ!” ว่านหนิงเหมยกัดฟันพูด เห็นเพียงต้นไผ่ทองที่ตั้งประดับมุมห้องขยับใบเล็กน้อย
องค์ชายเฟยเทียนที่เดิมทีหันหลังอยู่ แต่พอได้ยินเสียงหญิงสาวเข้ามาใหม่จึงหันกลับมามอง กลายเป็นอีกฝ่ายหันหลังให้เสียนี่ แต่กระนั้นจำได้ว่าเป็นหญิงสาวที่เจอเมื่อช่วงบ่าย
“ปากว่าปรนนิบัติ ไยหันหลังให้ข้าเช่นนี้”
“เอ่อ.. เพคะ”
นางรวบรวมความกล้าอยู่อึดใจ ได้ยินเสียงน้ำก็เดาว่าเจ้าของร่างสูงได้ก้าวเท้าลงในอ่างอาบน้ำแล้ว นางจึงหันกลับมาแล้วเดินเข้าไปใกล้ เห็นเพียงด้านหลังของคนผู้นั้นที่เอนตัวพิงขอบอ่าง วางแขนสองข้างไปกับขอบอ่าง รู้ว่าผู้คนหวาดกลัวปีศาจมังกรเพลิงบนท่อนแขนซ้ายนี้ก็ยังชอบอวดให้ผู้อื่นเห็น นางกำนัลพากันเป็นลมล้มพับเพราะเห็นรูปปีศาจมังกรเพลิงนี่กระมัง คงรวมไปถึงปลายเส้นผมที่เป็นสีแดงดุจจุ่มโลหิตของเขาด้วย
ว่านหนิงเหมยม้วนแขนเสื้อของตนเอง หยิบผ้าชุบน้ำเช็ดเนื้อตัวให้องค์ชาย จะว่าไปนางก็คุ้นเคยกับการดูแลปรนนิบัติผู้อื่นอาบน้ำ แต่เป็นคุณชายน้อยของตระกูลว่านและจ้าวต้าเด็กชายที่นางซื้อตัวมา ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสกล้ามเนื้อแน่นหนั่น ดวงตาสุกใสสังเกตเห็นรอยแผลเป็นจางที่เกิดขึ้นมานานแล้ว หัวใจนางเหมือนถูกบีบรัด ใครกันบอกว่าเขามีปีศาจปกป้องแต่กลับได้รับบาดแผลเช่นนี้
องค์ชายเฟยเทียนแปลกประหลาดใจนัก สตรีผู้นี้ไม่ได้กลัวเขาเช่นนางกำนัลคนอื่น แล้วมือเล็กนั้นก็บีบไหล่ของเขา แม้แรงไม่มากแต่กลับช่วยให้ไหล่ที่ตึงเครียดผ่อนคลายลงได้มาก
“การนอนไม่หลับนั้นเกิดจากระบบในร่างกายไม่สมดุล เปรียบเสมือนตาชั่งน้ำหนักสองด้านเอนไปทางด้านใดด้านหนึ่ง ท่านอ๋องโปรดลดการดื่มสุรารสแรงก่อนนอน เปลี่ยนเป็นชาสมุนไพรจะช่วยให้หลับได้ง่ายขึ้นเพคะ”
เห็นอีกฝ่ายเงียบไป นางพูดไปพลางใช้นิ้วโป้งนวดขมับ รู้สึก
ได้ว่าร่างกายนี้โอนอ่อนตามแรงสัมผัสของนาง หญิงสาวเผลอยิ้มขณะเลื่อนมือไปที่ใบหูของท่านอ๋อง ไม่ทันตั้งตัว มือใหญ่กระชากนางลงไปในอ่างน้ำอย่างรวดเร็ว กว่าจะตั้งสติได้ ตัวเองก็เปียกชุ่มและนั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำเดียวกับชายหนุ่มแล้ว
“ท่านอ๋อง!” นางเกือบจะตวาดออกไป แต่พอยกมือขึ้นเช็ดน้ำบนใบหน้าของตนออก เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย นางรู้ว่าเขาชอบแกล้งให้ผู้อื่นกลัว แต่แกล้งนางเช่นนี้ย่อมซุกซนเกินไป
“หากไม่พอใจหม่อมฉัน เอ่ยปากไล่ออกไป หม่อมฉันก็ไม่ดื้อดึงที่จะอยู่ แต่ทำแบบนี้... ว้าย!”
ว่านหนิงเหมยร้องเสียงหลงเมื่อมือใหญ่ดึงนางเข้าไปใกล้ จับท้ายทอยของนางให้แหงนหน้าขึ้น ริมฝีปากหยักประกบริมฝีปากนางอย่างรวดเร็ว ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้างด้วยความตกใจ แต่กลับทำให้มองเห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของชายหนุ่มได้ชัด และเริ่มกลายเป็นเปลวไฟจนนางต้องหลับตา
ริมฝีปากถูกขบเม้มและไล้เลียจนหัวใจแทบหยุดเต้น สติที่เหลือเพียงน้อยนิดสั่งให้นางผลักเขาออก แต่มือเล็กคู่นั้นทำได้แค่ทุบแผงอกเปลือยเปล่าไปไม่กี่ครั้ง นางเผลออ้าปากหวังเรียกอากาศหายใจ แต่กลับเปิดทางให้เรียวลิ้นเปียกชื้นเข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นน้อยๆ ของนาง ปากและลิ้นร้อนของเขาเปี่ยมไปด้วยอำนาจ เขาจุมพิตนางยึดครองเอาสติของไปหมดสิ้น เพียงแค่จูบ นางอ่อนระทวยอย่างน่าอับอายในอ้อมอกแข็งแกร่งของเขา
ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะหมดสติ จึงส่งลมปราณให้นางแล้วถอนจุมพิตอย่างเสียดาย มองดูนางที่ไร้เรี่ยวแรงในอกของเขา พอดวงตากระจ่างใสของนางลืมตาขึ้นกะพริบถี่ๆ ท่าทางไร้เดียงสานั้นทำให้เขาขบขันจนหัวเราะลั่นออกมา
“คิดจะยั่วยวนข้า แต่แม้กระทั่งจูบเจ้ายังไม่เป็น เช่นนี้คงจะต้องฝึกปรืออีกหน่อยนะ”
“หม่อมฉัน... ไม่ได้...”
จะพูดว่าไม่คิดก็ไม่เต็มปาก ก่อนหน้านี้นางแอบคิด แม้เป็นเพียงความคิดในหัวน้อยๆของนาง แต่นางไม่ได้เจตนาร้ายกับเขา ที่นางวิ่งกระหืดกระหอบมาเพียงเพราะเป็นห่วงด้วยความจริงใจ เมื่อเขาเห็นความตั้งใจดีของนางเป็นเพียงเรื่องขบขัน หัวใจน้อยๆ กลับเจ็บแปลบขึ้นมา นางไม่มีสิทธิ์แสดงความเจ็บปวดใดให้เขาได้รับรู้ จึงทำได้เพียงเบือนหน้าไปทางอื่น ขยับตัวออกห่างจากรัศมีมือของเขาแล้วจึงปีนขึ้นจากอ่าง
“ขออภัยที่หม่อมฉันมารบกวนเวลาของท่านอ๋องเพคะ”
นางยืนอยู่ด้วยท่าทีนิ่งสงบ นางสวมชุดแบบเดียวกับนางกำนัลแต่เป็นชุดนอนสีขาวมีเสื้อคลุมตัวนอกเพียงตัวเดียว ซึ่งเวลานี้เปียกแนบเนื้อกายจนเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งสมส่วนของหญิงสาว ผมยาวปล่อยทิ้งตัวสลวยไร้เครื่องประดับเหมือนคนเตรียมเข้านอน นางย่อตัวลงคารวะท่านอ๋อง หมุนตัวเดินออกไปอย่างช้าๆ แม้ก้าวสั้นๆแต่หนักแน่น มือเรียวสั่นระริกขณะผลักบานประตูออกไป
นางเพียงผงกศีรษะให้องครักษ์ทั้งสองที่มองมาอย่างประหลาดใจ ก่อนเข้าไปเห็นท่าทางร่าเริง ไฉนออกมาถึงเปียกเหมือนตากฝน ซ้ำยังดวงตาเศร้าหมองเช่นนั้น ว่านหนิงเหมยเดินกลับไปที่ห้องของตัวเองราวกับวิญญาณที่เลื่อนลอย นางกำนัลที่รอรับใช้หน้าประตูเห็นเข้าก็ตกใจ แต่หญิงสาวฝืนยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมา
“ไม่มีอะไร ข้าลื่นล้มพลัดตกน้ำ”
“แม่นางว่านรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจะไม่สบาย”
“ข้าจัดการตัวเองได้ ขอบใจพวกเจ้ามาก” นางฝืนยิ้มแล้วเดินเข้าไปในห้องตัวเอง
เมื่อบานประตูปิดลง หยดน้ำที่กลั้นไว้กลิ้งหล่นจากดวงตา
‘หนิงเหมยที่รัก’
‘เหมยเอ๋อร์’
“ไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นอะไร”
ปากพูดว่าไม่เป็นอะไรแต่ร่างนางทรุดลงไปนั่งกอดเข่าแล้วร้องไห้ เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด เขาจำนางไม่ได้ เขาเห็นนางเป็นเพียงเรื่องตลกขบขัน แต่นางกลับรู้ชัดว่าตนเองนั้น ‘รัก’ ชายผู้นี้เข้าแล้วจริงๆ ไม่ใช่ความรู้สึก ‘คิดไปเอง’
จะเป็นไรไป นางเป็นฝ่ายไปรักชายผู้นั้นเอง นางต้องยอมรับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนี้ให้ได้ อย่างน้อยนางก็ได้รู้และได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง
เสียงร้องไห้ของว่านหนิงเหมยไม่มีผู้คนได้ยิน ทว่าเสียงสะอื้นของนางทำให้เหล่าพฤกษาพากันหมองหม่นและเศร้าไปด้วย
ใบไม้สั่นไหวบอกเล่าเรื่องราวของนางปากต่อปาก ต้นไม้ ดอกไม้ในสวนสี่ฤดูของฮองไทเฮา ต่างพากันถูกความเศร้าคลี่คลุมจนดอกไม้เหี่ยวเฉา ใบไม้กลายเป็นสีน้ำตาล
ว่านหนิงเหมยผล็อยหลับไป โดยไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นเลย.
** ยามซวี : ประมาณ20.00 น.*