ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นเธอสวมใส่ชุดนี้ เขาเห็นมาแล้วหลายครั้งแต่ไม่มีครั้งไหนที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกบางอย่างแทรกเข้ามาเหมือนตอนนี้เลย เขาเห็นรวิษามาตั้งแต่ช่วงเข้าวัยรุ่น เธอเข้ามาอยู่ในบ้านของเขาหลังจากที่บิดามารดาของรวิษาเสียชีวิต
ป้ายู้เป็นอดีตคนรับใช้เก่าแก่ของอินทุอรและเป็นป้าแท้ๆ ของรวิษาป้ายู้พารวิษามาหาอินทุอรก่อนจะขอพึ่งใบบุญฝากฝังรวิษาที่เพิ่งกำพร้าพ่อแม่ จะให้นางเลี้ยงดูต่อไปก็คงไม่ไหว เนื่องจากอายุมากและไม่มีรายได้มากพอที่จะหาเลี้ยงรวิษา มารดาของอัคราเกิดความสงสารและเอ็นดูรวิษา จึงให้เธอเข้ามาอยู่ร่วมบ้านด้วยนับตั้งแต่วันนั้น ส่งเสียให้เรียนจนจบมหาวิทยาลัย ให้ที่อยู่ที่กินราวกับญาติก็มิปาน
ต่อมาเมื่อรวิษาอยู่ในวัยสะพรั่ง เขาก็ไม่เคยคิดจะเหลียวมองเด็กในบ้าน เพราะไม่ต้องการถูกครหาว่าเป็นสมภารกินไก่วัด แม้ว่ารวิษาจะมีรูปโฉมงดงามมากเพียงใด...แต่วันนี้เขาเริ่มคิดเสียแล้วสิ
“คุณโอมทานข้าวนะคะ” เธอพูดเมื่อนำน้ำเย็นมาวางไว้ในถาด
“ถ้าเธออยากให้ฉันกินก็ป้อนฉันสิ” เขาเอ่ยบอกหญิงสาวตรงหน้าที่หันขวับมามองหน้า “ถ้าเธอไม่ป้อนฉันก็ไม่กิน” ต่อประโยคด้วยเสียงจริงจัง
“ได้ค่ะคุณโอม” ความที่กลัวว่าเขาจะไม่ทานข้าว และกลัวว่าโรคกระเพาะจะกำเริบ ทำให้รวิษาทำตามความต้องการของอัครา โดยไม่ได้เฉลียวใจคิดสิ่งใดสักนิดเดียว
“มานั่งตรงนี้ดีกว่าจะได้ป้อนถนัดๆ”
อัคราใช้ฝ่ามือตบที่นอนข้างกายเขาเบาๆ รวิษาที่กำลังย่อตัวนั่งบนพื้นจึงขยับตัวมานั่งจุดที่เขาบอก ก่อนจะเริ่มป้อนอาหารให้ชายเจ้าเล่ห์
สาวนิสัยดีเริ่มลงมือป้อนอาหารใส่ปากเจ้าของห้องคำแรก ตามด้วยคำที่สองและสาม ระหว่างที่เธอตั้งใจป้อนอาหารเขานั้น ดวงหน้าสาวฉ่ำด้วยสีชมพูระเรื่อตลอดเวลา ร่างกายสั่นเล็กน้อยด้วยความประหม่าและความเขินอาย อยู่ร่วมบ้านกับเขามาหลายปีแต่นี่คือครั้งแรกที่ได้ใกล้ชิดกัน
“ขอน้ำฉันหน่อย” เขาสั่ง รวิษาจึงเอื้อมมือหวังจะหยิบแก้วน้ำ ทว่า...
“ว้าย!...คุณโอม ปล่อยค่ะปล่อยมิ้นค่ะ” รวิษาร้องอุทาน ตกใจสุดขีดเมื่ออยู่ๆ เขาก็โอบรัดเอวคอดกิ่วของเธอ พร้อมกันนี้คนที่ตกอยู่ในอาการตกใจพยายามแกะลำแขนที่รัดเอวของตนออก แต่ว่าลำแขนของเขานั้นแข็งแรงดังคีมเหล็ก เรี่ยวแรงน้อยนิดของเธอไม่อาจง้างออกได้เลย
อัคราไม่ปล่อยร่างนุ่มนิ่ม กลับจับร่างสาวให้นอนราบบนเตียง โดยมีร่างกายบึกบึนของตนเกยทับ มองหน้าคนที่ดีดดิ้นด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ
“ปล่อยมิ้นค่ะคุณโอม ปล่อยมิ้นนะคะ” รวิษาร้องและดิ้น หวังจะนำพาตนเองหลุดพ้นจากเขา
“ไม่ปล่อย มีอะไรมั้ย”
เสียงใหญ่ดังเหนือดวงหน้าสาว หลุบสายตามองริมฝีปากอิ่มที่สั่นระริก ในใจต้องการจะลิ้มลองรสชาติเรียวปากอิ่มของเธอเหลือเกิน
รวิษามองหน้าคนที่แอบหลงรักใจสั่นระรัว มือน้อยๆ พยายามดันอกกว้าง เพื่อให้ร่างของเขาออกห่างร่างของตน
“ปล่อยมิ้นนะคะคุณโอม ปล่อยมิ้น”
เธอขอร้องเขาอีกครั้ง ใจยิ่งเต้นรัวเมื่อใบหน้าคมคายโน้มต่ำลงมาทุกขณะใจเต้นระส่ำไม่พอ ร่างกายพาอ่อนแรง สมองคิดอะไรไม่ออก
“ไม่ปล่อย” สิ้นเสียงใหญ่ ริมฝีปากใหญ่ทาบทับกลีบปากนุ่มของเธอทันที ดวงตาสาวเบิกกว้าง ตกใจสุดขีดเมื่อรับรู้ถึงความอุ่นร้อนจากปากของเขา มิหนำซ้ำจังหวะที่เขาฉกจูบ เรียวปากสาวเผยอกว้างเพื่อร้องห้ามปราม ทำให้เขาฉกฉวยโอกาสนี้ส่งปลายลิ้นใหญ่เข้ามาพันรัดลิ้นของเธอได้อย่างสะดวก
ร่างกายสาวเกร็งแข็ง สมองของเธอขาวโพลน ไร้ซึ่งความคิดใดๆ ริมฝีปากใหญ่ที่ครอบครองปากของเธออยู่คือต้นเหตุ อัคราบดจูบอย่างเร่าร้อน ลิ้นใหญ่ซอกซอนไปทั่วโพรงปากสาวหวานฉ่ำ ก่อนจะกระหวัดเกี่ยวลิ้นเล็กที่ทำอะไรไม่ถูก ไม่หลบหลีกแต่ก็ไม่ตอบโต้
มือทั้งสองข้างของรวิษากำเสื้อลำลองตรงช่วงอกของเขาแน่น ดวงตาที่ขยายกว้างเริ่มปรือทีละนิด เมื่อถูกพิษจุมพิตเข้าครอบงำ หัวใจและจิตใจของสาวน้อยอ่อนหัดกำลังเตลิดไปไกล จุมพิตของเขาหักหาญในคราแรก แต่ต่อมาคือการเรียกร้อง
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ รู้เพียงว่าเวลานี้เธอกำลังหายใจไม่สะดวก ลมหายใจสะดุดเอาดื้อๆ มือที่ผลักไสอ่อนแรงอีกครั้ง เช่นเดียวกับการต่อต้านลดน้อยลง หนทางเอาตัวรอดที่รวิษาพยายามนึก ถึงขั้นจนตรอกหาทางออกไม่ได้ ปล่อยให้เขาช่วงชิงจุมพิตหวานๆ นี้ต่อไป
มือแข็งแรงลูบไล้ข้างลำตัวของรวิษา ผ่านสะโพกผายขึ้นมายังเอวคอดเล็ก แล้วเลื่อนขึ้นสูงมายังดอกอุบลที่หลบซ่อนอยู่ใต้ชุดเดรส เขาออกแรงบีบเบาๆ แต่สะท้านไปทั้งกายสาว และนั่นเรียกสติของเธอให้กลับมา รวิษาออกแรงดิ้น ส่ายศีรษะไปมาหวังจะให้ริมฝีปากของตนเป็นอิสระ ทว่าเขากลับกดปากของตนเองให้มากขึ้นครอบครองริมฝีปากนุ่มหอมละมุนต่อไป อีกทั้งมือแข็งแรงยังคงประคองบีบเต้าทรวงอวบอั๋นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนรวิษามองไม่เห็นอิสรภาพของตนเองน้ำตาแห่งความเสียใจจึงไหลริน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก...
“โอมเปิดประตูให้แม่หน่อยลูก” เสียงของอินทุอรเหมือนเสียงจาก
สวรรค์สำหรับรวิษา เธอส่งเสียงร้องในลำคอ ดิ้นรนผลักไสร่างหนา
“โอมเปิดประตูให้แม่หน่อยลูก แม่มีเรื่องจะคุยด้วย” อินทุอรเคาะประตูและเรียกลูกชายอีกครั้ง
คนที่อยู่ในห้อง บนเตียงหนานุ่มมีอารมณ์ที่แตกต่างกัน รวิษาดีใจที่ได้ยินเสียงของอินทุอร เพราะมันเหมือนเป็นระฆังช่วยชีวิต แต่สำหรับอัคราเสียงของมารดาคือการขัดจังหวะอันแสนอภิรมย์ เขาถอนจุมพิตอย่างแสนเสียดาย เพราะยังรู้สึกถึงความปรารถนาที่อยู่ในกายของตนเอง เขาต้องการรวิษามากกว่าจูบ
“อย่าบอกคุณแม่เรื่องนี้ ห้ามบอกเด็ดขาด”
อัครากำชับสาวใต้ร่างที่ตกอยู่ในอาการตกใจ เธอพยักหน้ารับคำทั้งน้ำตา เขาจึงปล่อยร่างสาวให้เป็นอิสระ รวิษาผุดลุกลงมายืนข้างเตียง จัดเสื้อผ้าและผมของตนเองให้เรียบร้อย จากนั้นมือเล็กก็ปาดน้ำตาที่ไหลอาบทิ้งไปนำพาขาที่ค่อนข้างสั่นเดินไปยังประตูห้องนอน
“อ้าว...มิ้นยังอยู่ในห้องของโอมอีกเหรอ ฉันนึกว่าจะกลับห้องไปแล้วซะอีก” อินทุอรทักขึ้น เมื่อคนที่มาเปิดประตูคือรวิษา
“พอดีว่าคุณโอมให้มิ้นช่วยตรวจดูงานน่ะคะ มิ้นก็เลยยังไม่ได้กลับห้อง” รวิษาพูดปด
“มิ้นขอตัวนะคะพอดีช่วยงานคุณโอมเสร็จแล้ว” รวิษาเดินเลี่ยงออกไปจากห้องของอัครทันที อินทุอรมองตามร่างของหญิงสาวที่เธออุปการะเลี้ยงดูด้วยความสงสัย
ไม่แปลกที่รวิษาจะมาช่วยเหลืองานในบริษัท เป็นเพราะหลังจากเรียนจบรวิษาได้เข้ามาทำงานในบริษัท ตำแหน่งของเธอคือ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบุคคล และบางครั้งหากเลขาของอัคราทำงานไม่ทันเนื่องจากตั้งครรภ์อยู่ การทำงานจึงไม่เต็มที่นัก รวิษาจึงถูกดึงมาช่วย
แต่ทว่าสีหน้าและแววตาของรวิษาที่อินทุอรเห็นนั้น ไม่เหมือนกับคนที่กำลังช่วยงานลูกชายของนางแต่อย่างใด รวิษามีความตื่นตกใจในดวงตา สีหน้าซีดเหมือนกับคนหวาดกลัวอะไรสักอย่าง คนจับสังเกตได้มองไปยังร่างของลูกชายที่นั่งอยู่ริมเตียง ก่อนจะเดินเข้าไปภายในห้อง
“ให้มิ้นดูงานอะไรโอม?” อินทุอรถาม มาทรุดกายนั่งข้างลูกชาย
“ก็งานทั่วๆ ไปครับ” เขาตอบแบบไม่เจาะจง
“โอมเอางานมาทำที่บ้านด้วยเหรอ ปกติโอมไม่ทำอย่างนี้นี่”
นางรู้วิธีการทำงานของอัคราดี ลูกชายตัวดีของนางจะไม่นำงานมาทำที่บ้าน หากมีงานคั่งค้างก็จะทำในวันรุ่งขึ้นแทน รู้จักว่าเวลาไหนคือเวลาทำงาน เวลาไหนคือเวลาพักผ่อน
“พอดีว่างานนี้มันด่วนมากครับ แล้วก็ยังทำไม่เสร็จ ผมก็เลยต้องกลับมาทำที่บ้าน เมื่อกี้มิ้นเอาข้าวมาให้ผมกิน ผมก็เลยให้มิ้นช่วยดูงานให้เลย” เขาแก้ตัวอย่างแนบเนียน “ว่าแต่คุณแม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับผมครับ?” ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา