สุดท้ายเมื่อไม่รู้จะพาตัวเองหลบไปเลียแผลใจที่ไหน ก็เลยพาตัวเองมาที่นี่ซึ่งมันเป็นที่เดียวที่ทำให้รู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้มา
“ทานเยอะๆ นะคะ นี่ถ้ารู้ก่อนว่าจะมาทานข้าวด้วย น้าคงทำของโปรดไว้ให้” จิตรีเอ่ยขึ้นอย่างเอาอกเอาใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรนางถึงได้ถูกชะตากับเด็กคนนี้นัก ต่างจากคนอื่นๆที่มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่าคุณหนูเรย์ของนางเป็นเด็กนิสัยไม่ดี
“เรย์ทานอะไรก็ได้ค่ะ ของที่น้าตรีทำให้อร่อยทุกอย่างอยู่แล้ว” เพราะปกติแล้วเธอไม่ใช่คนเรื่องมากอะไร ยิ่งกับคนตรงหน้านี้แล้วด้วย ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ท่านทำให้แม้จะแค่เล็กน้อย แต่มันก็มักจะทำให้เธอมีความสุขได้เสมอ
แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเด็กเข้มแข็งไม่แคร์ใคร แต่ลึกๆ แล้วนางกลับเห็นบางสิ่งที่มันแตกต่างออกไป บางอย่างที่เริ่มต้นจากความสงสาร ก่อนจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเอ็นดูในที่สุด
อินทุอรใช้เวลาอยู่ร่วมกับสองแม่ลูกนานร่วมชั่วโมง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีแต่เธอกับน้าจิตรีเท่านั้นที่พูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆ ในขณะที่ชายหนุ่มคนเดียวของบ้านนั้น ปลีกตัวออกไปนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบเงียบๆ คนเดียวที่ระเบียงหน้าบ้าน ไม่ได้สนใจที่จะร่วมวงแต่อย่างใด จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปเกือบสี่ทุ่มกว่า จิตรีถึงได้เอ่ยขึ้น
“กลับบ้านเถอะนะคะ ป่านนี้คุณท่านคงรอแย่แล้ว” ไม่รอหรอก ไม่มีใครสนใจเธอ นับตั้งแต่ที่สองแม่ลูกนั่นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านบ้านที่จากนี้คงไม่ใช่สถานที่ที่ให้ความอบอุ่นแก่กันอีก
“เรย์ไม่อยากกลับ...”
“กลับเถอะนะคะ ถือว่าน้าขอร้อง นะคะ” เมื่ออีกคนขอร้องมาแบบนั้น เธอจึงหมดทางเลือก จำต้องยอมพยักหน้ารับกลับไปอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเธอไม่อยากกลับไปเหยียบที่นั่น
ไม่แม้แต่นิดเดียว!
“ขึ้นมา!” เมื่อเดินออกมาจากบ้านของท่าน ก็ต้องพบเข้ากับภาพที่ทำให้ตกใจเมื่อได้เห็น
“ฉันกลับเองได้!” หญิงสาวโต้กลับทันควัน ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ต้องไปขอความช่วยเหลือจากคนที่ตั้งแง่คอยแต่จะหาเรื่องตลอดเวลากันเช่นเขาเลย อีกอย่างเธอรู้ดีว่าหากไม่เป็นเพราะแม่ของเขาสั่งแล้วล่ะก็ หมอนี่คงไม่มีทางมายืนอยู่ตรงนี้แน่ เพราะเขาเกลียดขี้หน้าเธอจะตายไป ซึ่งเธอเองก็ใช่ว่าจะชอบเขาเสียเมื่อไหร่
“อย่าเรื่องมากนักจะได้ไหม รีบๆ ขึ้นมา! ผมต้องรีบกลับมาอ่านหนังสือสอบ ไม่มีเวลามาทะเลาะด้วย!” เมื่ออีกฝ่ายว่ามาแบบนั้น เธอจึงไม่มีทางเลือก จำต้องพาตัวเองขึ้นมานั่งซ้อนท้ายจักรยานคันเก่าของเขาอย่างช่วยไม่ได้ ซึ่งกล้าตะวันก็ไม่ได้พูดอะไร นอกจากทำหน้าที่ปั่นจักรยานไปส่งคุณหนูของแม่ตามคำสั่งเด็ดขาดของท่าน
“ขับช้าๆ หน่อยสิ ถ้าฉันตกไปจะว่าไง!” แต่ไม่นานเสียงตวาดของคนเอาแต่ใจก็ดังขึ้น เมื่อรู้สึกว่าแรงของรถนั้นเริ่มจะเร็วขึ้นเรื่อยๆ
“นายคงมีความสุขมากกว่านี้ ถ้าคนที่นั่งซ้อนท้ายเป็นยัยแหวน แทนที่จะเป็นฉันสินะใช่ไหม!” ความเงียบที่อีกคนมอบให้กันนั้น สร้างความไม่พอใจแก่อินทุอรเป็นอย่างมาก เธอถึงได้ตวาดถามขึ้น พร้อมๆ กับทุบฝ่ามือลงไปที่หลังของกล้าตะวันเข้าอย่างเต็มแรง
“ก็แล้วแต่คุณจะคิด อย่างน้อยเป็นคุณแหวนก็ดีกว่าคุณ!”
“เป็นฉันแล้วมันทำไม! พูดมาเดี๋ยวนี้นะไอ้กล้า เป็นอย่างฉันแล้วมันทำไม!” หนนี้ไม่พูดเปล่า มือบอบบางจัดการระดุมทุบเข้าไปในแผ่นหลังของอีกคนอย่างแรง ส่งผลให้เสียงเข้มต้องตวาดขึ้นสู้
“โอ้ยนี่คุณ อย่าดิ้นสิเดี๋ยวรถล้ม!” พูดไม่ทันคาดคำ จักรยานคันเก่าที่โซเซไปมาอย่างน่าหวาดเสียว ก่อนจะก้มลงข้างทางอย่างแรง ท่ามกลางเสียงร้องแสบแก้วหู ที่ดังขึ้นตามติดทันทีที่ตั้งสติได้
“ไอ้กล้า นี่แกแกล้งฉันเหรอ!” จะเรียกว่าแกล้งก็คงไม่ถูกนักเพราะครั้งนี้เขาเองก็เจ็บตัวไม่น้อย แต่ถึงจะรู้แก่ใจแบบนั้น กล้าตะวันก็ยังเลือกที่จะเงียบ ก่อนที่เขาจะพาตัวเองเดินตรงเข้าไปหา
“ไหนเจ็บตรงไหน ขอผมดูหน่อย...”
“ไม่ต้องมายุ่งเลย! ฉันจะเป็นจะตายเกี่ยวอะไรกับนาย แล้วก็อย่าคิดจะเอามือสกปรกมาโดนตัวฉัน!” และก็เป็นอีกครั้งที่คำพูดอวดดีของคนตรงหน้าหยุดเขาเอาไว้ ไหนจะสายตาจงเกลียดจงชังที่จ้องมองมานั่นอีก ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากคนตรงหน้า มันยิ่งจะทำให้เขารู้สึกต่ำต้อยด้อยค่ามากกว่าที่เป็นอยู่ และคนเพียงคนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกแบบนี้ได้นั้นก็เห็นจะมีแต่อินทุอรเพียงคนเดียวเท่านั้น
“คิดว่าผมอยากถูกตัวคุณนักรึไง! อวดเก่งนักก็หาทางกลับบ้านเอาเองก็แล้วกัน!” หนนี้ไม่พูดเปล่า แต่ร่างสูงกลับเลือกที่จะหมุนตัวเดินหนี เดือดร้อนคนที่กำลังจะ ‘ถูกทิ้ง’ ต้องรีบร้องโวยวาย
“กรี๊ดดด ไอ้กล้าตะวันบ้า นี่อย่าไปนะ กลับมาเดี๋ยวนี้ แกกล้าดียังไงทิ้งฉันไว้ที่นี่ห๊ะ ฉันบอกให้กลับมาไง…โอ้ย!” หากไม่เป็นเพราะเสียงร้องที่ดังขึ้นตบท้าย กล้าตะวันคงบอกตัวเองให้เดินต่อไปไม่ต้องสนใจแล้ว เด็กหนุ่มได้แต่ลอบถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับมาหาคุณหนูจอมงี่เง่าอีกครั้ง
“ขึ้นมา!”
หนนี้เขาเลือกที่จะหันหลังนั่งยองๆ ให้อีกคนขึ้นขี่หลัง และหากหนนี้เธอยังดื้อไม่เลิกอีกเขาจะไม่ใจดีกับเธออีกต่อไป พอกันที!